แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1783

สนทนาธรรมที่โรงพยาบาล จังหวัดเลย

วันอาทิตย์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑


ถ. ศีลบางข้อ เช่น มุสา ห้ามพูดปด ถ้ามีคนมายืมเงินเรา เรารู้ว่าเขามีหนี้สินมาก ถ้าให้ไปเราก็ไม่ได้คืน เรามีก็บอกว่าไม่มี โกหกไปอย่างนี้จะผิดศีลไหม

สุ. สำหรับผู้ที่พยายามจะรักษาศีล ๕ เป็นผู้ที่รู้สึกตัวในขณะที่พูดว่า พูดสิ่งที่จริงหรือพูดสิ่งที่ไม่จริง เพราะฉะนั้น เวลาที่มีคนมาขอยืมเงิน และเราไม่ให้ เราก็บอกว่าไม่มีที่จะให้ยืม หรือไม่มีพอที่จะให้ยืม มีพอสำหรับอย่างอื่นทั้งนั้น แต่ ไม่มีพอที่จะให้ยืม

มีคำถามว่า ในสมัยพุทธกาลมีการกล่าวถึงการเหาะเหินเดินอากาศของสาวกพระพุทธเจ้า มีการกล่าวถึงนาค ครุฑ เทวดา แม้กระทั่งการเทศน์สั่งสอนของพระ ในสมัยปัจจุบันว่า อดีตมีจริง แต่อาจารย์จะให้ข้อคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างใดว่า มีจริงหรือไม่ หรือเป็นอุบายสอนคนรุ่นหลังให้มีความเชื่อศรัทธาเท่านั้น เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตกับธรรมต่อไปในแนวทางที่ถูกต้อง

ก็เป็นที่น่าสงสัยจริงๆ เพราะว่าต่างยุคต่างสมัย คนในสมัยนี้คงจะนึกภาพ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้แน่ๆ แม้ว่าจะแสดงมหาปุริสลักษณะไว้ถึง ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ก็ไม่มีใครสามารถคิดและเทียบเคียงได้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร นี่ก็เป็นความสงสัยอย่างหนึ่ง เพราะว่าต่างกาล ต่างสมัย เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงเรื่องของการ เหาะเหินเดินอากาศทั้งของพระผู้มีพระภาคเองและของสาวกเอง ต่างกาลสมัย มาจนถึงสมัยนี้ จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม

สมัยนี้ทุกคนไปต่างประเทศได้ทั้งๆ ที่ยังมีกิเลสทางเครื่องบิน และใช้จรวดไปถึงโลกอื่นก็ไปได้ด้วย ซึ่งเราอาจจะคิดว่าในสมัยก่อนโน้นจะเป็นไปได้ไหม ถ้าคิดว่า สมัยนี้มีได้ ก็จะสงสัยต่อไปว่า สมัยก่อนๆ โน้นเมื่อ ๗,๐๐๐ กว่าปี หรือแสนปีก่อน จะมีอย่างนี้หรือไม่

ถ้าเป็นเรื่องของความสงสัย จะมีความสงสัยหลายอย่าง สมัยนี้ไม่เคยเห็น ใครเหาะ ไม่เคยเห็นใครเดินบนน้ำ หรือไม่เห็นมีใครจะทะลุกำแพงล่องหนออกไป ได้เลย เพราะฉะนั้น จะมีได้ไหม

เหตุต้องสมควรแก่ผล แต่ขอให้คิดเปรียบเทียบเพียงว่า แม้ยุคนี้คนที่มีกิเลสมากๆ ก็ยังข้ามประเทศไปได้อย่างรวดเร็ว แต่โดยวิธีต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็น ยุคสมัยของการเจริญทางด้านจิตใจ เพราะว่าเป็นกาลสมบัติ มีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ก่อนที่จะ ได้ทรงตรัสรู้ลักษณะของจิตของแต่ละคนในขณะนี้ว่าเป็นสังขารธรรม

เพียงจิตขณะเดียวที่เกิดขึ้นมีอะไรเป็นปัจจัย หลายปัจจัยที่ทำให้จิตชั่วขณะนี้เกิดขึ้นทำกิจรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วดับ คือ เห็นบ้าง ได้ยินบ้างเหล่านี้ และทรงแสดงสภาพของรูปไว้ละเอียดยิบจนกระทั่งยากที่คนอื่นแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถ ที่จะแสดงถึงสมุฏฐานของรูปแต่ละรูปได้ว่า รูปบางกลุ่มซึ่งเล็กที่สุดนั้น ซึ่งมี อากาศธาตุช่องว่างคั่นอยู่ทั่วตัว บางรูปเกิดขึ้นเพราะกรรม บางรูปเกิดขึ้นเพราะจิต บางรูปเกิดขึ้นเพราะอาหาร บางรูปเกิดขึ้นเพราะอุตุ คือ ความเย็นความร้อน

ผู้ที่สะสมบารมีมาถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่หาง่ายในแสนโกฏิกัปป์ แล้วแต่ว่าจะถึงกาลสมัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเมื่อไร และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ก่อน พระองค์นี้ ก็ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรมซึ่งแสนที่จะรู้ยาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องเก่งกว่าพวกนักวิทยาศาสตร์มากมายที่สามารถพาคนหลายๆ คนเหาะไปพร้อมๆ กัน แต่นี่เป็นเรื่องความเจริญทางด้านจิตใจ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ วิชชา คือ วิชชา ๓ วิชชา ๘ หมายความว่านอกจากการตรัสรู้อริยสัจจธรรมแล้ว ยังทรงสามารถระลึกชาติ หรือเหาะเหินเดินอากาศ ทำสิ่งที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ เพราะสมบูรณ์ด้วยเหตุ

เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงจิตจำแนกออกเป็น ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภทโดยละเอียด จิตบางประเภทไม่ใช่จิตที่ ทุกคนมีในชีวิตประจำวันอย่างจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตคิดนึก ซึ่งเป็นกามาวจรจิต มีจำนวน ๕๔ ประเภท เป็นจิตที่วนเวียนอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่เป็นจิตที่สูงกว่า คือ เป็นรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต

แต่แม้เพียงกามาวจรจิต ๕๔ ประเภท ในขณะนี้ทุกคนก็มีไม่ครบ เพราะว่ารวมถึงจิตของพระอรหันต์ด้วย ซึ่งแม้ว่าเป็นจิตที่ดับกิเลสหมด แต่ยังเห็น ยังได้ยิน ยังเป็นไปในรูปทางตา ในเสียงทางหู ในกลิ่นทางจมูก ในรสทางลิ้น ในโผฏฐัพพะ ทางกาย เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาโดยละเอียด มีจิตระดับสูงอีกหลายขั้นซึ่งเป็นจิตที่ มีพลัง หรือมีกำลัง ซึ่งถ้าได้ฝึกหัดอย่างยอดเยี่ยมแล้วจะทำให้สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ แต่ไม่ใช่ของหลอกลวง หรือไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อง่ายๆ ว่า แม้คนยุคนี้ก็ทำได้ เพราะว่าคนยุคนี้ไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องเหตุที่จะทำให้เกิดผลอย่างนั้น เพียงแต่อ้างอิงว่าสามารถจะกระทำได้

ถ้าพิจารณาถึงลักษณะของจิตซึ่งมีพลัง คือ มีกำลังของสมาธิขั้นต่างๆ แม้ มิจฉาสมาธิก็ยังสามารถทำให้เกิดรูปเพียงเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่น บางคนอาจจะพยายามรักษาโรคด้วยกำลังของสมาธิ แต่ขณะนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ก็ยังมีพลังที่จะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจิตนั้นระงับจากอกุศลหรือดับอกุศลได้ตามลำดับขั้น และเป็นผู้ที่มีจิตสงบมั่นคงมาก จะสามารถฝึกหัดจิตนั้นในทางหนึ่ง ทางใด ทำให้มีจักษุทิพย์จริงๆ ได้ โสตทิพย์จริงๆ ได้ ระลึกชาติจริงๆ ได้ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์จริงๆ ได้

ถ้าคนสมัยนี้จะกล่าวว่า ไม่เชื่อ ก็หมายความว่ายังไม่ได้พิจารณาว่า เหตุที่จะทำให้สามารถเกิดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ มีได้ไหม แต่ก็คิดว่าไม่มี ซึ่งถ้าศึกษาจะรู้ได้ว่า แม้มีก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ไม่ควรเป็นผู้ที่เชื่อง่าย โดยเพียงใครบอกอย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น

ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ศึกษาพระธรรม เป็นผู้ที่มีเหตุผล และรู้ด้วยว่า ผลที่กล่าวนั้นมาจากเหตุอะไร เพราะทรงแสดงไว้โดยตลอด ไม่เป็นผู้ที่เชื่อใครง่ายๆ ถ้ามีใครบอกว่าบุคคลนี้เป็นพระอรหันต์ พุทธศาสนิกชนจะไม่เชื่อเพียงคำบอกเล่าว่า นี่เป็นพระอรหันต์ แต่จะต้องรู้ว่าปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณก่อนที่จะเป็น พระโสดาบันนั้นต้องรู้อย่างไร และโดยข้อปฏิบัติอย่างไรที่จะอบรมเจริญได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ตื่นเต้น หรือว่าเชื่อง่าย ไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น

และสิ่งใดที่มีกล่าวไว้ เช่น นาค หรือครุฑ หรือเทวดา ก็แสดงให้เห็นถึงกำเนิดที่ต่างกันเพราะกรรม ขณะนี้มนุษย์ในโลกนี้จะมีสักกี่แสนกี่พันล้านคนก็ตาม ไม่มีหน้าตาที่เหมือนกัน อาจจะมีส่วนคล้าย แต่กรรมก็จำแนกส่วนละเอียด ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า แม้แต่หัวแม่มือ ไม่มีทางที่จะเหมือนกันเลย หัวแม่มือนี่ เล็กนิดเดียว แต่เขาก็สามารถขยายให้เห็นความต่างกันของลายนิ้วมือของหัวแม่มือได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ส่วนอื่นก็ต้องต่างกันด้วย แม้แต่รูปร่างกาย และจิตใจ

เพราะฉะนั้น นาค หรือครุฑ หรือเทวดา ก็ต้องมีได้ ในเมื่อสัตว์บกสัตว์น้ำ ก็ยังมีรูปร่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ถึงอย่างนั้นเลย ถ้าจะมีปากอย่างครุฑ มีปีกอย่างครุฑ หรืออะไร ก็ไม่ใช่เป็นความน่าอัศจรรย์ ในเมื่อเป็นเรื่องของกรรม เพียงแต่ว่าต่างกาล ต่างสมัย สมัยนี้ไม่มีใครเห็นไดโนเสาร์ แต่จะบอกได้ไหมว่า ไม่เคยมี เพียงสัตว์ชนิดเดียว เพราะฉะนั้น ย้อนไปอีก ไกลกว่านั้นอีก จะมีผู้ที่เป็นนาค เป็นครุฑได้ไหม ถ้ามีเหตุที่จะให้เป็นได้ ก็ต้องเป็นได้

สำหรับเทวดานั้น มีแน่นอน เพราะว่ากุศลกรรมมีทั้งที่ประณีตและไม่ประณีต การเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล แต่มนุษย์ก็ยังต้องรับผลของอกุศลกรรมยาม เจ็บไข้ได้ป่วย หรือถูกภัยพิบัติต่างๆ น้ำท่วม ไฟไหม้ บางคนก็อัศจรรย์ใจในกรรมของแต่ละคน อาจจะอยู่ในห้องเล็กๆ ที่แคบและมีไฟไหม้ ออกมาไม่ได้ หรือติดอยู่ในห้องที่มีลูกกรง เวลาที่เกิดไฟไหม้แต่ละครั้ง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นสัก ๑๐ วัน ๒๐ วัน ๑๐๐ วัน ด้วยอำนาจของกรรมก็ย่อมเป็นไปได้

ในภูมิมนุษย์ซึ่งเป็นผลของกุศลยังได้รับผลของกรรมอย่างนี้ ถ้าเป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดในภูมิซึ่งเร่าร้อนด้วยไฟ หรือด้วยอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ฉันใด ถ้าเป็นผลของกุศลที่ประณีตกว่าภูมิมนุษย์ สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ย่อม ประณีตกว่า

ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์ ก็ยังต้องมีเหตุให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เกิดเป็นเปรต เกิดในนรก หรือเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดในสวรรค์ หรือแม้แต่จะเป็นพรหม ก็ต้องมีเหตุ คือ ต้องเป็นระดับจิตอีกขั้นหนึ่ง คือ ขั้นที่กุศลสงบมั่นคงถึงฌานจิต ซึ่งไม่ใช่ง่าย

ถ. จิตใต้สำนึกสามารถสั่งการให้ร่างกายของผู้นั้นทำอย่างหนึ่งอย่างใดได้หรือไม่ เช่น นอนหลับแล้วละเมอทำสิ่งต่างๆ เพราะอะไรจิตใต้สำนึกจึงสั่งการได้

สุ. ธรรมเป็นเรื่องละเอียด และเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจถูก แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยชินหู เช่น คำว่า จิตสั่งรูป แต่ขอให้ทราบว่า จิตสั่งไม่ได้เลย

จิตเป็นเพียงสภาพรู้ คือ เห็น หรือได้ยิน หรือคิดนึก ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป มีกลุ่มของรูปที่เกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน แต่ไม่ใช่เพราะจิตสั่ง จิตไม่มีเวลาจะสั่งอะไรเลย จิตเป็นสภาพที่รู้อย่างเดียว ไม่ว่าจิตประเภทใดเกิด จิตประเภทนั้นกำลังรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด

คำว่า อารมณ์ ขอเรียนให้ทราบสั้นๆ ย่อๆ ว่า หมายความถึงสิ่งที่จิตกำลังรู้ เมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่จิตกำลังรู้ และสิ่งที่จิตกำลังรู้นั้นเรียกว่า อารมณ์

เพราะฉะนั้น อารมณ์กว้างขวางมาก เพราะจิตสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้นิพพานก็เป็นอารมณ์ของจิตด้วย เป็นอารมณ์ของโลกุตตรจิตซึ่งจะทำให้เป็น พระอริยบุคคลดับกิเลสได้

ขอให้ทราบว่า จิตสั่งไม่ได้ เพราะจิตเป็นสภาพที่เพียงเกิดขึ้นรู้และดับไป แต่ มีรูปที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐานได้

เวลาที่ทุกคนนั่ง และลุกขึ้นยืน จิตสั่งอะไรไหม จิตสั่งรูปให้ยืนหรือเปล่า

ถ. จิตสั่ง

สุ. สั่งว่าอย่างไร

ถ. สั่งให้ยืน

สุ. นึกเป็นคำ หรือนึกอย่างไร เพราะโลภมูลจิตซึ่งต้องการจะยืนเกิดขึ้น จึงเป็นปัจจัยให้รูปยืนขึ้น เพราะมีความต้องการ แม้แต่จะยื่นมือออกไปก็ไม่ใช่สั่งมือว่ายื่นไป ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพราะความต้องการที่จะหยิบ เมื่อมีความต้องการอย่างนี้เกิดขึ้น ก็มีรูปซึ่งเกิดเพราะจิตที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวไปจับต้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่มีการนึกว่า หยิบน้ำส้ม หยิบแก้ว ลุกขึ้น ไม่มีการสั่งอย่างนั้น หรือไม่มีแม้การนึก แต่เป็นการที่เมื่อจิตประสงค์หรือต้องการ โลภมูลจิตอย่างใดเกิด ก็ทำให้รูปเป็นไปอย่างนั้นตามที่ต้องการ

คงจะเข้าใจแล้วว่าจิตไม่สั่ง แต่เพราะจิตมีความต้องการ อย่างเมื่อสักครู่ที่ ลุกขึ้นยืน ก็เพราะต้องการยืนจึงมีรูปที่ยืนขึ้น มีจิตที่ต้องการจะยืนเป็นปัจจัยให้รูปนี้ ยืนขึ้น แต่ไม่ใช่สั่งว่า ยืนขึ้น ไม่ได้นึกเป็นคำอะไรเลย หรือคิดว่าจิตสั่งที่ยืนเมื่อกี้

ถ. ก็โดยอัตโนมัติ

สุ. เพราะว่าจิตต้องการอย่างใด ก็ทำให้อาการของรูปอย่างนั้นเป็นไป ตามความต้องการของจิต

ถ้าพูดถึงจิตที่ขาดความรู้สึกตัว พวกละเมอต่างๆ หมายความว่า มีโลภมูลจิต มีโมหมูลจิต เกิดสลับกัน และโมหะซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้สึกตัวมีมากจึงทำให้แม้ว่า จะมีกิริยาอาการเคลื่อนไหวไปด้วยกำลังของโลภมูลจิต แต่เพราะโมหะแทรกคั่นมาก ก็ทำให้ไม่รู้ตัว

ถ. เรื่องกาลามสูตรมีอยู่ ๑๐ ข้อ ข้อ ๑ อย่าเชื่อถือโดยการฟังตามกันมา ข้อ ๒ อย่าเชื่อถือโดยเห็นตามกันมา ข้อ ๓ อย่าเชื่อถือโดยเล่าลือกันมา ข้อ ๔ อย่าเชื่อถือโดยอ้างตำรา ข้อ ๕ อย่าเชื่อถือโดยนึกเดาเอาเอง ข้อ ๖ อย่าเชื่อถือโดยคิดติดตามอาการเป็นไป ข้อ ๗ อย่าเชื่อถือโดยชอบใจว่าถูกต้องตามหลักของตน ข้อ ๘ อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ ข้อ ๙ อย่าเชื่อถือโดยการคาดคะเนเอาเอง ข้อ ๑๐ อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องกาลามสูตรนี้จะไม่ขัดต่อคำสอนของท่าน ที่มีต่อคนทั่วๆ ไปหรือ

สมพร ตามที่กล่าวมา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจวาจา เมื่อ ตรัสสิ่งใดแล้ว สิ่งนั้นจะไม่ขัดกันทั้งเบื้องต้น เบื้องปลาย เบื้องต้นตรัสอย่างไร เบื้องปลายก็ตรัสอย่างนั้น

แต่มีข้อโต้แย้งอย่างที่ว่า ไม่ให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง ถ้าเราพิจารณาให้ดี อ่านให้ตลอดจะเห็นว่า การที่ไม่ให้เชื่อ ๑๐ อย่าง ไม่ให้เชื่อโดยความงมงาย คือ ต้องพิจารณาก่อนว่า สิ่งนี้เป็นกุศลจริงหรือไม่ สิ่งใดทำจิตให้เศร้าหมอง สิ่งนั้นเป็นอกุศลจริงหรือไม่ สิ่งใดทำจิตให้ผ่องแผ้ว สิ่งนั้นเป็นกุศลจริงหรือไม่ คนไม่มีโลภะเป็นกุศลหรือไม่ คนไม่มีโทสะเป็นกุศลหรือไม่ เมื่อพิจารณาโดยเหตุผลแล้ว จึงให้เชื่อ แต่ไม่ให้เชื่อโดยงมงาย โดยลักษณะ ๑๐ อย่างนั้น

ถ. จุดมุ่งหมายที่เป็นสุดยอดปรารถนาของแต่ละสังคม มนุษย์แต่ละบุคคล คือ ความสงบสุขของบุคคลและสันติภาพของสังคม เพราะฉะนั้น เราจะอาศัยหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคม และให้มนุษย์แต่ละคนมีความสงบสุขได้อย่างไร โดยอาศัยหลักธรรมในแง่ไหน หมวดไหน

สุ. ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า สังคม คือ แต่ละบุคคลรวมกันเป็นสังคมหนึ่งสังคมใด เพราะถ้าใช้คำว่า สังคม ก็ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนเดียว สังคมหนึ่งจะต้องประกอบด้วยบุคคลหลายคน เพราะฉะนั้น การที่จะแก้สังคม ช่วยสังคม หรือทำให้สังคมดีขึ้น จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าแต่ละบุคคลไม่แก้ตัวเอง ซึ่งแต่ละบุคคลมารวมกันเป็นสังคม เพราะฉะนั้น ถ้ามีอวิชชา คือ ความไม่รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ โดยความถูกต้อง เช่น ไม่เข้าใจเรื่องของกุศลและอกุศล ไม่เข้าใจเรื่องผลของกุศลและผลของอกุศล ไม่มีทางใดเลยที่จะทำให้ตัวเองและสังคมดีขึ้น

ถ้าทุกคนยังมีอวิชชา คือ ความไม่รู้จักตัวเอง ก็คือไม่รู้จักโลก ที่กล่าวว่า ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักโลก ก็เพราะว่าตัวเองมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ และสิ่งที่เราเรียกว่า โลก ก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่ตาเห็น เสียงที่หูได้ยิน กลิ่นที่รู้ทางจมูก เป็นต้น หรือการคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ก็ไม่พ้นจากโลกย่อยๆ ๖ โลกนี้เลย ที่รวมกันเป็นโลกใหญ่ ที่เข้าใจว่าเป็นโลกที่วุ่นวาย ก็ต้องมาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าอวิชชาไม่รู้ความจริงของโลกทั้ง ๖ ทางนี้ ไม่มีทางที่จะสงบได้ แต่ถ้ามีปัญญาเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จะทำให้เข้าใจโลกถูกต้องขึ้นว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์ที่แท้จริง และสิ่งใดยังไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ คือ แต่ละคนแก้ไขตัวเอง และในขณะเดียวกัน ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลให้คนอื่นได้เข้าใจหนทางวิธีที่จะแก้ไขตัวของเขาด้วย ถ้าสามารถเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่มีการรู้จักตัวเอง ไม่มีการแก้ไขตัวเอง ก็แก้ไขสังคมไม่ได้

เปิด  240
ปรับปรุง  21 ต.ค. 2566