แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1792

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๑


เวลาแขกมาหาที่ประตูบ้าน ทราบไหมว่าใคร ยังไม่เห็น ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่รู้ว่ามีแขก ฉันใด ปัญจทวาราวัชชนจิตก็ฉันนั้น รู้รูปารมณ์ แต่ไม่เห็น เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตหรือจะใช้คำว่าจักขุทวาราวัชชนจิตก็ได้ เกิดขึ้นและดับไป รูปยังไม่ดับ เป็นขณะที่ ๔ ของอายุของรูป เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับแล้ว จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น ทำทัสสนกิจ

เห็น ขณะนี้กำลังเห็น เป็นจักขุวิญญาณ แต่ปัญจทวาราวัชชนจิตซึ่งเกิดก่อน มีใครรู้ได้ไหม เพียงจักขุวิญญาณขณะนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นในขณะไหน เพียงแต่ มีเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า อวิชชา ความไม่รู้มากมายเหลือเกิน ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียด จะไม่เห็นความเป็นอนัตตาของจิตเจตสิกและรูปแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นเป็นไป

เมื่อจักขุวิญญาณเกิดขึ้น เพียงเห็น แต่ขอให้ทราบว่า ขณะนี้ทุกท่านไม่ใช่ เพียงเห็น แต่เห็นเป็นโต๊ะ เห็นเป็นเก้าอี้ เห็นเป็นคน จะกล่าวว่าเพียงเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะเพียงเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ๑๗ ขณะที่สั้นและดับไปจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏกระทบแล้วดับ แต่ว่าปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏนั้น เป็นรูปารมณ์ และจิตที่รู้ในขณะนั้นก็ต้องอาศัยตาจึงจะเห็นรูปที่ยังไม่ดับ

เมื่อจักขุวิญญาณดับ จิตที่เกิดต่อไป คือ สัมปฏิจฉันนจิต รับรู้รูปารมณ์ต่อ แต่ไม่ได้ทำทัสสนกิจ ไม่เห็น

ที่กล่าวว่า ชีวิตวันหนึ่งๆ ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจะรู้ใน กัมมัสสกตาญาณ ก็เพราะรู้ว่าการเห็นบังคับบัญชาไม่ได้เลย โดยความละเอียดก็จะทราบได้ว่า มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวง ไม่มีมากกว่านั้น แต่เมื่อจักขุวิญญาณดับแล้ว วิตกเจตสิกก็เกิดร่วมกับสัมปฏิจฉันนจิต คือ ขณะจิตต่อไป

จะเห็นหน้าที่การงานของวิตกเจตสิกในวันหนึ่งๆ ว่า เริ่มเมื่อไร และเพิ่ม มากขึ้นจนกระทั่งปรากฏลักษณะของการตรึก หรือเปรียบเสมือนเท้าของโลก คือ ก้าวไปสู่อารมณ์ต่างๆ ทุกขณะ เรื่อยๆ ถ้าเพียงแต่วิบากจิตคือจักขุวิญญาณเกิดขึ้นโดยยับยั้งไม่ได้เท่านั้น ก็จะไม่มีเรื่องราวสุขทุกข์เกิดขึ้นต่อมาแน่นอน เพราะว่าเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ ยังไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยและก็ดับ แต่วิตกเจตสิกเกิดร่วมกับ สัมปฏิจฉันนะ เริ่มที่จะจรดในอารมณ์นั้น เพื่อที่เมื่อจิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้น จะมีความพอใจ ไม่พอใจในอารมณ์ที่ปรากฏ แม้เป็นรูปที่ยังไม่ดับ จนกระทั่งแม้ว่า รูปนั้นดับไปแล้ว วิตกเจตสิกก็ยังตรึกระลึกถึงด้วยความชอบหรือไม่ชอบในสิ่งนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าจะพิจารณาขณะของวิถีจิตโดยละเอียดในวันหนึ่งๆ ก็จะทำให้เห็นความไม่มีสาระได้ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น

จะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวัน ลักษณะสภาพของวิตกเจตสิกจะไม่เกิด ชั่วในขณะที่เป็นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง คือ ขณะที่เห็นทางตา ได้ยินเสียงทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น กระทบสัมผัสทางกาย นอกจากนั้นแล้ววิตกเจตสิก เริ่มเกิดตั้งแต่สัมปฏิจฉันนะ

ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดๆ มาก อย่างท่านพระสารีบุตร จะเห็นได้ว่า ปัญญาของท่านสามารถระลึกแม้ลักษณะของวิตกเจตสิก แล้วแต่ว่าจะเป็นวิตกเจตสิกประเภทใด เกิดกับจิตประเภทใด ซึ่งท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยอัครสาวกบารมี สภาพธรรมที่ละเอียดที่ท่านสามารถจะรู้ได้ ก็ต้องมากกว่าผู้ที่เพิ่งเริ่มเจริญสติปัฏฐาน และถึงแม้ว่าบุคคลใดจะได้เป็นพระอรหันต์แล้ว ปัญญาของพระอรหันต์ท่านอื่นๆ ก็ยังไม่เท่ากับปัญญาของท่านพระสารีบุตร

เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับ สัมปฏิจฉันนจิตเป็นวิถีจิตหรือเปล่า เป็น อย่าลืม ถ้าเข้าใจแล้วไม่ต้องท่องเลย สัมปฏิจฉันนจิตเกิดและดับไป รูปมีอายุเท่าไรแล้ว ๖ ขณะแล้ว ยังไม่ดับ เดี๋ยวก็จะดับ เร็วแสนเร็ว ถ้าพูดอย่างนี้ ดูเหมือนช้า แต่ ความจริงขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น

เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับแล้ว สันตีรณจิตเกิดต่อ ทำกิจพิจารณาอารมณ์ โดยสภาพที่เร็วแสนเร็ว เป็นกิจของสันตีรณจิต ซึ่งขณะนั้นรูปยังไม่ดับไป เมื่อ สันตีรณจิตดับไปแล้ว โวฏฐัพพนจิตก็เกิดต่อตามการสะสมที่จะมนสิการ ตามการสะสมที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิด แม้เพียงรูปที่สั้นที่สุด เล็กที่สุด ยังไม่ปรากฏว่าเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดทั้งสิ้น เพียงชั่วขณะที่รูปนั้นปรากฏเพียงนิดเดียว แต่การสะสมของโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง หรือสติปัฏฐาน จะเกิด ขณะนั้นก็สามารถมีรูปที่ยังไม่ดับนั้นเองเป็นอารมณ์

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ในวันหนึ่งๆ อกุศลมากมายแค่ไหน ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลต่างๆ ชั่วขณะที่รูปปรากฏทางตาและยังไม่ดับนั้น โวฏฐัพพนจิต ที่เกิดและดับไปก็เป็นปัจจัยให้โลภมูลจิตเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ หรือโทสมูลจิตเกิดและดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ หรือโมหมูลจิตเกิดและดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ หรือ มหากุศลจิตเกิดและดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ ใครจะสามารถยับยั้งหรือทำอะไรได้

ใครที่คิดว่าจะทำอะไรได้ พิจารณาดูก็ได้ว่า ตอนไหนที่จะสามารถทำอะไรได้ ในเมื่อเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ไม่อยากจะให้โลภะเกิด แต่มีเหตุปัจจัยที่ โลภะจะเกิด โลภะก็เกิด ไม่อยากจะให้โทสะเกิด แต่มีเหตุปัจจัยที่โทสะจะเกิด โทสะ ก็เกิด ไม่อยากจะให้โมหมูลจิตเกิด เมื่อกี้นอนไม่หลับและอยากจะรู้ลักษณะของโมหะ คิดดูก็แล้วกันว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้

ถ้าไม่พิจารณาพระธรรมโดยละเอียดก็ดูเหมือนว่า เราจะทำได้ หรือมีทางอะไรที่ใครจะทำได้ แต่มีทางเดียว คือ อบรมเจริญปัญญา ปัญญา ไม่ใช่ไปให้ทำ แต่ปัญญารู้และเข้าใจ ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

ถ้าพิจารณาโดยละเอียดจะเห็นได้ว่า ทำไม่ได้ แต่เข้าใจได้ ศึกษาได้ พิจารณาได้ ฟังไปเรื่อยๆ และค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะปรุงแต่งให้สติและปัญญาถึงขั้นที่จะค่อยๆ ระลึกได้ และประจักษ์แจ้งในการเกิดดับได้ แต่ให้ทราบว่า ไม่มีใครไปบังคับบัญชาอะไรได้เลย

เมื่อโลภมูลจิต ๗ ขณะก็ดี หรือโทสมูลจิต ๗ ขณะก็ดี โมหมูลจิต ๗ ขณะก็ดี มหากุศล ๗ ขณะก็ดี ดับไปแล้ว รูปยังไม่ดับ เพราะว่ารูปต้องมีอายุเท่ากับ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ในขณะนั้นตั้งแต่อตีตภวังค์จนกระทั่งถึงชวนะดวงสุดท้าย คือ ชวนะดวงที่ ๗ รูปยังเหลืออายุอีก ๒ ขณะ

ขอให้ทราบว่า แม้ว่ารูปจะมีอายุสั้นสักเท่าไร ถ้าจิตเกิดดับไปเพียง ๑๕ ขณะ รูปนั้นยังไม่ดับ เมื่อรูปยังไม่ดับ สำหรับผู้ที่เคยสะสมความติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และทำกรรมที่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จะเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากชวนจิตอีก ๒ ขณะ โดยทำกิจตทาลัมพนะอีก ๒ ขณะ และรูปก็ดับ

เมื่อไรจะประจักษ์แจ้งในรูปที่กระทบกับจักขุปสาท โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

เพราะฉะนั้น นี่คือจักขุทวารวิถีจิต ทั้งหมดนี่จะเป็นวิถีจิตประเภทอะไร เกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม ขณะที่รู้รูปที่ยังไม่ดับ จะชื่อว่ามโนทวารวิถีไม่ได้ เพราะว่าจิตเหล่านั้นอาศัยจักขุปสาทเป็นทวารที่จะเกิดขึ้นรู้รูปที่ยังไม่ดับ จิตทั้งหมดในระหว่างที่รู้รูปที่ ยังไม่ดับนั้น ต้องเป็นจักขุทวารวิถีจิต

โลภมูลจิตเป็นจักขุทวารวิถีจิตหรือเปล่า

เมื่อกี้พูดแล้วว่า เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว โลภมูลจิตก็เกิดดับ ๗ ขณะ หรือโทสมูลจิตก็เกิดดับ ๗ ขณะ หรือโมหมูลจิตก็เกิดดับ ๗ ขณะ หรือกุศลจิตก็เกิดดับ ๗ ขณะ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ก็มีปัจจัยที่โลภะจะเกิด หรือโทสะจะเกิด หรือโมหะจะเกิด หรือกุศลจิตจะเกิด

โลภมูลจิตเป็นจักขุทวารวิถีจิตได้ไหม ได้ เพราะว่าชอบสีที่ปรากฏ โทสมูลจิตเป็นจักขุทวารวิถีจิตได้ไหม ได้ เพราะไม่ชอบสีที่ปรากฏ โมหมูลจิตเป็นจักขุทวารวิถีจิตได้ไหม ได้ เพราะว่าไม่รู้ในลักษณะของสภาพนั้น และมหากุศลจิตเป็นจักขุทวารวิถีจิตได้ไหม ได้ เพราะว่ารู้รูปที่ยังไม่ดับไป

ทางหูก็โดยนัยเดียวกัน จิตใดก็ตามที่รู้เสียงที่ยังไม่ดับ จิตนั้นทั้งหมดเป็น โสตทวารวิถีจิต

โลภมูลจิตเป็นโสตทวารวิถีจิตได้ไหม ได้ เพราะว่าชอบเสียง หรือไม่ชอบก็ได้ หรือเป็นโมหมูลจิตก็ได้ หรือเป็นมหากุศลจิตก็ได้ ฉันใด ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ฉันนั้น

ยังไม่ถึงมโนทวารวิถีจิต เพียงจักขุทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถี ปัญจทวารวิถีจิต มีข้อสงสัยอะไรไหม

ถ้าอย่างนั้นขอถาม โสตวิญญาณ จิตได้ยิน เป็นจักขุทวารวิถีจิตได้ไหม

ไม่ได้

นี่เป็นเหตุผลที่ทุกท่านถ้าเรียนแล้วจะรู้ด้วยตัวเองว่า พระธรรมเป็นความจริง เป็นเหตุเป็นผล ถ้ามีคนอื่นบอกว่า ได้ ท่านผู้ฟังจะว่าอย่างไร หรือตำราก็ได้บอกว่า ได้ ท่านผู้ฟังจะบอกว่าอย่างไร ต้องเขียนผิด ต้องพิมพ์ผิด หรือต้องเข้าใจผิด ใช่ไหม ความจริงเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าโสตวิญญาณเป็นจิตที่ได้ยินเสียงอย่างเดียว ไม่ต้องอาศัยตา คนที่ตาบอด โสตวิญญาณก็เกิดเมื่อมีโสตปสาทรูป

แสดงให้เห็นว่า ต้องเข้าใจถึงความจริงของสภาพธรรม ไม่ว่าคนอื่นจะกล่าวอย่างไร เมื่อสภาพธรรมเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ตามบุคคลอื่น โดยขาดเหตุผล

. ในจักขุทวารวิถีตั้งแต่เริ่มรู้อารมณ์ สมมติว่ามีสีแดงเป็นอารมณ์ ในขณะนั้นจักขุวิญญาณเท่านั้นที่มีสีและรู้สีด้วย ใช่ไหม เป็นอารมณ์ด้วย และรู้ว่าเป็นสีด้วย ใช่ไหม

สุ. รูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่กล่าวว่าสีอะไรเลยก็ได้ เพื่อจะได้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยที่ไม่ใช่คำสมมติบัญญัติ แต่เป็นสภาพปรมัตถธรรมที่มีจริงๆ นี่เป็นชั่วขณะวาระหนึ่งของจักขุทวารวิถี ซึ่งยังไม่ต่อไปถึงมโนทวารวิถี เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นจะไม่มีการรู้ว่า สิ่งที่เพียงปรากฏนั้นเป็นอะไร นี่จึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปทางตาได้ เพราะตราบใดที่ยังไม่ถ่ายถอน การยึดถือว่า เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เห็น หรือเป็นสีหนึ่งสีใดก็ตาม ขณะนั้นไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับทางตาได้

. สมมติโลภะเกิดขึ้นในจักขุทวารวิถี ยังไม่รู้เลยว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แสดงว่ามีปัจจัยทำให้ติดแล้วก่อนที่จะรู้ว่าเป็นอะไร ติดในอารมณ์นั้น และโลภะ ในขณะนั้นก็ไม่ได้ทำหน้าที่เดียวกับจักขุวิญญาณ ใช่ไหม ทำหน้าที่ต่างกัน

สุ. ต่างกัน เพราะว่าจักขุวิญญาณเห็น แต่โลภะไม่ได้ทำทัสสนกิจ แต่ชอบในสิ่งที่รู้ทางตา ในสีที่ยังไม่ดับ ไม่ใช่เห็น

. เหมือนกับปัญจทวาราวัชชนจิตไม่ใช่เห็น แต่รู้อารมณ์เดียวกัน

สุ. แสดงให้เห็นว่า เพียงรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะ จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้น ทำกิจต่างกัน โลภะก็ทำกิจติดหรือพอใจ แต่ไม่ได้ทำกิจเห็น โลภะทำชวนกิจ ซึ่งขณะนี้ไม่มีใครไปแยกออกได้เลย จะมีใครสักคนไหมที่จะกรองขณะเห็นขณะนี้ออกมาว่า เป็นเพียงจักขุทวารวิถีวาระหนึ่งวาระเดียว

. วาระเดียว

สุ. วาระหนึ่งก็มีวิถีจิตตลอด ที่เป็นจักขุทวารวิถีจิตที่กำลังรู้รูปที่ยังไม่ดับ

. แสดงว่าสติปัฏฐานที่เกิดขึ้น มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ อาจจะหลายวิถี

สุ. แน่นอน ไม่มีการนับ ไม่มีการเจาะจง ไม่มีการทำอะไรเลย เพราะจะต้องทราบว่า นี่เป็นวาระแรกที่จักขุทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้รูปที่ยังไม่ดับ โดยที่ไม่รู้ว่า รูปนั้นเป็นอะไร เมื่อจักขุทวารวิถีจิตวาระนี้ดับหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ และ มโนทวาราวัชชนจิตก็เกิดตรึกถึงสีที่เพิ่งดับ มีสีที่เพิ่งดับเป็นอารมณ์ และเมื่อ มโนทวาราวัชชนจิตดับแล้ว แล้วแต่ว่าทางปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือโมหมูลจิต ทางมโนทวารวิถีจิตวาระแรกก็จะมีชวนจิต ประเภทเดียวกันเกิด จิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวๆ แต่สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว มโนทวารวิถีจิตวาระที่ ๑ ก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร ต่อเมื่อมโนทวารวิถีจิต วาระหลังๆ จึงจะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร

ถ้าเห็นเป็นคน แน่นอน ใช่ไหม ที่ขณะนี้ทุกคนมีความรู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นคน เพราะฉะนั้น โดยการศึกษาก็สามารถรู้ได้ว่า ที่เห็นว่าเป็นคน ไม่ใช่ปัญจทวารวิถี ไม่ใช่จักขุทวารวิถีวาระที่มีจักขุวิญญาณเกิด แต่ต้องเป็นมโนทวารวิถีที่รับสืบต่อ และไม่ใช่เพียงวาระเดียว

. ใช่ เพราะจิตมีขณะเล็กน้อยมาก และรูปแต่ละรูปก็เล็กน้อย และ ดับไปเร็ว ต้องอาศัยหลายๆ รูป และหลายๆ นาม จึงจะรู้ได้

สุ. มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งท่านถามมากเรื่องพัดลมหมุน ขอให้คิดดูว่า กว่าจะเห็นเป็นพัดลมหมุนได้ เป็นจักขุทวารวิถีจิตกี่วาระ และมโนทวารวิถีคั่นกี่วาระ กว่าจะขยับไปทีละนิดจนกระทั่งจิตสามารถที่จะทรงจำว่า เป็นพัดลมที่กำลังหมุน

นับไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่เห็นเป็นคนนั่งบ้าง คนเดินบ้าง คนยืนบ้าง คนพูดบ้าง กิริยาอาการทั้งหลายเหล่านี้จะเห็นได้ว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถรู้ความจริงของนามธรรมและรูปธรรมเลย ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียด เพราะว่าขณะที่จักขุทวารวิถีจิตวาระหนึ่งเกิดขึ้น รูปนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น เมื่อภวังคจิตเกิดสืบต่อ มโนทวารวิถีจิตรับรูปนั้นต่อ และจักขุทวารวิถีจิตวาระอื่นก็รู้รูปอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปใหม่ ไม่ใช่รูปเก่า และรูปนั้น เกิดสืบต่อใกล้เคียงกัน ความทรงจำก็สืบต่อว่าเป็นสิ่งที่เคลื่อนไปนิดหนึ่ง แต่ความจริงสิ่งที่เห็นนั้นต้องใหม่ ไม่ใช่เก่า เพราะว่ารูปารมณ์ที่ได้เห็นแล้วทางจักขุทวารวาระก่อนดับหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็นอีกอย่างหนึ่ง ต้องเป็นจักขุทวารวิถีจิต อีกวาระหนึ่งที่เห็นสิ่งนั้น และสิ่งนั้นก็ดับด้วย เพราะฉะนั้น ความทรงจำที่ประมวลและยึดโยงไว้ เวลาที่จักขุทวารวิถีจิตวาระอื่นเกิดขึ้นรู้รูปทางตาอีกรูปหนึ่ง กว่าจะ ต่อกันเป็นพัดลมหมุน หรือกว่าจะต่อเป็นคนเดิน

แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลยว่า ปัญญาที่จะรู้จริงจะต้องอบรมเจริญอย่างไร เพราะแม้แต่เพียงการฟัง ก็จะต้องฟังจนกระทั่งถ่ายถอนและรู้ว่า เหตุที่ทำให้เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ กำลังเคลื่อนไหวนั้น เกิดจากจักขุทวารวิถีและมโนทวารวิถีซึ่งเกิดดับสลับสืบต่อกัน แต่ละวาระ โดยรูปปรมัตถ์แต่ละรูปจะต้องปรากฏและดับไปหมดทางจักขุทวารวิถี แต่ขณะนี้ดูเสมือนว่าไม่มีอะไรดับ และยังคงเป็นการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้น เห็นความรวดเร็วได้ ซึ่งปัญญาจะต้องอบรมเจริญจนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้นจริงๆ

เปิด  232
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565