แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1722
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๐
สำหรับในเรื่องของความคิด ก็มีความคิดหลายอย่าง เช่น ความคิดเห็นในเรื่องธรรม ผิดบ้าง ถูกบ้าง ถ้าไม่พิจารณาให้ละเอียดอาจจะเข้าใจธรรมบางประการผิด หรืออาจจะยึดถือความเห็นผิดต่างๆ ว่าเป็นความเห็นที่ถูกต้องได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
นอกจากในเรื่องของความคิดเห็นในทางธรรมแล้ว ยังมีความคิดธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า ขณะใดที่เป็นโยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาด้วยความแยบคาย ขณะนั้นเป็นกุศล แต่ขณะใดก็ตามที่อกุศลจิตเกิด ซึ่งจะต้องมีมากในวันหนึ่งๆ แสดงว่าขณะนั้นอโยนิโสมนสิการ ในขณะที่เห็นนี่เอง ไม่ใช่ในขณะอื่น เป็นอกุศลไปแล้ว ในขณะที่ได้ยิน ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ปัญญา ไม่เกิด อกุศลจิตก็เกิดแล้ว
อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และขณะใดที่ตรึกหรือคิดเป็นอกุศล ขณะนั้นต้องมีอวิชชา เช่น ขณะที่โกรธ ซึ่งทุกคนไม่อยากจะโกรธ ไม่อยากจะขุ่นเคืองใจ แต่เพราะอวิชชาเกิด อโยนิโสมนสิการ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่อกุศลประเภทใดเกิด แสดงว่าในขณะนั้นเพราะไม่รู้ และเพราะไม่เห็นโทษของอกุศล ซึ่งในวันหนึ่งๆ ความคิดในทางอกุศลมี เพราะขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นวิตก คือ สภาพที่ตรึก ที่คิด เป็นไปเพราะอโยนิโสมนสิการ
สำหรับความสำคัญของความคิดนึกในระหว่างพุทธบริษัท จะได้ยินได้ฟังเรื่องความคิดนึกต่างๆ ทั้งในเรื่องของปริยัติและในเรื่องของปฏิบัติด้วย ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจปริยัติจริงๆ และเป็นผู้เข้าใจเรื่องของการปฏิบัติ จะทำให้พ้นจากทิฏฐิวิบัติ คือ ความวิบัติที่เกิดจากความเห็นผิดได้
ปุคคลบัญญัติปกรณ์ ข้อ ๖๖ ได้แสดงบุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัติ เนื่องจาก เมื่อมีความเห็นผิดก็จะนำไปสู่ความเสื่อม ความวิบัติต่างๆ โดยผู้เห็นผิดนั้นก็ไม่รู้ตัวว่า ที่ได้รับความวิบัติต่างๆ นั้นเพราะความเห็นผิด
ข้อความมีว่า
ทิฏฐิวิบัติ ในข้อนั้นเป็นไฉน ทิฏฐิ ความเห็นไปว่า ทานที่ให้ไม่มีผล
ไม่น่าจะคิดอย่างนี้เลย แต่ถ้าสนทนากับผู้ที่มีความคิดเห็นต่างๆ จะเห็นได้ว่า ผู้ที่เห็นอย่างนี้ยังมี คือ เห็นว่าทานที่ให้ไม่มีผล ไม่มีความจำเป็นที่จะให้ ไม่ใช่การกระทำที่สมควรที่จะให้ และบางคนก็คิดว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งหมดไป
ข้อความต่อไปมีว่า
การบูชาใหญ่ไม่มีผล
การบูชาใหญ่ คือ มหาทานที่ให้แก่คนทั่วไป นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน คือ บางครั้งเป็นทานที่ให้แต่ละบุคคล บางครั้งก็เป็นมหาทานที่ไม่จำกัดผู้รับ เป็นทานที่ให้กับบุคคลทั่วไป ถ้าผู้ใดมีความเห็นว่า การบูชาใหญ่คือมหาทานที่ทั่วไปแก่คน ทั้งปวงไม่มีผล นั่นก็เป็นความเห็นผิดที่จะนำมาซึ่งทิฏฐิวิบัติ
นอกจากนั้นบางคนก็มีความเห็นว่า
สักการะที่บุคคลทำเพื่อแขกไม่มีผล
นี่เป็นความละเอียดที่จะรู้ว่า ขณะใดจิตเป็นกุศล ขณะใดจิตเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ทุกคนสะสมกุศลจิตและอกุศลจิตโดยไม่รู้ตัวในชีวิตประจำวัน ตามอุปนิสัย ตามฉันทะที่สะสมมา ซึ่งการกระทำในวันหนึ่งๆ ย่อมแสดงให้เห็นถึง การสะสมความคิดเห็นแม้แต่ในเรื่องของการมีไมตรีจิตต่อผู้ไปเยี่ยมเยือนซึ่งเป็นแขก ถ้าคิดว่า สักการะที่บุคคลทำเพื่อแขกไม่มีผล แม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ ก็ยังมนสิการได้ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ความคิดอื่นก็อาจจะคิดไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ได้ นี่เป็นเหตุที่ธรรมต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด เพื่อจะได้พิจารณารู้ลักษณะสภาพของจิตของตนเองตามความเป็นจริง
ข้อความต่อไปมีว่า
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี
นี่ก็เป็นทิฏฐิวิบัติ คือ ความเห็นผิด เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วจะทำดีหรือทำชั่ว ใครก็ตามที่คิดว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี ถ้าคิดอย่างนี้ก็คงจะทำชั่ว ไม่ทำดี ไม่เห็นว่าควรที่จะขัดเกลาอกุศลแม้เล็กๆ น้อยๆ หรือความคิดผิด แม้เล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อแต่ละบุคคลในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นก็มีความเห็นผิดไปว่า
โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี
ไม่ได้หมายความว่า คิดว่ามารดาไม่มี บิดาไม่มี แต่เข้าใจว่า คุณของมารดาไม่มี คุณของบิดาไม่มี
นี่ก็เป็นชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ซึ่งกรรมจำแนกวิถีชีวิตของแต่ละคน ให้ต่างกัน เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะได้รับความลำบาก ความทุกข์ยากที่ต้อง พลัดพรากจากมารดาบิดา จึงทำให้เกิดความคิดเห็นว่า มารดาไม่มี บิดาไม่มี คือ พระคุณของมารดา พระคุณของบิดาไม่มีนั่นเอง ถ้าคิดอย่างนี้พิจารณาจิตขณะนั้นว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
เพราะฉะนั้น ความคิดสะท้อนกลับให้เห็นจิตที่คิดว่า จิตที่คิดอย่างนั้น ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ซึ่งเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าสามารถระลึกรู้ได้ว่าขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยเกิดคิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้คิดล่วงหน้าเลยว่าจะคิดเห็นอย่างนั้น แต่เมื่อสะสมมาที่จะเกิดความคิดอย่างนั้น แม้ความคิดอย่างนั้นก็เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย
ข้อความต่อไป มีทิฏฐิ คือ ความเห็นว่า
สัตว์อุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่รู้ยิ่งแล้วซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศทำให้แจ้งในโลกไม่มี
คือ ไม่เชื่อในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าได้ฟังบุคคลที่นับถือลัทธิอื่น คำสอนอื่น ศาสนาอื่น จะพิสูจน์ได้ชัดเจน จริงๆ ว่า บุคคลเหล่านั้นไม่มีความเชื่อในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่เชื่อว่า สมณพราหมณ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่รู้ยิ่งแล้วซึ่งโลกนี้และ โลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศทำให้แจ้งในโลกไม่มี
เพราะฉะนั้น ถ้ามีทิฏฐิคือความเห็นอย่างนี้ คิดดู บุคคลนั้นจะขวนขวาย หาบุคคลผู้มีความรู้ มีความเข้าใจในธรรม มีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่รู้ยิ่งแล้ว ซึ่งสภาพธรรมในขณะนี้ไหม ในเมื่อเขาเข้าใจว่าไม่มีบุคคลเช่นนั้น
ข้อความต่อไปมีว่า
ทิฏฐิความเห็นไปว่า การยึดถือความปฏิบัติผิด มรรคาผิด ทางผิด การยึดถือการแสวงหาผิดอันใดมีลักษณะอย่างนี้เรียกว่า ทิฏฐิวิบัติ มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมด เป็นทิฏฐิวิบัติ
เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาจริงๆ ในเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏและหนทางปฏิบัติที่จะทำให้ประจักษ์แจ้ง โดยการศึกษา ฟังพระธรรม และเป็นผู้ที่มีปกติเจริญ สติปัฏฐาน มิฉะนั้นแล้ววันหนึ่งๆ ถ้าไม่ย้อนกลับมาพิจารณาถึงจิตที่กำลังคิด จะไม่รู้เลยว่าต้องขัดเกลา เพราะบางคนอาจจะคิดว่า สามารถเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดี รู้จักบุคคลต่างๆ ได้ดี แต่ลืมว่าในขณะที่กำลังคิดถึงความรู้สึกก็ดี จิตใจของบุคคลต่างๆ ก็ดี ในขณะนั้นจิตที่กำลังคิดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่ระลึก ก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้นแท้ที่จริงเป็นอกุศลจิตที่คิด แต่ถ้าสติปัฏฐานเกิดและรู้ว่า ขณะที่คิดอย่างนั้นไม่ประกอบด้วยเมตตา ถ้ารู้อย่างนั้นจริงๆ เวลาที่คิดถึงคนอื่น จะคิดด้วยกุศลจิต
ความเห็นต่างๆ แม้เล็กๆ น้อยๆ ในวันหนึ่งๆ นั้น ก็เนื่องมาจากการไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และบางท่านก็เป็นเพราะมีความเห็นผิดต่างๆ ซึ่งทำให้ความประพฤติทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ผิดตามไป โดยไม่รู้ว่าผิด เพราะว่าขณะที่คิด ไม่ได้พิจารณาสภาพของจิตที่คิดเลย
ขอให้พิจารณาเรื่องของความคิดจริงๆ ว่า แท้ที่จริงแล้วสีสันที่ปรากฏทางตา แม้หลับตาไม่มี ก็ยังมีความคิดเรื่องต่างๆ คนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ซึ่งจริงๆ ไม่มีเลย อยู่ในโลกของความคิดล้วนๆ มีแต่สภาพธรรมที่ปรากฏชั่วขณะที่ตาเห็นและก็ดับ แต่ทำไมยังไม่ยอมทิ้งความเป็นบุคคลต่างๆ ยังทรงจำไว้จนกระทั่งเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง มากมายเหลือเกินในวันหนึ่งๆ
เพราะฉะนั้น หนทางเดียวจริงๆ ที่จะละคลายกิเลสได้ ก็ด้วยขณะที่สติเกิด และพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ขอกล่าวถึงความคิดเห็นต่างๆ ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงปรินิพพาน
สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อรรถกถา ทหรสูตร มีข้อความว่า
คำว่า หลาหล มี ๓ คือ กัปปหลาหล พุทธหลาหล จักกวัตติหลาหล
อรรถกถาของพม่าใช้คำว่า โกลาหล ๓ คือ กัปปโกลาหล พุทธโกลาหล จักกวัตติโกลาหล
บรรดาหลาหลทั้ง ๓ นั้น หลาหลที่ว่า กัปจักปรากฏที่สุดแสนปี ชื่อว่า กัปปหลาหล เหล่าเทวดาเที่ยวป่าวร้องในถิ่นมนุษย์ว่า ในที่สุดแสนปีแต่นี้ไป โลกจักพินาศ ผู้นิรทุกข์ทั้งหลายจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากันเถิด
ยังไม่ถึงเวลานั้น อีกนานแสนนาน ซึ่งทุกคนก็เหลือเวลาในโลกนี้อีกไม่ถึง ๑๐๐ ปี และกว่าจะถึงเวลาที่อีกแสนปีแต่นี้ไปโลกจะพินาศ ก็ไม่แน่ว่าใครจะได้เกิด ในสมัยนั้น แต่ก็เป็นโกลาหลหรือหลาหลที่จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอบรมเจริญกุศล เพื่อจะได้พ้นจากเวลาที่โลกพินาศ
ส่วนหลาหลที่ว่า พระพุทธเจ้าจักอุบัติในที่สุดพันปี ชื่อว่าพุทธหลาหล เหล่าเทวดาป่าวร้องว่า ในที่สุดพันปีแต่นี้ไป พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้น อันพระสังฆรัตนะผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแวดล้อมแล้ว จักเสด็จจาริกแสดงธรรมโปรด
สมัยนี้ยังเป็นสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม ยังไม่ถึงกาลที่พระศาสนาจักอันตรธาน ยังไม่ถึงกาลที่พระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปจัก เสด็จอุบัติขึ้น เพราะฉะนั้น ยังไม่มีโกลาหลอย่างนั้น เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา
ส่วนหลาหลที่ว่า ในที่สุดร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติ ชื่อว่า จักกวัตติหลาหล ...
ก็ในหลาหลทั้ง ๓ นี้ ศาสดาทั้ง ๖ เหล่านี้ ได้ยินเรื่องพุทธหลาหล ก็เข้าไปหาอาจารย์เล่าเรียนวิชาแล้วก็ปฏิญาณว่า เราเป็นพุทธะ มหาชนห้อมล้อมจาริกไป ตลอดชนบท มาถึงกรุงสาวัตถีตามลำดับ
นี่คือเหตุการณ์ในสมัยนั้น คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นผู้รู้ เป็นพุทธะ เป็นครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ๖ คน เป็นครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ใช่พุทธะ แต่การสะสมความ เห็นผิดมาก็ทำให้เข้าใจว่าตนเองเป็นพุทธะ เป็นสัพพัญญู
พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสสั่งว่า พวกท่านจงนิมนต์ศาสดาเหล่านั้นเข้ามา ศาสดาทั้ง ๖ นั้นอันอุปัฏฐากเหล่านั้นบอกว่า พระราชานิมนต์พวกท่าน โปรดไปรับอาหารในพระราชวังเถิด ดังนี้ ก็ไม่กล้าไป
นี่คือความคิดของแต่ละคนซึ่งวิจิตรมาก เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีคิดอย่างนั้น และกาลเวลาล่วงมา ๒,๕๐๐ กว่าปี และก็ต่อไปอีกจนถึง ๕,๐๐๐ ปี และต่อไปอีก ก็จะเห็นได้ว่า ความคิดของแต่ละคนวิจิตรละเอียดมาก แม้แต่ผู้ที่เป็นครูซึ่งใครๆ นับถือว่ามีความรู้ และมีผู้ที่เลื่อมใส แต่แม้กระนั้นเพราะว่าไม่ได้เป็นพุทธะจริงๆ เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่าพระราชานิมนต์ ก็ไม่กล้าไป
เมื่อถูกรบเร้าบ่อยๆ เข้าก็รับ เพื่อต้องการรักษาน้ำใจของเหล่าอุปัฏฐาก ก็ไปพร้อมกันทั้งหมด
พระราชาโปรดให้จัดปูอาสนะ รับสั่งให้นั่ง พระราชอำนาจแผ่ซ่านไปทั่วตัวเหล่านิครนถ์ นิครนถ์เหล่านั้นไม่อาจนั่งเหนืออาสนะที่สมควรอย่างใหญ่ได้ ก็นั่งบนแผ่นกระดานและพื้นดิน ด้วยเหตุเพียงเท่านี้นี่แล พระราชาก็ตรัสว่า ธรรมอันสะอาดภายในของนิครนถ์เหล่านั้นไม่มี จึงไม่พระราชทานอาหาร ตรัสถามว่า พวกท่าน เป็นพุทธะ หรือไม่ใช่พุทธะ ประหนึ่งทรงเอาค้อนตีผลตาลหล่นจากต้นตาล ฉะนั้น
คือ ถามตรงๆ เพื่อให้ตอบตามความเป็นจริง
นิครนถ์เหล่านั้นคิดว่า ถ้าทูลว่าเราเป็นพุทธะ พระราชาตรัสถามในพุทธวิสัย เราก็ไม่อาจทูลตอบได้ พระองค์ก็จะตรัสว่า พวกท่านเที่ยวลวงมหาชนว่าเราเป็นพุทธะ ก็จะพึงโปรดให้ตัดลิ้นเสีย พึงทำความพินาศแม้อย่างอื่น ดังนี้แล้ว จึงกล่าวปฏิญาณของตนอย่างเดียวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพุทธะ
ไม่ใช่สำนึกจริงๆ ว่า ไม่ได้เป็นพุทธะ แต่เพราะกลัวอันตรายว่า ถ้าพระราชาตรัสถามในพุทธวิสัย ก็ไม่อาจทูลตอบได้ นี่ก็เห็นความวิจิตรซับซ้อนของจิตซึ่งทำให้ แต่ละบุคคลมีวาจาต่างๆ กัน ตามความคิดในขณะนั้น
ดังนั้น พระราชาจึงให้ลากตัวนิครนถ์เหล่านั้นไปเสียจากพระราชวัง
พวกนิครนถ์เหล่านั้นออกจากพระราชวังแล้ว เหล่าอุปัฏฐากก็พากันถามว่า ท่านอาจารย์ พระราชาตรัสถามปัญหาแล้ว ได้ทรงกระทำสักการะและสัมมานะอะไร เหล่านิครนถ์กล่าวว่า พระราชาตรัสถามว่า พวกท่านเป็นพุทธะ หรือไม่ใช่พุทธะ
ขอให้ฟังความคิดของนิครนถ์ที่จะกล่าวต่อไป
ต่อนั้น พวกเราคิดว่า ถ้าพระราชาพระองค์นี้ไม่ทรงทราบปัญหาที่ตรัสถาม ในพุทธวิสัย ก็จักขัดพระทัยในพวกเรา จักทรงประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก
กลายเป็นความผิดของพระราชา คือ ถ้าตอบไปแล้วพระราชาไม่เข้าใจ พระราชาก็จะขัดพระทัยในครูทั้ง ๖ แสดงว่าถ้าไม่เชื่อหรือว่าไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจในคำตอบของพวกครู พระราชาก็ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมาก
ข้อความต่อไป พวกครูกล่าวว่า
เพราะความเอ็นดูพระราชา พวกเราจึงไม่ทูลว่า พวกเราเป็นพุทธะ แต่ ความจริงพวกเราก็เป็นพุทธะนั่นแหละ ความเป็นพุทธะของพวกเรา ใครๆ ก็ไม่อาจเอาน้ำล้างออกไปได้ ดังนั้น พวกเราจึงเป็นพุทธะภายนอก
หมายความถึงภายนอกพระราชวัง เพราะในพระราชวังบอกว่าไม่ใช่พุทธะ แต่นอกพระราชวังก็บอกว่าเป็นพุทธะ