แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1791
ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๑
ถ. เวลานอนไม่หลับ เป็นลักษณะของฟุ้งซ่าน ใช่ไหม อย่างคิดไปเรื่อย คิดโน่น คิดนี่ ถูกไหม
สุ. ขณะที่ไม่หลับ เป็นวิถีจิตทางหนึ่งทางใด แล้วแต่ว่าจะเป็นขณะที่เห็น เป็นวิถีจิตทางตา ต้องเห็นรูปที่ยังไม่ดับด้วย ขณะที่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียงใด เป็นวิถีจิตทางหู
ถ. ถ้าเรานอนไม่หลับ หลับตาคิดโน่นคิดนี่เป็น ...
สุ. ขณะนั้นจะเป็นทางไหน ต้องเป็นวิถีจิตเพราะกำลังคิด ทางไหน
ถ. มโนทวาร
สุ. ทางใจ มโนทวาร
ถ. เป็นลักษณะของการฟุ้งซ่าน ใช่ไหม
สุ. ขณะนี้กำลังฟุ้งหรือเปล่า ทำไมไปคิดถึงแต่ตอนที่นอน จะนอนหรือ ไม่นอนก็ตามแต่ ขณะที่ไม่ใช่กุศล ขณะนั้นฟุ้งซ่านด้วยโลภะ หรือด้วยโทสะ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นขอทบทวนเรื่องวิถีจิตอีกครั้งหนึ่งว่า ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จิตเป็นอะไร
คำถามเปลี่ยนใหม่ คือ ขณะใดที่จิตไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จิตเป็นอะไร
กำลังพูดถึงเรื่องมโนทวาร แต่อยากจะให้เข้าใจชัด เพราะว่าบางท่านรู้ชื่อ ตามหนังสือ แต่ไม่ได้พิจารณาสภาพของวิถีจิตจริงๆ ว่า มโนทวารขณะไหน และปัญจทวารขณะไหน
เพราะฉะนั้น ช่วยตอบว่า ขณะที่จิตไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ขณะนั้นเป็นจิตอะไร
มีจิต ๒ จำพวกใหญ่ คือ วิถีจิตและไม่ใช่วิถีจิต ความหมายของวิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง คือ ถ้าเห็นก็อาศัยตา เป็นวิถีจิตที่ รู้อารมณ์ทางตา ถ้าได้ยินต้องอาศัยหู จึงเป็นวิถีจิตทางหู เพราะว่าเกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยอาศัยหู จึงเป็นโสตทวารวิถีจิต ขณะใดที่กลิ่นกระทบจมูกและยังไม่ดับ จิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นรู้กลิ่นที่ยังไม่ดับ เป็นวิถีจิตที่ต้องอาศัยฆานปสาทเป็นทวาร เพราะฉะนั้น จิตทั้งหมดเป็นฆานทวารวิถีจิต
ทางลิ้น เวลารับประทานอาหารให้ทราบว่า ต้องอาศัยชิวหาปสาทรสจึง ปรากฏได้ ถ้าชิวหาปสาทไม่มี จะไม่มีการลิ้มรส จะไม่มีจิตที่กำลังรู้รส จะไม่มีการชอบหรือไม่ชอบในรสนั้น เพราะว่ารสไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จิตทุกประเภทที่รู้รส ที่ยังไม่ดับเป็นชิวหาทวารวิถีจิต เพราะต้องอาศัยชิวหาปสาทเป็นทวาร เป็นทางที่จะเกิดขึ้นรู้รสนั้น
ทางกาย ก็มีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว แม้ในขณะนี้ พระธรรมพิสูจน์ได้ ขณะนี้ถ้ามีแข็งปรากฏ ก็รู้ได้ว่าขณะนั้นต้องมีกายปสาท เพราะว่าจิตอาศัยกายปสาท รู้แข็ง กายปสาทเองไม่รู้แข็ง แต่ขณะที่กำลังรู้แข็งเป็นจิตที่อาศัยกายปสาทเกิดขึ้น รู้รูปแข็งที่ยังไม่ดับ
ถ้ารู้รูปใดที่ยังไม่ดับ ต้องเป็นวิถีจิตทางทวารหนึ่งทวารใด คือ ทางตา หรือ ทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย
ถ้าเรื่องของปัญจทวารวิถีจิตเข้าใจชัดเจนแล้วจะต้องทราบว่า สำหรับ มโนทวารวิถีจิตไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่จิตนั้นเองอาศัยการเห็น การได้ยิน ที่เคยสะสมมาในวันหนึ่ง ในเดือนหนึ่ง ในปีหนึ่ง ในชาติหนึ่ง ทำให้ ไหวตามอารมณ์ตามที่สะสมมาที่เป็นปัจจัยให้จิตรู้อารมณ์นั้น โดยวิตกเจตสิกตรึกถึงอารมณ์นั้น
ในขณะที่ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าเป็นวิถีจิต ต้องเป็นมโนทวารวิถี เพราะนั้น ในขณะที่นอนไม่หลับ ต้องเป็นจิตที่นอนไม่หลับ เป็นกุศลจิต หรือ เป็นอกุศลจิต กำลังนอนไม่หลับ
ถ้าเป็นกุศลจิต ไม่เดือดร้อนเลย ขณะที่นอนไม่หลับและเป็นกุศล จะไม่มีการเดือดร้อนเลย ใครก็ตามมีเรื่องไม่หลับให้ทราบว่า ขณะนั้นเพราะอกุศลจิตเกิดขึ้น ทำให้คิดไปต่างๆ ด้วยความรำคาญใจที่ไม่หลับ
เปลี่ยนเป็นกุศลจะดีกว่าไหม ไม่หลับแล้วเป็นกุศลจะไม่เดือดร้อน แต่ขณะใด ที่เดือดร้อน ให้ทราบว่า เป็นอกุศล
ถ. ขณะที่รำคาญนั้นก็เป็นโทสะ ใช่ไหม
สุ. ถูกต้อง ทางทวารไหน
ถ. ทางมโนทวาร ส่วนมากลักษณะของฟุ้งซ่านจะเป็นลักษณะของโทสะหรือเปล่า
สุ. รำคาญใจ ไม่ชอบ สังเกตได้จากความรู้สึก ความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ไม่เป็นสุข ทั้งหมดเป็นสภาพของโทสะ
ถ. และฟุ้งซ่านเหมือนกันไหม
สุ. ฟุ้งซ่านก็เป็นอกุศล อุทธัจจเจตสิกเกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท
ถ. ถ้าเรานอนไม่หลับ แต่รู้สึกเฉย ๆ จะเป็นอย่างไร คือ คิดไปเรื่อยๆ
สุ. เป็นกุศลหรือเปล่า
ถ. ไม่ใช่กุศล
สุ. ถ้าไม่ใช่กุศล ต้องเป็นอกุศล และถ้าเฉยๆ ขณะนั้นไม่ใช่โทสมูลจิต ต้องเป็นโลภมูลจิต หรือโมหมูลจิต
นี่เป็นความจำเป็นที่จะต้องรู้ความรู้สึกว่า ความรู้สึกประเภทใดเกิดกับ จิตประเภทใด ถ้าเป็นความรู้สึกเฉยๆ เกิดกับอกุศลจิตได้ ๒ ประเภท คือ เกิดกับ โมหมูลจิต หรือโลภมูลจิต
ถ. ลักษณะของโมหะรู้ได้อย่างไรในเมื่อมันเฉยๆ ถ้าเราจะพิจารณา สภาพธรรมที่ปรากฏ ...
สุ. อยากรู้ลักษณะ ใช่ไหม
ถ. ไม่ต้องพิจารณาหรือ
สุ. ถามว่า ต้องการรู้ลักษณะ ใช่ไหม
ถ. ใช่
สุ. ถ้าเป็นอวิชชาแล้วไม่รู้ ต้องเป็นปัญญาจึงจะรู้ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ไม่ใช่สติปัฏฐานไม่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ และถ้าเป็นสติปัฏฐานก็เลือกไม่ได้ว่าอยากจะรู้ลักษณะของโมหะ เพราะว่าสติเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ขณะใดที่สติเกิด สติจะระลึกรู้ลักษณะของปรมัตถธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเลือกไม่ได้
ถ. ก็กำลังฟุ้งซ่านอยู่ เราก็อยากจะระลึกทุกรูปทุกนาม
สุ. เป็นเรื่องของความอยาก อกุศลไม่สามารถจะละคลายอกุศลได้ ยิ่งอยาก ก็ยิ่งยุ่ง
ถ. ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องรู้หรือ เพราะอาจารย์บอกว่า ต้องรู้ ...
สุ. อบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ว่าไม่ต้องรู้ อบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้น การฟังให้เข้าใจ
ถ. ก็หนูพยายามพิจารณาลักษณะ แต่ไม่ปรากฏ
สุ. ด้วยปัญญา หรือด้วยความเป็นตัวตน
ถ. ด้วยความเป็นตัวตน
สุ. ด้วยความเป็นตัวตน ก็ไม่สามารถจะรู้ได้
ถ. ก็จะพยายามทำให้เป็น ...
สุ. พยายามด้วยความเป็นตัวตน ไม่ใช่ปัญญา
ถ. แล้วลักษณะปรากฏ ...
สุ. ตอบไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่ปัญญา ต้องฟังให้เข้าใจ และสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จึงจะรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม และจะ ละคลายความเป็นตัวตน นอนไม่หลับก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ทำไมเดือดร้อน ก็เพราะความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ต้องละคลายความเป็นตัวตนเสียก่อน
ถ. คือ อยากจะรู้ลักษณะของนามธรรมที่ปรากฏ
สุ. อยากจะรู้ ก็ไม่มีหนทางจะรู้ ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่เจริญขึ้น
ถ. ต้องค่อยๆ พิจารณาไม่ใช่หรือ
สุ. ต้องรู้ว่า ต้องอบรมเจริญปัญญา สติเกิดเมื่อไร เมื่อนั้นก็ศึกษาลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมจนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น
ถ. ต้องให้รู้เองหรือ
สุ. ถ้าอยากรู้และรู้ได้ วันนี้ก็เป็นพระอรหันต์
ถ. ศีล ๘ นี่ไม่ให้ …
สุ. อย่าเพิ่งถึงศีล ๘ ขอถามสักนิดหนึ่งว่า ขณะใดที่ไม่ใช่วิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ขณะนั้นเป็นจิตอะไร
การที่จะต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วผ่านไป เวลานี้กำลังสนใจ เรื่องวิถีจิต เพราะว่านอนไม่หลับ และยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นต้องศึกษาลักษณะของสภาพธรรมให้เข้าใจขึ้น ยังไม่ต้องถึงกับจะดับกิเลส หรือ นอนหลับทุกวันด้วยความสุข แต่เพิ่มความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ก่อนอื่นต้องตอบคำถามว่า ขณะใดที่ไม่ใช่วิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นจิตอะไร
ถ้าพูดไปแล้วและไม่สอบถามจะไม่ทราบเลยว่า ท่านผู้ฟังรับฟังไปมากน้อยเท่าไร และมีการพิจารณาเข้าใจละเอียดมากน้อยเท่าไร เพราะฉะนั้น จะทราบได้ ก็ด้วยการสอบถาม ก็ขอให้ท่านผู้ฟังท่านนี้เป็นตัวแทนของท่านผู้ฟังท่านอื่น แต่คงจะไม่ใช่แทนสำหรับทุกท่าน เพราะว่าคำตอบก็คงจะไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอฟังคำตอบจากท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง
จะตอบว่าอย่างไร ให้ทุกคนได้เข้าใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อที่จะละเอียดขึ้น
ขณะใดที่ไม่ใช่วิถีจิตทางตา ไม่ใช่วิถีจิตทางหู ไม่ใช่วิถีจิตทางจมูก ไม่ใช่วิถีจิตทางลิ้น ไม่ใช่วิถีจิตทางกาย ขณะนั้นจิตเป็นอะไร
ถ. เป็นวิถีจิตทางใจ
สุ. เป็นวิถีจิตทางใจ หรือเป็นอะไร ถ้าเข้าใจแล้วจะตอบได้เลย ถ้าไม่ใช่ วิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เป็นวิถีจิตทางใจ หรือมิฉะนั้น ก็เป็นอะไร
ถ. มโนทวารวิถีจิต
สุ. มโนทวารวิถีจิตกับวิถีจิตทางใจนี่เหมือนกัน ภาษาไทยกับภาษาบาลีเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่วิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เป็นวิถีจิตทางใจ หรือเป็นจิตอะไร
ไม่ทราบ แสดงว่ายังต้องฟังอีก ผ่านไปยังไม่ได้เลย ขอให้เข้าใจตอนนี้จริงๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องไหนก็อยากจะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาเรื่องนั้นจนกระทั่งเข้าใจ ถ้ามี ข้อสงสัยอะไรสักนิดสักหน่อยก็ถามเลย เพื่อจะได้ไม่ต้องท่อง แต่เข้าใจ และจะจำได้ เมื่อเข้าใจแล้วต้องจำได้ ต้องหาคำตอบมาอีกคำหนึ่งว่า ถ้าไม่ใช่วิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นวิถีจิตทางใจ หรือเป็นจิตประเภทไหนอีก
ทบทวนให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง มีจิต ๒ จำพวก กี่ภพกี่ชาติก็จะแบ่งจิตออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ จิตที่เป็นวิถี กับจิตที่ไม่ใช่วิถี พูดกลับกันก็ได้ให้เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง คือ ทุกภพทุกชาติจะแบ่งจิตออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต กับจิตที่เป็นวิถีจิต
จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต คือ จิตที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ จิตใดก็ตามที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตนั้นไม่ใช่วิถีจิต มีไหม จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต
ถ. มี
สุ. ขณะไหน
ถ. ขณะหลับ
สุ. ขณะหลับสนิท ไม่ฝัน ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นเป็นอะไร เป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต
เพราะฉะนั้น ก็ตอบได้ว่า ขณะที่จิตไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นจิตที่รู้อารมณ์ทางใจ เป็นวิถีจิตทางใจ หรือใช้คำว่า มโนทวารวิถีจิต หรือมิฉะนั้นแล้วเป็นจิตอะไร ก็เป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต คือ เป็นภวังคจิต
แสดงให้เห็นว่า ก่อนที่จิตจะเกิดขึ้นเห็นก็ตาม ได้ยินก็ตาม ลิ้มรสก็ตาม รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็ตาม หรือคิดนึกก็ตาม ต้องเป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต ก่อนที่จะเป็นวิถีจิต จิตที่เกิดก่อนวิถีจิตนั้นไม่ใช่วิถีจิต ถูก หรือผิด
ถูก เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต มีอยู่ ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ๑ ภวังคจิต ๑ จุติจิต ๑
ขณะปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตไม่ใช่วิถีจิต ไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ขณะที่เป็นภวังค์ ขณะนั้นไม่ใช่วิถีจิต ไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ขณะที่เป็นจุติจิต ขณะนั้นไม่ใช่วิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต คือ ขณะที่เป็นปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต
ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ในชาติหนึ่ง ๆ เป็นจิตประเภทเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกัน คือ ขณะแรกที่เกิดทำกิจปฏิสนธิสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ขณะที่ยัง ไม่ถึงจุติ ทำภวังคกิจ คือ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น ยังไม่สิ้นสภาพความ เป็นบุคคลนั้น และขณะสุดท้าย คือ จุติจิต ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้
นี่คือปรมัตถธรรมล้วนๆ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป เกิดดับๆ สืบต่อกัน แสดงให้เห็นถึงสภาพที่ ไม่ใช่วิถีจิต และวิถีจิต และไม่ใช่วิถีจิต และวิถีจิต เกิดสลับกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ทุกชาติ ในแสนโกฏิกัปป์ก็เป็นอย่างนี้
ก่อนวิถีจิตจะเกิด ต้องเป็นภวังคจิต ถูกต้องไหม จักขุปสาทรูปเกิดดับๆ รูปารมณ์เกิดดับๆ อย่างเร็วมาก และเวลาที่รูปารมณ์กระทบกับปสาทรูป การที่จิตเห็นจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีภวังคจิตเกิดก่อน ถูกต้องไหม
เพราะฉะนั้น อตีตภวังค์ ที่ใช้คำว่า อตีตภวังค์ ที่กล่าวถึงในตำราพุทธศาสนา แสดงถึงขณะที่รูปเกิดขึ้นและจะตั้งอยู่ คือ ยังไม่ดับไปจนกว่าจิตจะเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งในระหว่างที่รูปยังไม่ดับ คือ ทั้งจักขุปสาทรูปและรูปารมณ์ยังไม่ดับนั้น จะมีจิตอะไรบ้างที่เกิดขึ้น ๑๗ ขณะ จิตเหล่านั้นที่ต้องอาศัยทวารเป็นวิถีจิต ถ้าเป็นทางตา รูปารมณ์เกิดกระทบกับจักขุปสาท ขณะนั้นภวังคจิตเป็นวิถีจิตหรือเปล่า
ไม่เป็น
ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากอะไร ถ้าความเข้าใจถูกต้อง ธรรมจะไม่เปลี่ยนสภาพ เป็นอย่างอื่นเลย ถ้าเป็นภวังคจิตตราบใด ตราบนั้นไม่ใช่วิถีจิต
เพราะฉะนั้น อตีตภวังค์ คือ ขณะที่จักขุปสาทกระทบกับรูปารมณ์ทางตา และทั้งรูปารมณ์และจักขุปสาทรูปยังไม่ดับ ภวังคจิตเกิดขึ้นและดับไปด้วย ไม่มี สภาพธรรมใดที่เกิดแล้วไม่ดับ
เมื่ออตีตภวังคจิตดับไป การกระทบกันนั้นเป็นปัจจัยให้ภวังคจิตดวงต่อไปไหว เพื่อที่จะทิ้งอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ของภวังค์ เพื่อรู้อารมณ์ใหม่ที่กระทบกับจักขุปสาท เมื่ออตีตภวังคจิตดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้ภวังคจลนะเกิดขึ้น ดับไป และภวังคจิตที่เกิดต่อเป็นกระแสภวังค์ดวงสุดท้าย คือ ภวังคุปัจเฉทะ
เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว วิถีจิตต้องเกิดต่อ จะไม่มีภวังคุปัจเฉทะ หลายๆ ขณะ เพราะถ้ายังเป็นภวังค์อยู่เรื่อยๆ จะไม่ชื่อว่าภวังคุปัจเฉทะ แต่จะเป็นภวังคจลนะๆ ไปเรื่อยๆ เพราะว่าวิถีจิตยังไม่เกิด
ขณะใดที่วิถีจิตจะเกิด กระแสภวังค์ต้องสิ้นสุด เป็นกระแสภวังค์ดวงสุดท้าย คือ ภวังคุปัจเฉทะ เกิดขึ้นและดับไป เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว ภวังคจิตจะ เกิดต่ออีกไม่ได้เลย วิถีจิตต้องเกิด
นี่เป็น ๓ ขณะแล้วสำหรับภวังคจิต รูปยังไม่ดับ แต่ประเดี๋ยวจะดับแล้ว แสดงให้เห็นว่าสั้นมาก เล็กน้อยมากจริงๆ
การอบรมเจริญปัญญา จะต้องเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า การที่รูป จะดับนั้น จะดับจริงๆ ได้อย่างไรถ้าปัญญาไม่เข้าใจถึงความละเอียดของสภาพธรรม การที่จะน้อมระลึกรู้ลักษณะของนามบ้าง รูปบ้าง ทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง จะไม่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ถ้าไม่เป็นพหูสูต คือ ไม่ฟังความละเอียด และพิจารณาสภาพธรรมโดยละเอียดจริงๆ
ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตขณะแรก ถ้าเป็นทางตา ขณะนั้นก็มีรูปารมณ์เป็นอารมณ์
จิตทุกขณะต้องเป็นสภาพรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นขณะนั้นรู้รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ ปัญจทวาราวัชชนจิตเพียงรู้รูปารมณ์ที่กระทบกับทวารและดับไป แต่รูปารมณ์ยังไม่ดับ ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิต เพราะอาศัยจักขุปสาทเป็นทวารเกิดขึ้นรู้รูปารมณ์ แต่ไม่เห็น เพียงแต่รู้