แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1771
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลจังหวัดอุดรธานี
วันอาทิตย์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
สุ. มีคำถามของพระคุณเจ้าที่ถามว่า อาตมามีความสงสัย พระอริยบุคคลทั้ง ๔ จำพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ แต่ละท่านได้ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ได้หรือไม่ ส่วนญาณ ๑๖ นั้นให้คุณโยมอธิบายให้กระจ่างด้วย
สำหรับสติปัฏฐาน ๔ ใช้เวลาบรรยายตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ จนถึงขณะนี้ พ.ศ. ๒๕๓๑ ซึ่งก็คงจะต้องบรรยายต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ เพราะว่าใครจะจบได้ ในเมื่อยังมีชีวิตดำเนินไป เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง และก็ยัง ไม่เข้าใจเรื่องของจิต เรื่องของสภาพธรรม เรื่องของปัญญา เพราะฉะนั้น ก็จะต้องแสดงพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียด เพื่อเกื้อกูลให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ตั้งแต่ขั้นการฟัง จนกระทั่งถึงขั้นที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพียงพูดเรื่องเห็น แต่ว่าเห็นมีจริงๆ ที่จะ ต้องประจักษ์แจ้ง
ที่ว่าญาณ ๑๖ นั้น ให้คุณโยมอธิบายให้กระจ่างด้วย ซึ่งที่ห้องประชุม ตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย บรรยายเรื่องของญาณยังไม่ถึง ๑๖ คือ ได้บรรยายมาถึงประมาณญาณที่ ๑๓ ไม่ทราบว่าตั้งต้นเมื่อไร อาจจะถึงปี เพราะฉะนั้น ในเวลา ๒ ชั่วโมงนี่ก็เป็นไปไม่ได้ ขอเชิญท่านที่สนใจรับฟังทางวิทยุ สทร. ๒ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ถึงญาณ ๑๖ แต่ต่อไปก็คงจะถึง
สมพร ผมว่าแทนที่จะบรรยายญาณ ๑๖ คือ อาจารย์ได้บรรยาย ญาณตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าเข้าใจญาณเบื้องต้นให้ดี เป็นญาณที่สำคัญ คือ นามรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี เราค่อยกระเถิบขึ้นไปทีละญาณๆ อย่างนี้จะมีประโยชน์ แต่ละญาณที่อาจารย์บรรยายใช้เวลานานมากด้วย
สุ. ถ้าพูดถึงผลโดยไม่พูดถึงเหตุก็ย่อมไร้ประโยชน์ ที่ว่าใช้เวลานานก็เพราะว่าเมื่อกล่าวถึงญาณใด ก็กล่าวถึงเหตุที่จะให้บรรลุถึงญาณนั้นด้วย
มีคำถามว่า เครื่องย้อมเครื่องทาอันเป็นฐานคือเหตุแห่งการแต่งตัว คำว่าเครื่องย้อมนี้จะรวมทั้งสบู่ ยาสระผม ยาสีฟันทั้งหมด หรือเฉพาะแต่ละอย่าง ด้วยหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีพวกน้ำหอมผสมอยู่ด้วย ผู้รักษาอุโบสถศีลจะใช้ได้หรือไม่
อาจารย์สมพรได้เคยรักษามาแล้ว ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยตอบ
สมพร เครื่องย้อม เครื่องทา เป็นเครื่องประดับตบแต่งให้สวยงาม ทำให้เรามัวเมาหลงใหลในความสวยความงามเป็นเหตุให้ประมาท เมื่อความประมาทเกิดขึ้นก็ไม่สมควรเลย เพราะเราถืออุโบสถต้องประกอบด้วยความไม่ประมาท เครื่องทาทุกชนิดที่เกี่ยวกับความสวย ความงาม ทาคิ้ว หรือทาผิวให้สวยงาม เหล่านี้จัดอยู่ในเครื่องประทินผิวทั้งหมดเลย ส่วนเครื่องทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการทำให้สวยงามเหล่านั้น ไม่จัดว่าเป็นเครื่องย้อมเครื่องทา
สุ. อาจารย์หมายความว่า สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน พวกนี้ใช้ได้ ใช่ไหม แม้ว่าจะมีน้ำหอมผสมอยู่ด้วย
สมพร ถ้าเราไม่ติดอยู่ในสิ่งนั้น ไม่ยินดีติดใจในน้ำหอม เพียงคิดว่าช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกไป ไม่เกี่ยวกับการประดับตบแต่งร่างกายก็ใช้ได้
สุ. คำถามข้อ ๒. อุโบสถศีลข้อ ๘ อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี งดเว้นจากการนั่งและนอนบนที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ ฉะนั้น เบาะรถทุกชนิด เก้าอี้ทุกชนิดที่ บุฟองน้ำ จะนั่งได้ไหม สำหรับผู้รักษาอุโบสถศีล
สมพร ขึ้นอยู่กับเจตนาของเราเป็นใหญ่ บางครั้งเราต้องอาศัยรถไป ไม่มีทางอื่น ถ้าเราหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะประมาทได้ เราก็ควรหลีกเลี่ยง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พิจารณาว่า การกระทำเช่นนี้ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยง แต่จิตเราไม่ยินดี ความประสงค์ คือ ต้องการไม่ให้เพลิดเพลินยินดีติดใจในอารมณ์นั้น ให้มาสนใจเรื่องสติปัฏฐาน พิจารณาร่างกายนี้เป็นใหญ่ คือ ต้องการไม่ให้มัวเมาเท่านั้นเอง นี่เป็นศีลที่ขัดเกลาเล็กๆ น้อยๆ กว่าจะถึงการเจริญภาวนา
ถ. ความตั้งใจอยากปฏิบัติเป็นโลภะหรือเปล่า
สุ. ถ้าเปลี่ยนเป็นอยากเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะดีกว่าไหม
ถ. ก็หมายความว่า ... (ได้ยินไม่ชัด)
สุ. เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญา ไม่ใช่เป็นศาสนาของความงมงายไร้เหตุผล เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งสิ้น เหตุกับผลต้องตรงกัน
ถ. มีความตั้งใจที่จะสอบไล่ได้ เป็นโลภะ แต่ถ้าตั้งใจจะหลุดพ้น ...
สุ. ถ้าประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเห็นผิด นั่นเป็นฉันทะ ไม่ใช่โลภะ มีสภาพธรรม ๒ อย่างที่คล้ายกัน แต่โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ฉันทะเป็นสภาพที่พอใจที่จะกระทำกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้
ถ. เราจะแยกได้อย่างไรว่า เมื่อไรเกิดโลภะ เมื่อไรเกิดฉันทะ
สุ. ขณะที่มีความติดข้องด้วยความเป็นตัวเรา ขณะที่ยึดมั่นติดข้อง ไม่ปล่อย เป็นเรา ขณะนั้นเป็นโลภะ ทุกอย่างที่ต้องการให้เป็นของเรา แม้แต่ปัญญาของเราก็เป็นโลภะด้วย
ถ. ฉันทะจะเกิดเองไม่ได้ต้องอาศัยเหตุปัจจัย ...
สุ. ทุกอย่างเกิดเองไม่ได้เลย แม้แต่เราทุกคนก็คงอยากจะเป็นคนดี เรารักคนดี เวลาที่มีใครเป็นคนดีมาให้เราเห็น เราก็ชื่นชม อยากจะเหมือนอย่างเขา แต่รู้สึกว่าเราทำไม่ได้ เพราะว่าสะสมมาไม่เหมือนกัน แต่ละคนที่ต่างๆ กันไป ไม่เหมือนกันเลย ก็เพราะเหตุว่าสะสมมาต่างๆ กัน
สะสมทางฝ่ายอกุศลก็วิจิตรประณีตมาก ถ้าศึกษาชีวิตแต่ละชีวิต ในพระไตรปิฎก และทางฝ่ายกุศลก็วิจิตรต่างๆ กันไปมาก ทุกยุคทุกสมัยไม่ว่า จะในสมัยพระไตรปิฎกหรือในสมัยนี้ คนเราก็ต่างกันไป แต่ทุกคนสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาและละคลายกิเลสได้ ไม่ควรจะท้อถอย หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามตามความเป็นจริง ไม่รีบร้อน ไม่ฮวบฮาบ เพราะว่าเรามีอวิชชามากมายเหลือเกินในแสนโกฏิกัปป์ และวันนี้จะให้หมด เป็นไปได้ไหม หรือว่าเดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ เราจะดับกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรงต่อตัวเองจึงเป็นผู้ที่เข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร ถ้าปัญญา ยังไม่รู้ ก็หมายความว่าถูกกิเลสหลอกว่าเรารู้มาก เพราะบางคนอาจจะคิดว่า ละเสียตั้งเยอะแยะแล้ว ไม่ติดโน่น ไม่ติดนี่ แต่ความจริงแล้วตราบใดที่ปัญญายัง ไม่เกิด ขอให้รู้ว่า ถูกกิเลสหลอกอีกแล้ว ไม่ได้ละอะไรเลย แต่เข้าใจว่าละ เพราะว่า ไม่ได้รู้อะไร เมื่อไม่รู้แล้วจะละได้อย่างไร ความรู้ก็ละความไม่รู้ แต่ถ้ายังคงไม่รู้ จะไปละความไม่รู้ไม่ได้
ถ. ศีลข้อ ๑ ปาณาติบาต ที่บ้านมียุง มด ซึ่งไม่อยากจะฆ่า แต่ก็ก่อกวนเรามาก ทำอย่างไรจึงจะไม่ผิดศีล
สุ. ผู้ที่จะมีศีล ๕ ได้สมบูรณ์ไม่ล่วงเลย คือ พระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังมีเหตุที่ทำให้ล่วงศีลได้ แต่ไม่ใช่ให้เราเป็นผู้ประมาท หมายความว่าควรละเว้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทนที่จะฆ่าให้มากที่สุดที่จะกระทำได้ พยายามใช้วิธีอื่น ไม่จำเป็นต้องฆ่า เพราะว่าทุกชีวิตรักชีวิต ไม่มีใครอยากเจ็บไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่
เวลาที่เราเจ็บ เราไม่รู้ตัวเลยว่าเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ กรรมของเราเอง เราอาจจะคิดว่าเป็นเพราะคนอื่นทำให้ แต่ความจริงถ้าเราไม่เคยทำอกุศลกรรม การเบียดเบียนคนอื่นให้เจ็บปวด ก็ไม่มีเหตุให้เราได้รับวิบากนั้น แต่เวลาที่เรากำลัง ทำร้ายสัตว์อื่น ทำไมเราไม่คิดถึงความเจ็บซึ่งสัตว์นั้นกำลังได้รับ และวันหนึ่งเราก็จะเหมือนกับสัตว์นั้น คือ กำลังได้รับความเจ็บอย่างนั้น ซึ่งเป็นผลของการที่เราทำ ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้จริงๆ เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยง โดยใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่การฆ่า ซึ่งจะต้องมีความอดทน
กุศลทุกอย่างต้องมีขันติ มีความเพียร อาจจะจับไปปล่อยที่หนึ่งที่ใดที่ไกลๆ หรืออะไรอย่างนั้นก็ได้ และสัตว์เล็กสัตว์น้อยนั้นก็จะต้องตาย ไม่ใช่ไม่ตาย เขาก็มีชีวิตอยู่เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเอง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนให้เขาตายเดี๋ยวนี้ วันนี้
การคุมกำเนิดไม่ใช่การฆ่า เป็นการป้องกัน ใช่ไหม
สมพร การที่ท่านบอกว่า ฆ่าสัตว์หลีกเลี่ยงไม่ได้ ศีล ธรรม ๒ อย่างเป็นของคู่กัน ถ้าเรามีธรรม คือ มีเมตตา แทนที่จะฆ่าสัตว์มาก เราก็ฆ่าเล็กน้อย หรืออาจจะไม่ฆ่าเลย เพราะฉะนั้น ศีลต้องอาศัยธรรมคือเมตตา ธรรมก็ต้องอาศัยศีล คือการไม่ฆ่าสัตว์ เพราะพิจารณาเห็นว่าสัตว์อื่นก็เหมือนเรา เรารักชีวิตฉันใด เขาก็ รักเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ศีลกับธรรมถ้ามีคู่กัน การฆ่าสัตว์อาจไม่มีเลย หรืออาจจะมีเล็กน้อยซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเข้าใจด้วยว่า ศีลธรรมอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าเรามีอย่างเดียวอาจจะบกพร่องมากสักหน่อย ถ้ามี ๒ อย่าง สติอาจเกิดได้ง่าย เพราะอาศัยศีลและธรรม อันนี้เป็นข้อที่ควรระวังสำหรับศีลข้อที่ ๑ ข้ออื่นๆ ก็คงเหมือนกัน ศีลอาศัยธรรม ธรรมอาศัยศีล เช่น เราไม่ลักทรัพย์ การที่เราไม่ลักทรัพย์เพราะเราเมตตาคนอื่น กลัวเขาจะเดือดร้อน อันนี้เป็นธรรม การไม่ลักทรัพย์ก็เป็นศีล เพราะฉะนั้น ท่านจึงบอกว่า ศีลอาศัยธรรม ธรรมอาศัยศีล ทั้ง ๕ ข้อก็ทำนองเดียวกัน
ถ. สมมติมีมดอยู่บนโต๊ะ และเราต้องเช็ดโต๊ะให้สะอาดก็กวาดไป แต่ไม่มีเจตนาทำร้ายมด จะบาปไหม จะเป็นกุศลจิตไหม หรืออย่างลูกน้ำในโอ่งเอายาฆ่ายุงใส่ลงไป จะบาปไหม หรือหนูในบ้าน อยากขับไล่ ไม่อยากฆ่า ก็เก็บอาหารไม่ให้เหลือเลย เมื่อสะอาดหนูก็ไป ไม่ได้เจตนาฆ่า จะเลี่ยงทำอย่างไร
สุ. เห็นมด รู้ด้วยว่าเป็นมด รู้ว่ามดไม่ตาย ครบองค์ของการฆ่าแล้ว คือ มีเจตนา ข้อนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์ เพราะเมื่อกี้บอกว่าไม่มี แต่ขอให้พิจารณาว่า รู้ว่าเป็นสัตว์มีชีวิต และมีความเพียร คือ การจะเช็ดโต๊ะ และมดตายหรือเปล่า เวลาเช็ด
ถ. ต้องตาย
สุ. มดตาย ก็ครบองค์ แต่ถ้าสามารถเลี่ยง ก็เลี่ยงได้ คงจะเคยเห็นคนที่สงสารมด คือ สงสารสัตว์เล็กสัตว์น้อย และในสังสารวัฏฏ์เราก็ฆ่ามานักต่อนักแล้ว ถ้าเราจะเว้นไม่ฆ่าเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือ ลดการฆ่าของเราลงไปเท่าที่จะกระทำได้ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างบางคนอาจจะบอกว่า จำเป็นเหลือเกิน เช่น การเช็ดโต๊ะ จำเป็นเหลือเกินไหมที่ต้องให้มดตาย หรือสามารถช่วยชีวิตโดยที่ว่า เช็ดก็เช็ด แต่ไม่ให้ตายก็ได้ ถ้าเป็นคนที่เพิ่มความขยันขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย คิดว่าทำได้
บางคนใช้ไม้กวาดเบาๆ หรือใช้ปากเป่าไป นิดๆ หน่อยๆ สะบัดก็ได้ ก็ไปแล้ว หรือไม่ชอบให้อยู่ในห้อง ก็เอาออกไปสะบัดข้างนอก คือ ทำอะไรที่อาจจะต้องเพิ่มความขยันหรือความอดกลั้นความอดทนขึ้นอีกสักเล็กน้อย แต่ช่วยชีวิต ตั้งหลายชีวิต เพราะว่ามดหลายตัว
คิดถึงว่า ถ้าเราวิรัติ ไม่ฆ่า ตั้งหลายชีวิตขณะนั้นที่ไม่ฆ่า จิตของเราจะอ่อนโยนเป็นกุศล มีเมตตา และสะสมความเพียรที่ว่า จะไม่ทำสิ่งที่รุนแรง โดยไร้ความจำเป็น ถ้าจะจำเป็นจริงๆ สักวันหนึ่งที่มีเหตุการณ์ที่จะต้องทำก็เรียกว่าอย่างสุดขีดจริงๆ ดีกว่าจะหัดเป็นคนที่ฆ่าง่ายๆ ทำลายชีวิตหรือทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนได้ง่ายๆ
จะเห็นได้ว่า ถ้าเริ่มสะสม เราจะสะสมบารมีได้ตั้งหลายอย่าง คือ สะสมขันติ ความอดทนด้วย อย่างมีท่านผู้หนึ่งถามว่ายุงร้องที่หู ได้ยินอยู่แล้วตบ จะบาปไหม คือ ท่านถามทุกอย่าง อะไรๆ ก็บาปไหม อะไรๆ ก็บุญไหม แม้แต่เวลาพูด ท่านไม่ชอบมองหน้าคนที่พูดด้วย บาปไหม ท่านมาสรุปที่บาปไหมบุญไหมอยู่อย่างนั้น แต่ความจริงแล้วต้องเรียนถามท่านว่า บาปของท่านคืออะไร บุญของท่านคืออะไร ถ้าท่านยังไม่เข้าใจว่าบาปคืออะไร บุญคืออะไร ท่านก็ต้องมีคำถามอยู่อย่างนี้ ตลอดชีวิตของท่าน เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง แต่ถ้าท่านตอบให้ตรงจริงๆ คือ ถามท่านว่าบุญคืออะไร ถ้าท่านตรงและท่านตอบ ท่านก็ตอบเองได้ทุกกรณีว่า ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล เป็นโลภะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ นั่นคือบาป ขณะใดที่ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ มีอโลภะ อโทสะ อโมหะ ขณะนั้นเป็นบุญ ถ้ารู้อย่างนี้ก็ ตอบเองได้
เพราะฉะนั้น เวลาที่เราสะสมอบรมจิตใจที่จะเป็นกุศล เว้นการไม่ฆ่าแม้แต่มดในขณะนั้น เราก็มีทั้งสะสมขันติ ความอดทน สะสมวิริยบารมีด้วย ความเพียร บางคนอาจจะเก็บมดไปทีละตัวๆ ก็ได้ ซึ่งในขณะนั้นจิตจะอ่อนโยนจริงๆ จะมีเมตตาจริงๆ และรู้สึกว่าจะไม่เดือดร้อนใจในการที่เราทำอย่างนั้น แต่ถ้าเราไม่อดทน เราไม่อดกลั้น เราฆ่าไปทีเดียว ๑๐๐ ตัว วันหลังเราก็รู้สึกว่าเราฆ่าสัตว์ไปตั้ง ๑๐๐ ตัว เราได้ทำกรรมไปแล้ว จิตใจย่อมต่างกัน การที่จิตใจจะเดือดร้อนเพราะการทำอกุศล ก็ต้องมี แต่เวลาที่ทำกุศลอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วระลึกขึ้นมาได้ในภายหลัง จะไม่เดือดร้อนเลย ถ้าเป็นกุศลจริงๆ
มด หนู แมลงสาบก็เหมือนกัน ถ้าเกิดจิตเมตตาจะต่างกับขณะที่เป็นโทสะ ความไม่ชอบ
ถ. ถ้าเราเก็บของหมด ไม่มีอาหาร ...
สุ. เอาออกไปข้างนอกก็ได้ เปิดประตูให้ออกไปเสียหน่อยหนึ่ง
ถ. ... อย่างหนูนี่ เราเก็บของไม่ให้มีอะไรกินเลย ในที่สุดเขาก็ตาย
สุ. เคยเห็นคนเลี้ยงจิ้งจกไหม มีจริงๆ เวลารับประทานอาหารเสร็จแล้ว ในบ้านมีจิ้งจก เขาก็เหลือข้าวไว้ในจานสักเม็ดสองเม็ดให้จิ้งจกกิน
ขึ้นกับเมตตาว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน ไม่มีกฎ พระพุทธศาสนาไม่เหมือนศาสนาอื่นที่มีบัญญัติหรือข้อห้าม แต่เป็นศาสนาที่ชี้แจงในเรื่องเหตุและผล แล้วแต่ว่าใครจะมีฉันทะที่สะสมมาที่จะทำกุศลหรือจะทำอกุศล ไม่เป็นข้อห้าม แม้แต่ศีลก็เป็นการสมาทาน หมายความว่าผู้นั้นเจตนาวิรัติงดเว้นด้วยตนเอง ไม่มีใครบังคับ เพราะว่าบังคับไม่ได้ เมื่อบังคับไม่ได้ และยังมีกิเลส มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ บังคับไม่ได้แล้วจะบังคับทำไม ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคไม่ทรงทำ สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะรู้ว่าเมื่อบังคับไม่ได้ก็ทรงแสดงเหตุผล แต่ไม่ใช่บังคับ
เคยมีชาวอิสลามถามปัญหาที่จังหวัดตากว่า เมืองเราเป็นเมืองพุทธ แต่ทำไมส่งเสริมการผลิตสุรา การจำหน่ายสุรา และการดื่มสุราด้วย ก็ต้องเรียนชี้แจงว่า ไม่ได้จำกัดเฉพาะชาวไทย ชาวเทศ เมื่อเป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งโลกที่มีโลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นของธรรมดาว่า อกุศลกรรมหรือการกระทำที่ไม่ดีทั้งหลายต้องมาจากอกุศลจิต บังคับไม่ได้เลย ต่อเมื่อใดดับกิเลสแล้วก็ไม่ต้องบังคับ ไม่มีการบังคับ อีกต่อไป เพราะว่าไม่มีเชื้อปัจจัยที่จะให้เกิดการกระทำที่เป็นอกุศลนั้นๆ