แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1745
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๐
ถ. อาการไหว หมายความว่า การเคลื่อนไหวเป็นอาการไหวหรือ
สุ. ยังไม่ต้องไประลึกถึงอาการไหว ถ้าอาการไหวไม่ปรากฏ ถ้าแข็งปรากฏ ไม่ต้องระลึกถึงอาการไหว ถ้าเย็นปรากฏ ไม่ต้องระลึกถึงอาการไหว แล้วแต่ว่าลักษณะใดสติระลึก ก็ศึกษาพิจารณาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ. ที่ผมถามเพราะอยากรู้ว่า ลักษณะอย่างนั้นเป็นอย่างไร เพื่อจะนำไปประกอบกับเวลาที่พิจารณาเรื่องสติปัฏฐาน
สุ. ไม่ต้องแกว่งมือก็มีธาตุลม ถ้าไม่ปรากฏก็ไม่ต้องไปรู้
ถ. ที่ว่าท่านพระสารีบุตรเวลาเดินไป ๑ ก้าว มีความรู้สึกถึง ๖ ขณะ หมายความว่าอย่างไร
สุ. ท่านรู้ ก็เป็นเรื่องของท่านรู้ ท่านก็รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ท่านสามารถรู้ถึงการเกิดขึ้นและดับไปของวิตกเจตสิกบ้าง วิจารเจตสิกบ้าง นามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง อย่างรวดเร็วเหลือเกิน
ถ. ในขณะก้าวไป ๑ ก้าวนี่หรือ
สุ. ท่านจะรู้อะไร ท่านก็รู้ได้อย่างรวดเร็วมาก สงสัยอะไร
ถ. ก็เพราะมีพระ หรือมีสำนัก ที่ท่านเดินยกหนอ ย่างหนอ ก้าวไปช้าๆ เพื่อให้มีความรู้สึก ๖ ขณะ เหมือนกับท่านพระสารีบุตรอย่างนี้ ผมก็สงสัยว่า ที่ท่านพระสารีบุตรมีความรู้สึกถึง ๖ ขณะนั้น ท่านรู้สึกอย่างไร และที่พยายามทำเหมือนท่าน จะได้หรือ
สุ. ท่านอนาถบิณฑิกะเป็นคฤหบดี ไม่ใช่เป็นบรรพชิต และท่านก็เป็น พระโสดาบัน จะเอาอย่างท่านพระสารีบุตร หรือพระโสดาบันที่เป็นคฤหัสถ์ ในเมื่อชีวิตจริงๆ ของท่านผู้ฟังเป็นเพศไหน
ถ. ไม่ได้พูดถึงขนาดนั้น แต่ที่เขาทำอย่างนี้ ถ้าทำแล้วจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
สุ. ท่านผู้ฟังยกตัวอย่างท่านพระสารีบุตร จะเอาอย่างท่าน ใช่ไหม
ถ. ไม่ใช่ แต่ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น
สุ. ท่านผู้ฟังเอง สนใจอะไร จะอบรมเจริญปัญญา หรือจะสะสมความสงสัย ความไม่รู้
ถ. อยากจะทราบว่า ท่านทราบได้อย่างไร ที่เขาปฏิบัติกันนั้นเป็นอย่างไร มันแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้
สุ. มิได้ ท่านผู้ฟังจะต้องพิจารณาว่า ท่านผู้ฟังจะอบรมเจริญปัญญา ซึ่งสมบูรณ์พร้อมด้วยเหตุผล และเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏให้พิสูจน์ว่าเป็นความจริง ทุกกาลสมัย หรือท่านผู้ฟังจะสะสมความสงสัย ความไม่รู้ไปเรื่อยๆ
ถ. ก็ไม่อยากสะสม จึงได้ถามอาจารย์
สุ. เมื่อไม่อยากจะสะสม ก็ต้องฟังเรื่องของข้อปฏิบัติที่ทำให้ปัญญาเกิด เพราะทราบแล้วว่าปัญญาต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ซึ่งกำลังเกิดดับอย่างรวดเร็ว สงสัยว่า เดินอย่างนั้นแล้วเกิดปัญญาอย่างไร ใช่ไหม
ถ. ก็ไม่เกิดอะไร
สุ. ไม่เกิด ก็ไม่ต้องปฏิบัติ
ถ. อย่างอานาปานสติ จะเอามาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา จะมนสิการ หรือจะคิดอย่างไร
สุ. คำถามนี้ คือ เมื่อสติเกิดก็จะทำอย่างอื่น คือ จะปฏิบัติอย่างไร ไม่ใช่เป็นการระลึกลักษณะของรูป หรือลักษณะของนามที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และพิจารณาเพื่อจะรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม
นี่คือความต่างกัน ถ้ายังเข้าใจว่า สติเกิดแล้วจะทำอย่างอื่น เช่น จะต้องทำ อานาปานสติ หรืออะไรๆ อย่างนั้น ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน
ถ้าเป็นสติปัฏฐานเกิด คือ ระลึกตรงลมหายใจ และพิจารณาลักษณะที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นรูปธรรม หรือลักษณะของสภาพรู้ซึ่งเป็นนามธรรม นั่นคือสติปัฏฐาน แต่ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรอย่างอื่น ซึ่งส่วนมากมักจะคิดว่าต้องทำอย่างอื่นขึ้นมา ใช่ไหม
ถ. อย่างลมหายใจ ก็ไม่ต้องไปทำ
สุ. ไม่ต้องไปทำ มีเหตุปัจจัยก็เกิด สติปัฏฐานเกิดคืออย่างไร ระลึกที่ไหน ถ้าเป็นลมหายใจ ไม่ใช่สั่งให้ไประลึกที่ลมหายใจ นี่ผิด ไม่ใช่สติปัฏฐาน ถ้ามีใครสั่ง ให้ระลึกที่ลมหายใจ นั่นไม่ใช่สติปัฏฐาน เพราะว่าพยายามด้วยความเป็นตัวตน ไม่ได้มีความรู้ว่า แม้ลมหายใจที่เกิดก็ดับ เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ต้องไประลึกที่ลมหายใจ ไม่ใช่บังคับให้ไปรู้ที่นั่น และไม่มีวิธีว่าต้องทำอย่างนั้นๆ ถ้าเป็นวิธีอย่างนั้นๆ ไม่ใช่สติปัฏฐาน เพราะว่าสติปัฏฐานระลึกตรงรูปลมที่ปรากฏ และศึกษาพิจารณารู้ว่าเป็นรูปธรรม เพราะไม่ใช่สภาพรู้
ถ. เวลาเราหายใจออก พอสุดแล้วก็เป็นหายใจออกดับ เวลาหายใจเข้า สุดแล้วก็เป็นหายใจเข้าดับ
สุ. เวลาเจริญสติปัฏฐานจริงๆ ไม่มีการจำกัดว่าจะหายใจออกหรือ จะหายใจเข้า เพราะว่าสติจะระลึกลักษณะของลมขณะไหนได้ทุกขณะ ถ้าสติปัฏฐาน ไม่ระลึก ก็ไม่ต้องไปสนใจทำอะไรขึ้นมา ถ้าสนใจจะทำอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่สติปัฏฐาน
ขณะนี้กำลังยืนอย่างนี้ ลมหายใจก็มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็มี ธาตุอ่อน แข็ง เย็น ร้อนก็มี เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของรูปอะไร ไม่ใช่ให้ทำ ต้องเข้าใจให้ถูกว่า ไม่ใช่ทำ
ถ. อย่างลมหายใจนี่เราก็ไม่ได้ทำ ถ้าเรารู้สึกว่าลมหายใจมันออกมา จนสุดแล้ว ก็ถือว่ามันดับ
สุ. ยังถือไม่ได้ ไม่ได้รู้ว่าเป็นรูปนาม ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยแยกขาดจากกันที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ และวิปัสสนาญาณขั้นอื่นๆ ยังไม่เกิด จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมไม่ได้
คำว่า ประจักษ์ หมายความถึงปัญญา ขณะนี้เสียงดับไป ทุกคนรู้ว่าเสียงดับ เป็นปัญญาหรือเปล่า เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ทุกคนก็รู้โดยการฟังว่า เห็นก็ดับ และได้ยิน ในขณะนี้ก็ดับจึงเห็นอีก ไม่ใช่เห็นเกิดสืบต่อไปเรื่อยๆ แต่มีได้ยินเกิดสลับ และมี จิตอื่นเกิดสลับ ขณะนั้นเป็นปัญญาหรือยัง ถ้าไม่เป็น จะใช้คำว่า ประจักษ์ ไม่ได้ เพราะว่าประจักษ์หมายความถึงปัญญาที่รู้ชัด
ลักษณะของสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะประจักษ์ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ต่อเมื่อใดปัญญาเจริญขึ้น รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง ปัญญาขั้นนั้น จึงประจักษ์ เพราะว่าสภาพธรรมปรากฏแก่ปัญญาที่อบรมเจริญแล้ว
เรื่องการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่จะต้องฟังจริงๆ และเข้าใจจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนา และไม่สับสนปะปนกันเรื่องของมิจฉาสมาธิ เรื่องของสัมมาสมาธิ เรื่องของสมถภาวนาต่างกับ วิปัสสนาภาวนาอย่างไร ในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นการอบรมเจริญกุศลทุกประการ ก็เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาด้วย ถ้าสติปัฏฐานเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
สำหรับความสัมพันธ์กันของทั้ง ๓ ปิฎก จะเห็นได้ว่า เพื่อให้ปัญญาอบรม รู้สภาพธรรมตามเพศของคฤหัสถ์และบรรพชิต ซึ่งบางท่านสับสน เป็นคฤหัสถ์แต่ อยากจะทำ คือ อยากจะปฏิบัติธรรมยิ่งกว่าเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น ไม่สามารถบรรลุผลได้ หรือเป็นบรรพชิตที่ยังมีการประพฤติอย่างคฤหัสถ์ ก็ไม่สามารถบรรลุผล ที่ประสงค์ได้ เพราะชีวิตของบรรพชิตกับชีวิตของคฤหัสถ์ต่างกันมาก ผู้ที่อบรม เจริญสติปัฏฐานเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริงว่า ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็อบรมเจริญปัญญาในเพศของคฤหัสถ์ ไม่ใช่ไปทำอย่างบรรพชิต คือ ต้องไปสู่สถานที่หนึ่งที่ใด และไม่ทำกิจการงานใดๆ เพราะแม้บรรพชิตท่านก็ยังมีกิจที่จะต้องกระทำตามเพศของบรรพชิต แต่ต้องเข้าใจว่า ก่อนที่สติปัฏฐานจะเกิด เพราะเคยยึด เคยคิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ทุกบรรพของสติปัฏฐาน เพื่อให้พิจารณาลักษณะของรูปและนามที่ปรากฏ
ขอเรียนถามท่านผู้ฟังที่ยังอาจจะไม่แจ่มแจ้ง หรืออาจจะสงสัยไม่แน่ใจ เช่น ถามว่า เจริญสติปัฏฐานเพื่ออะไร ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว ขอกล่าวทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ก็อาจจะทำให้เพิ่มความแจ่มแจ้งขึ้นได้
เจริญสติปัฏฐานเพื่ออะไร
การกระทำทุกอย่างต้องมีจุดประสงค์ ถ้าไม่รู้จุดประสงค์ไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้ เพราะฉะนั้น ท่านที่จะเจริญสติปัฏฐาน จะเจริญสติปัฏฐานเพื่ออะไร
คำตอบเปลี่ยนได้ แต่ต้องถูก จะตอบอย่างไรก็ได้
ถ. เพื่อรู้สภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
สุ. ตอบอย่างนี้ก็ได้ จะตอบอย่างอื่นอีกได้ไหม เรื่องเดียวกันสัมพันธ์กันทั้งหมด แล้วแต่ว่าจะตอบแง่ไหน ถ้าจะตอบว่าเพื่อละความไม่รู้ ได้ไหม ก็ได้อีก ละความไม่รู้อะไร ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้แค่ไหน แค่ที่ยังไม่รู้เลยว่า เป็นนามธรรมและรูปธรรมอย่างไร หรือว่าแค่ที่ยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม
วิปัสสนาญาณทุกวิปัสสนาญาณประจักษ์แจ้งอะไร
คำตอบจะเหมือนเดิมไหม
ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จะประจักษ์อย่างอื่นนอกจากลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ไหม
ชีวิตตามความเป็นจริงในวันหนึ่งๆ ของผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน จะเห็นความสัมพันธ์กันของสภาพปรมัตถธรรมที่ปรากฏกับความคิดนึก และการเจริญ สติปัฏฐาน เพราะว่าสติปัฏฐานจะเกิดสลับกับปรมัตถธรรมที่ปรากฏ
ขณะนี้ทางตาเป็นสิ่งที่มีจริง กำลังเห็น สติปัฏฐานเกิดสลับกับปรมัตถธรรม ที่ปรากฏ เพราะว่าสติปัฏฐานจะระลึกลักษณะของธาตุรู้ที่กำลังเห็นในขณะนี้ หรือว่าระลึกศึกษาลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจนรู้ชัด ละคลายการยึดถือสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นบุคคลต่างๆ โดยการรู้ว่า คิดนึกเกิดสืบต่อจากทางตา
นี่คือการที่สติปัฏฐานเกิดสลับกับปรมัตถธรรมที่ปรากฏในวันหนึ่งๆ เพราะว่า มีสภาพปรมัตถธรรมปรากฏให้ศึกษา เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานก็ศึกษาโดยระลึกลักษณะของปรมัตถธรรมที่ปรากฏ สติปัฏฐานจึงเกิดสลับกับปรมัตถธรรมที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งผลก็คือว่า เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และปัญญาจะค่อยๆ โน้มไปสู่การ ละคลายการยึดถือสภาพธรรม เช่น ถ้าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ทางตาเท่านั้น ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น จะรักจะชังสิ่งที่ปรากฏทางตาและก็ดับไป อย่างนั้นหรือ
แสดงให้เห็นว่า ปัญญาที่จะเจริญจากการเป็นปุถุชนจนกระทั่งถึงความเป็น พระอรหันต์ดับกิเลสได้ก็คือการรู้สัจจธรรม ของจริงที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยแยกออกได้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นอย่างไร และหลังจากนั้นคิดนึกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปร่างสัณฐานอย่างไร เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะอยู่กับความคิดเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งทั้งหมด เป็นเพียงชั่วขณะเดียวที่เกิดและดับไป
ถ. การเจริญสติปัฏฐานเท่าที่ได้ฟังได้ศึกษามาว่า ต้องมีปัจจุบันอารมณ์ คือ ต้องมีอารมณ์ปัจจุบัน เพื่อระลึกถึงปรมัตถธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น ในการสนทนาธรรมเมื่อวันเสาร์ก่อน มีผู้หนึ่งบอกว่า ได้ค้นคว้าในพระไตรปิฎกแล้วว่า การเจริญสติปัฏฐาน ใครนะเป็นคนพูดว่าต้องมีปัจจุบันเป็นอารมณ์ เพราะ ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้บอกว่าต้องมีปัจจุบันเป็นอารมณ์ อดีตก็ได้ อนาคตก็ได้ มีตั้ง ๗ อารมณ์ มีหลักฐานอย่างไรที่แสดงให้เห็นว่า อารมณ์ปัจจุบันนั้นถูกต้อง
สุ. ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ปัญญาที่จะประจักษ์แจ้งทุกขอริยสัจจ์นั้น คือรู้อะไร เพราะว่าอริยสัจจธรรมมี ๔ อริยสัจจ์ที่ ๑ คือ ทุกขอริยสัจจ์ ได้แก่ การเกิดดับของสภาพธรรมตามปกติที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้ง การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จะชื่อว่า รู้ทุกขอริยสัจจ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ทางตาเกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่ศึกษา ไม่พิจารณารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ย่อมไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ จึงไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของทุกขอริยสัจจ์
ถ. ที่อาจารย์ตอบมาก็เป็นเหตุผล ผมเองได้ตอบไปด้วยเหตุผลอีกอันหนึ่งว่า ถ้ายังนำอดีตมาเป็นอารมณ์ เอาอนาคตมาเป็นอารมณ์ หรือเอาอารมณ์ทั้ง ๗ ที่เขาไปค้นคว้ามาอย่างไรก็แล้วแต่ จะเป็นอารมณ์อดีต หรือเป็นอารมณ์อนาคต ถ้ามาสู่ปัจจุบันในขณะนั้นแล้ว จะไม่มีเรื่องราว จะไม่มีสัตว์ จะไม่มีบุคคล ถ้ายัง เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องราวอยู่ จะตัดวัฏฏะได้อย่างไร ขณะนั้นจิตก็ยังเป็นจิตที่ปรุงแต่งเป็นเรื่องราวอยู่ ไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ คำตอบของผมที่ตอบไป จะเป็นเหตุผลไหม
สุ. ไม่ทราบว่าจะเจริญปัญญาหรือเจริญสติปัฏฐานเพื่ออะไร
ถ. เพื่อตัดวัฏฏะ
สุ. ถ้ายังไม่รู้จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน จะเจริญสติปัฏฐานทำไม หรือจะเจริญสติปัฏฐานเพื่ออะไร เพราะฉะนั้น การศึกษาพระอภิธรรม หรือการฟังพระธรรม จะต้องรู้ว่า จุดประสงค์คือเพื่ออะไร