แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1740

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๐


ท่านพระมหาจุนทะรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะเข้าไปหาท่านพระฉันนะถึงที่อยู่ แล้วนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ ครั้นแล้วท่านพระสารีบุตรได้ถามท่านพระฉันนะว่า

ดูก่อน ท่านฉันนะ ท่านพออดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาลดลงไม่กำเริบขึ้น ความทุเลาปรากฏ ความกำเริบไม่ปรากฏหรือ

ท่านพระฉันนะกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร กระผมทนไม่ไหว ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของกระผมกำเริบหนักไม่ลดลงเลย ความกำเริบปรากฏ ความทุเลา ไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเอาเหล็กแหลมคมแทงศีรษะ ฉันใด ลมอัน กล้ายิ่งเข้ากระทบที่ศีรษะของกระผม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

เป็นอาการของผู้ที่ป่วยหนักทุกคน แสดงให้เห็นว่า ถึงคราวที่ร่างกายกำเริบด้วยธาตุทั้ง ๔ ก็จะทำให้เกิดทุกขเวทนา แม้แต่ผู้ที่เป็นภิกษุก็ทนไม่ไหว

ท่านผู้ฟังไม่ทราบจะมีอาการอย่างนี้บ้างแล้วหรือยัง คือ เหมือนกับเหล็กแหลมคมทิ่มแทงศีรษะ และลมอันกล้ายิ่งเข้ากระทบที่ศีรษะ

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเอาเส้นเชือกหนังอันเหนียวขันที่ศีรษะ ฉันใด ลมอันกล้ายิ่งเสียดแทงที่ศีรษะของกระผม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เปรียบเหมือน นายโคฆาตหรือลูกมือของนายโคฆาตผู้ขยัน เอามีดสำหรับแล่เนื้อโคที่คมกรีดท้อง แม้ฉันใด ลมอันกล้ายิ่งย่อมเสียดแทงท้องของกระผม ฉันนั้นเหมือนกัน

ท่านที่เคยผ่าตัด คงจะรู้สึกเข้าใจดีในข้อความนี้ เพราะเคยได้ยินบางท่าน กล่าวว่า หลังจากผ่าตัดแล้วรู้สึกเหมือนกับมีมีดสัก ๑๐๐ เล่มกำลังแทงอยู่ในท้อง

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ๒ คน จับบุรุษผู้มีกำลังน้อยกว่าคนละแขน ลนให้เร่าร้อนบนหลุมถ่านเพลิง แม้ฉันใด ความเร่าร้อนในกายของกระผมก็มากยิ่ง ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร กระผมทนไม่ไหว เยียวยาอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของกระผมกำเริบหนัก ไม่ลดลงเลย ความกำเริบปรากฏ ความทุเลาไม่ปรากฏ

ท่านพระฉันนะกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร กระผมจักนำศาตรามาฆ่าตัวตาย ไม่ปรารถนาเป็นอยู่ ดังนี้แล้ว ก็นำศาตรามา

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า

ท่านพระฉันนะ จงเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปเถิด เราทั้งหลายปรารถนาให้ ท่านพระฉันนะเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปอยู่ ถ้าโภชนะเป็นที่สบายมิได้มีแก่ ท่านพระฉันนะ ผมจักแสวงหามาให้ ถ้าเภสัชเป็นที่สบายมิได้มีแก่ท่านพระฉันนะ ผมจักแสวงหามาให้ ถ้าพวกอุปัฏฐากที่สมควรมิได้มีแก่ท่านพระฉันนะ ผมจักอุปัฏฐากท่านเอง

นี่คือพระอัครสาวก ความกรุณาของท่านที่จะเป็นผู้อุปัฏฐากท่านพระฉันนะ ด้วยตนเอง

ท่านพระฉันนะอย่านำศาตรามาเลย จงเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปเถิด เราทั้งหลายปรารถนาให้ท่านพระฉันนะเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปอยู่

ท่านพระฉันนะกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร โภชนะเป็นที่สบายของกระผมมิใช่ไม่มี โภชนะเป็นที่สบายของกระผมมีอยู่ แม้เภสัชเป็นที่สบายของกระผมก็มิใช่ไม่มี เภสัชเป็นที่สบายของกระผมมีอยู่ แม้อุปัฏฐากที่สมควรของกระผมมิใช่ไม่มี อุปัฏฐากที่สมควรของกระผมมีอยู่ ก็พระศาสดาอันกระผมบำเรอแล้วด้วยอาการเป็นที่พอใจอย่างเดียว ไม่บำเรอด้วยอาการเป็นที่ไม่พอใจตลอดกาลนานมา ข้อที่พระสาวกบำเรอพระศาสดาด้วยอาการเป็นที่พอใจ ไม่บำเรอด้วยอาการเป็นที่ไม่พอใจ นี้สมควรแก่พวกสาวก ความบำเรอนั้นไม่เป็นไป ฉันนะภิกษุจักนำศาตรามา ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร ขอท่านจงทรงจำความนี้ไว้อย่างนี้ ดังนี้เถิด

ท่านมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะฆ่าตัวตาย เพราะทนความเจ็บไข้ไม่ได้

ต่อจากนั้นท่านพระสารีบุตรก็ได้สนทนาธรรมกับท่านพระฉันนะ โดยได้สอบถามเรื่องการเกิดดับของสภาพธรรม นี่คือประโยชน์สูงสุดของการเกื้อกูลให้เกิดกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา

ข้อความในอรรถกถามีว่า

ท่านพระสารีบุตรเถระแม้รู้ว่าท่านพระฉันนเถระเป็นปุถุชน ก็ไม่ได้บอกท่านว่าเป็นปุถุชน ส่วนท่านมหาจุนทเถระคิดว่า เราจะให้รู้ว่าท่านเป็นปุถุชน แล้วได้ให้โอวาท

ซึ่งท่านพระมหาจุนทะได้กล่าวกับท่านพระฉันนะว่า

ดูก่อน ท่านพระฉันนะ เพราะเหตุนั้นแลแม้การพิจารณาเห็นนี้ เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ท่านพึงทำไว้ในใจให้ดีตลอดกาลเป็นนิตย์ไป ความหวั่นไหวของบุคคลที่มีตัณหา มานะ และทิฏฐิอาศัยอยู่ ยังมีอยู่ ความหวั่นไหวย่อมไม่มีแก่บุคคลที่ไม่มีตัณหา มานะ และทิฏฐิอาศัยอยู่ เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ย่อมมีปัสสัทธิ เมื่อมีปัสสัทธิก็ไม่มีความเพลิดเพลิน เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ความมาความไปก็ไม่มี เมื่อความมาความไปไม่มี จุติและอุปบัติก็ไม่มี เมื่อจุติและ อุปบัติไม่มี โลกนี้และโลกหน้าก็ไม่มี และระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี นี่แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์

ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะครั้นกล่าวสอนท่าน พระฉันนะด้วยโอวาทนี้แล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป ครั้นเมื่อท่านทั้งสองหลีกไปแล้ว ไม่นาน ท่านพระฉันนะก็นำศาตรามาฆ่าตัวตาย

ท่านรู้ว่าท่านเป็นปุถุชน ท่านก็ได้ฟังพระธรรมและมีความสลดในการเป็น ผู้หวั่นไหวด้วยตัณหา มานะ และทิฏฐิ

ถ้าปัญญาเกิดสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนในขณะนั้นจริงๆ ย่อมมีปัสสัทธิ คือ ความสงบ และไม่มีความเพลิดเพลิน เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ความมาความไปก็ไม่มี และท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์

นี่คือประโยชน์ของการฟังและอบรมเจริญสติปัฏฐาน

ฟังพระธรรมและอบรมเจริญสติปัฏฐานไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงกัปว่าจะเป็นกี่กัปก็ตาม ขอให้เข้าใจเรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ มีพระธรรมประการใดที่จะทำให้เข้าถึงลักษณะที่เป็นอนัตตาของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก ก็จะเป็นสิ่งที่เมื่อฟังแล้วไม่ได้สูญหายไปไหนเลย ความเข้าใจนั้นจะเก็บสะสมทำให้เมื่อได้ฟังอีกบ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยทำให้สติปัฏฐานเกิดระลึกได้บ้าง แม้จะไม่บ่อยในวันหนึ่งๆ ก็ยังรู้ว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

ทุกท่านไม่ต้องห่วงเวลาที่วิปัสสนาญาณจะเกิด หรือเวลาที่มรรคผลนิพพาน จะเกิด ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน มีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกับท่านก็ตาม ถ้าเหตุสมควร แก่ผล วิปัสสนาญาณก็เกิดได้ มรรคผลนิพพานก็เกิดได้

ขอกล่าวถึงข้อความใน อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา อุตตรเถรคาถา

ในพระนครราชคฤห์ มีบุตรของพราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่งชื่ออุตตระ เป็นผู้ที่ รอบรู้ในวิชชาของพราหมณ์ เป็นผู้เกิดมาทำโลกให้เจริญโดยรูป โดยวิชา โดยวัย และโดยศีลาจารวัตร

มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธชื่อวัสสการะ เห็นสมบัตินั้นของเขาแล้ว ประสงค์จะยกธิดาของตนให้ จึงแจ้งความประสงค์นั้นให้เขาทราบ เขาปฏิเสธความหวังดีนั้น เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในพระนิพพาน เขาเข้าไปนั่งใกล้ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ฟังธรรมในสำนักของท่านตามเวลาที่เหมาะสม ได้เป็นผู้มีศรัทธาบวชแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติท่านพระเถระ

ก็โดยสมัยนั้น อาพาธบางอย่างเกิดแก่พระเถระ เพื่อที่จะจัดยาถวายท่าน พระเถระ ท่านอุตตรสามเณรจึงถือเอาบาตรจีวรออกจากวิหารไปแต่เช้า ท่านวางบาตรไว้ริมฝั่งน้ำในระหว่างทาง เดินไปใกล้น้ำแล้วล้างหน้า

ลำดับนั้นโจรคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ติดตาม หนีออกจากพระนครโดยทางประตูด้านหน้านั้น และได้ใส่ห่อรัตนะที่ตนลักมาไว้ในบาตรของท่าน แล้วหนีไป

เมื่อพวกราชบุรุษที่ติดตามโจรมา เห็นห่อของในบาตรของท่านอุตตรสามเณร ก็จับท่านส่งให้วัสสการพราหมณ์

ในครั้งนั้น วัสสการพราหมณ์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้วินิจฉัยคดีของพระราชา สามารถสั่งการลงโทษประหารและทรมานได้ วัสสการพราหมณ์ไม่ยอมไต่สวน ทวนพยานเลย สั่งให้เอาหลาวเสียบประจานท่านอุตตรสามเณรทั้งเป็น เพราะผูกอาฆาตว่า เมื่อก่อนสามเณรไม่เอื้อเฟื้อคำของเรา

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูความแก่รอบแห่งญาณของท่าน อุตตรสามเณรแล้ว ได้เสด็จไป ณ ที่นั้น ทรงวางพระหัตถ์บนศีรษะของท่าน อุตตรสามเณร แล้วตรัสว่า ดูกร อุตตระ นี้เป็นผลของกรรมเก่าเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ เธอจงอดกลั้นด้วยการพิจารณาในผลของกรรมนั้น ดังนี้ แล้วทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่อัธยาศัย

ท่านอุตตรสามเณรก็เกิดปีติปราโมทย์ เกิดวิปัสสนาญาณ บรรลุ โลกุตตรมรรคผลตามลำดับจนถึงอรหัตตผล

เป็นไปได้ทุกแห่ง ทุกกาล ทุกสถานที่ ซึ่งผลของการสะสมความเข้าใจ สภาพธรรมและเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา มีตัวอย่างมากมายในชีวิตของท่านพระเถระทั้งหลายในครั้งนั้นที่แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ปกติธรรมดาซึ่งทุกคนในสมัยนี้ก็เห็น แต่ปัญญาที่จะเกิดนั้นย่อมต่างกัน เช่น ท่านพระวารณเถระได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ในระหว่างทางนั้นท่านเห็นงูเห่ากับพังพอนต่อสู้กันจนตาย ก็เกิดสังเวชสลดใจว่า สัตว์เหล่านี้ถึงความสิ้นชีวิตเพราะโกรธกัน ดังนี้

เห็นโทษของความพยาบาท เห็นโทษของความผูกโกรธ เห็นอันตรายของการประหัตประหารชีวิตกันเพราะความโกรธซึ่งเป็นอกุศล แต่ผู้ที่เห็นพังพอนกับงูเห่ากัดกันในสมัยนี้ จะมีความรู้สึกสลดสังเวชเห็นโทษของอกุศล ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือเป็นมนุษย์ก็เบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกันจนถึงชีวิตหรือไม่ นี่ก็แล้วแต่การอบรมเจริญปัญญาของแต่ละบุคคล

อีกตัวอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ หรือลำบากเดือดร้อนอย่างไร การบรรลุมรรคผลก็ไม่จำกัด ไม่ต้องคิดว่าจะต้องแต่งกายเฉพาะเป็นพิเศษสำหรับการบรรลุ มรรคผล เพราะเป็นเรื่องของความสมบูรณ์ของการอบรมเจริญปัญญา

ข้อความใน อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ภัททชิเถรคาถา มีว่า

ในครั้งนั้น พระศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถี เสด็จไปภัททิยนครพร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เพื่อจะทรงสงเคราะห์ภัททชิกุมาร ทรงคอยความแก่กล้าแห่งญาณของภัททชิกุมารจึงประทับอยู่ ณ ชาติยาวัน

แม้ภัททชิกุมารนั่งอยู่บนปราสาทชั้นบน เปิดสีหบัญชรมองดู เห็นมหาชนเดินไปฟังพระธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาค จึงถามว่า มหาชนเหล่านั้นไปไหน เมื่อทราบเหตุนั้นแล้ว ก็ได้ไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ขณะฟังพระธรรมอยู่ ทั้งๆ ที่ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวงก็ยังกิเลสทั้งมวล ให้ดับสิ้นไป บรรลุพระอรหันต์แล้ว

บางท่านชอบฟังนิทาน แต่นี่ไม่ใช่นิทาน เป็นเรื่องจริงๆ เป็นชีวิตจริงๆ ของ แต่ละบุคคลที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้าสะสมเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเกิดวิปัสสนาญาณและมรรคผลก็ต้องเกิด

มีอีกตัวอย่างหนึ่งของท่านพระเถระรูปหนึ่ง ท่านง่วงในขณะฟังพระธรรม ซึ่งก็คงจะมีทุกกาลสมัย และสำหรับบางท่านที่บอกว่าท่านเป็นคนชอบนอน เวลาที่ฟัง พระธรรมก็อาจจะง่วงด้วย

อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา กัปปฏกุรเถรคาถา มีข้อความว่า

ท่านพระกัปปฏกุรเถระบวชแล้วสึก แล้วก็บวชแล้วสึกถึง ๗ ครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง ท่านพระกัปปฏกุระนั่งโงกง่วงอยู่ท้ายบริษัทในโรงประชุมฟังธรรม แต่เมื่อ พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนด้วยพระคาถา ๒ คาถา ท่านก็เกิดความสลดใจเหมือนถูก ศรแทงจรดกระดูก

นี่จากพระพุทธพจน์ที่ได้ฟัง ทำให้ท่านเกิดความรู้สึกสลดถึงอย่างนั้น

และเหมือนช้างตัวดุ (ที่หลงผิด) เดินตรงทางฉะนั้น และในกาลไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้บรรลุเพราะความง่วง ต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรม เจริญปัญญา เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ยังมีอกุศลอยู่ ก็เป็นของธรรมดาที่ชีวิตแต่ละชีวิตยังมีอกุศลเจตสิก ซึ่งจะดับได้ด้วยโลกุตตรมรรคเท่านั้น กุศลประเภทใดก็ตามที่ไม่ใช่ โลกุตตรมรรค ไม่สามารถดับกิเลสได้

อีกท่านหนึ่งเป็นผู้ที่เกิดความสังเวชสลดใจด้วยอาการที่แปลก ซึ่งยากที่จะเป็นไปได้ ข้อความใน อรรถกถา อุสภเถระ มีว่า

ท่านพระอุสภะเกิดในตระกูลแห่งเจ้าศากยะ กรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อบวชแล้ว ท่านก็ยินดีในการคลุกคลีกับหมู่คณะในเวลากลางวัน และชอบนอนหลับตลอดทั้งคืน ยังเวลาให้ล่วงไป

เหมือนปกติธรรมดา ไม่ใช่เหมือนคนที่จะต้องนั่งคร่ำเคร่งเจริญสติปัฏฐาน ไม่หลับไม่นอนเป็นวันๆ เดือนๆ ซึ่งนั่นก็แล้วแต่อัธยาศัย แล้วแต่การสะสม แต่สำหรับท่านพระอุสภะ ท่านชอบคลุกคลีกับหมู่คณะในตอนกลางวัน และชอบ นอนหลับตลอดทั้งคืน ยังเวลาให้ล่วงไป ในระหว่างที่ท่านบวชแล้ว

วันหนึ่งท่านนอนหลับ ฝันเห็นตนเองปลงผมและหนวดแล้ว ห่มจีวรสีใบมะม่วงอ่อน นั่งบนคอช้างเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต พอเข้าไปเท่านั้น มหาชนก็พากันห้อมล้อมแลดู ท่านจึงลงจากคอช้างด้วยความละอาย ท่านตื่นขึ้นเกิดความสลดใจ และภายหลังท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์ในเวลาไม่นานนัก

มีความฝันอะไรที่ทำให้รู้สึกสลดใจบ้างไหม เกิดหิริโอตตัปปะ ถ้าไม่เคยสะสมอบรมมาก่อนที่จะให้เกิดหิริ หิริก็เกิดไม่ได้ ไม่ว่าจะฝันอะไรทั้งนั้น ทุกคนก็ฝันไป เพราะว่ายังมีอกุศล แต่สำหรับบางคนที่ได้สะสมหิริโอตตัปปะ พร้อมที่จะมีความฝันบางอย่างที่จะทำให้เกิดหิริโอตตัปปะ หิริโอตตัปปะก็เกิด

. ท่านพระเถระเหล่านี้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้โดยปกติ ไม่มีการผิดปกติ และไม่จำเป็นต้องไปสู่ที่สงบสงัด ใช่ไหม

สุ. ที่ไหนก็ได้ ตามตัวอย่างที่กล่าวถึง

. มีบางท่านกล่าวว่า เนื่องจากท่านพระเถระเหล่านี้เป็นอุคฆฏิตัญญู เป็นวิปัญจิตัญญู ท่านจึงทำอย่างนั้นได้ ส่วนพวกเราเป็นปุถุชน ต้องไปที่สงบสงัด จึงจะทำอย่างนั้นได้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่

สุ. ไม่มี

. ไม่มียกเว้นว่า อุคฆฏิตัญญูหรือวิปัญจิตัญญูต้องเจริญสติอย่างหนึ่ง ปุถุชนเจริญสติอีกอย่างหนึ่ง

สุ. เป็นผู้มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

ทุกวัน ทุกคนมีความไม่สบายใจอะไรบ้างจากทางตาที่เห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก

วันหนึ่งๆ บางท่านอาจจะมีความวิตกกังวล ความเดือดร้อนใจ ความไม่ สบายใจมาก แต่ทั้งหมดให้ทราบว่า ปรมัตถธรรมที่ปรากฏ ปรากฏเพื่อให้คิดเรื่องของปรมัตถธรรมนั้นเท่านั้น สุขทุกข์ทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ปรมัตถธรรมซึ่งเกิดปรากฏและดับไปอย่างรวดเร็วจริงๆ แต่อยู่ที่ใจที่คิดเรื่องของปรมัตถธรรมนั้นๆ

ขณะนี้ รูปเมื่อกี้ก็ดับไปหมดทางตา ทางหู เสียงที่เกิดการกระทบให้เกิดได้ยิน ก็ดับไปแล้ว ทางกายที่กระทบอ่อนหรือแข็งก็ดับไป แต่ใจยังไม่ได้ทิ้งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และก็ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องราวต่างๆ แม้เสียงที่ปรากฏ ทางหูในวันหนึ่งๆ ก็ทำให้เกิดความสุขความทุกข์ต่างๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถรู้ได้จริงๆ ว่า สุขทุกข์ทั้งหมดทางใจย่อมเกิดจาก การคิดนึกเท่านั้น จะเป็นหนทางทำให้เห็นความไม่มีสาระของเพียงความคิด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้สติปัฏฐานระลึกลักษณะของปรมัตถธรรม เมื่อเห็นความไม่มีสาระของความคิด

เปิด  246
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565