แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1999

สนทนาธรรมที่โรงแรมอโศก เมืองโพปาล

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๓


ถ. รู้สึกกลัว เพราะรู้ว่าในชาตินี้ถ้าเราไม่ได้โสดาบัน จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิได้ง่ายๆ เลย และเมื่อเกิดในอบายภูมิหรือเป็นสัตว์ดิรัจฉานแล้ว อาจจะวนเวียนอยู่แถวนั้นอีกหลายภพหลายชาติ เป็นเรื่องที่น่ากลัว

นีน่า ... จิต เจตสิก รูป เกิดอีก ไม่ใช่บุคคล

สุ. สภาพของเมตตา ความเป็นเพื่อน และเป็นเพื่อนจริงๆ แต่โลภะ ตามเก่ง ล่อไปหมดเลย ไม่ว่าจะรู้ธรรมเรื่องอะไร แม้แต่เมตตาก็อยากจะมีเมตตา นี่ก็ถูกเขาหลอกไปอีก

ถ. อย่างคนที่เราค่อนข้างจะรักมาก จะมีความเมตตามาก ถ้าคนที่ไม่ค่อยชอบเท่าไร ก็จะมีเมตตาให้เหมือนกัน แต่น้อยมาก วิธีที่จะพัฒนาให้เรารู้สึกเมตตาเขามากขึ้นๆ จนสามารถเท่ากับคนที่เรารักได้ จะทำอย่างไร ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ก็พยายามเลี่ยง นึกถึงมงคล ๓๘ ข้อแรกที่บอกว่า อเสวนา จ พาลานัง ไม่คบคนพาล ก็พยายามหลีกเลี่ยงคนที่ไม่อยากอยู่ใกล้ด้วย ไม่ทราบว่าวิธีนี้ถูกหรือเปล่า และวิธีไหนที่จะพัฒนาความเมตตาของเรา

สุ. ทุกคนยังเป็นผู้เริ่มต้นในธรรม เหมือนเด็กเล็กๆ กว่าจะโต กว่าจะยืน และกว่าจะเดิน กว่าจะวิ่ง เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ตัวว่าเราเป็นผู้ที่ใหม่ต่อธรรม ระดับไหน ขั้นไหน ถ้าเป็นผู้ที่ใหม่จริงๆ ก็ถูกที่เราจะเว้นบุคคลพาล เพราะเรายังไม่เข้มแข็งพอที่กุศลจิตของเราจะมีมากและมั่นคง แต่ในขณะเดียวกัน เราฟังพระธรรม เราฟังตลอดหมดทุกส่วน และเราก็รู้สภาพจิตของเราด้วยว่าเมตตาของเราจะเกิด ขณะไหน แต่สำหรับคนที่เรารักเคารพ เราก็ต้องระวังที่จะไม่เป็นโลภะ คือ ธรรมที่ เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล ธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศล ถ้าเราสามารถรู้ความต่างกันของโลภะกับเมตตา เราจะมีเมตตาเพิ่มขึ้นได้

สำหรับเรื่องของโลภะก็ยังเป็นโลภะ เพราะเราห้ามไม่ได้ แต่แทนที่จะเป็นโทสะ เพราะถ้าเรามีโลภะ คนที่เราชอบไม่ทำอย่างที่เราต้องการ เราก็จะไม่พอใจ ฉะนั้น แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เมตตาเราเกิดแทนโทสะก็ดี ใช่ไหม คือ โลภะก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่แทนที่จะเป็นโทสะ ก็เป็นเมตตาเพิ่มขึ้น

เรารู้จักตัวเราด้วยสติสัมปชัญญะ ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล และถ้าเรารู้ลักษณะของเมตตาจริงๆ ซึ่งที่จริงแล้วกุศลนี่ไม่ยาก น่าจะง่ายกว่าอกุศลเยอะ เกลียดคนอื่นนี่ยาก ต้องไปหาจุดไม่ดีของเขา สำหรับจะเกลียด หรือจะไม่พอใจ แต่ถ้าเราเป็นคน ...

ถ. ยกตัวอย่าง เห็นคนๆ หนึ่งเขาขับรถไป อีกคนหนึ่งถอยหลังรถออกมาทำให้ชนโดยไม่รู้ว่ามีคนขับรถมา พอชนปุ๊บ คนที่ขับรถไปชนเขาก็โกรธ แต่คนที่นั่งมาด้วยข้างๆ บอกว่า จะโกรธเขาทำไม เขาไม่รู้ว่ารถเรากำลังมา เพราะเขาถอยหลังมา คนแรกนี่โกรธแล้ว คนที่สองเป็นคนแก้ตัวให้โดยที่ไม่รู้จักกับคนที่ถอยรถมาเลย อย่างนี้เขามีเมตตาหรือเปล่า

สุ. ไม่ถามคนอื่น เรื่องของสภาพธรรม ถ้าเราเข้าใจ คือ ถ้าเราเข้าใจว่า โลภะ คือ ความติด ความต้องการ โทสะ คือ ความขุ่นเคืองแม้เพียงเล็กน้อย ส่วนอโลภะ คือ ความไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ต้องการ และอโทสะ คือ ความไม่โกรธ เพราะฉะนั้น เป็นสภาพจิตซึ่งไม่โกรธ ขณะนั้นคนอื่นจะบอกแทนเราไม่ได้เลยว่า เรามีเมตตา คือ ความเป็นเพื่อน ความหวังดี เพื่อประโยชน์ของคนนั้นหรือเปล่า

ถ้าเดี๋ยวนี้เราเดินออกไปข้างนอก และเราเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ได้เป็นศัตรูเลย ไม่ว่าจะมีหนวด หรือมีผิวต่างกับเรา หรือเมื่อกี้ที่เรานั่งรถไป ถ้าเกิดอกุศลจิต อย่างคนขายของบางทีเขาอาจจะมากวนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าเราสามารถรักษาจิตของเราเป็นเพื่อน คือ เขาก็เป็นคนที่ขายของ เงินทองก็มีความหมายกับเขา บางครั้งเราทำบุญได้เยอะแยะ และเรามานั่งต่อราคาสามล้อบ้าง แม่ค้าบ้าง คิดถึงชีวิตเขาว่า เขามีลูกกี่คน ลูกเขากำลังเรียนหนังสือ ซึ่งเขาก็ไม่ได้มาบรรยายสภาพความต้องการ ความขาดแคลนในครอบครัวของเขา เขาอาจจะมีแม่ป่วยในโรงพยาบาล หรืออะไร ก็ได้โดยสภาพฐานะความเป็นอยู่ อย่างเขาก็ไม่มีรถ ต้องไปเช่าสามล้อมาบ้าง แท็กซี่บ้าง จราจรเรียกบ้าง และเราก็ต่อนิดต่อหน่อย แต่เราไปทำบุญเยอะแยะ

เพราะฉะนั้น เราน่าจะเป็นมิตรกับทุกคน พร้อมที่จะให้ประโยชน์กับทุกคน แล้วแต่ว่าขณะนั้นเราพบใคร ถ้าเรานั่งสามล้อ เท่าไร อาจจะไม่ต้องทอนก็ได้ เมื่อนึกถึงครอบครัวเขา และพวกผลไม้อะไรอย่างนี้ เขาอาจจะรวยกว่าเรา เพราะเขาขายของกำไรมาก ใช่ไหม ก็เป็นเรื่องของกาลเทศะเกี่ยวกับสภาพจิตของเราว่า ขณะนั้นเรามีความเป็นมิตร หรือเราเป็นเรา เขาเป็นเขา และเราก็คิดไกลจนกระทั่งว่า ต้นทุนเท่านี้ กำไรเท่านั้น เป็นเรื่องคิดมากจัง แต่ถ้าจิตของเราเป็นเพื่อนกับเขา ไม่ว่าเขาจะอาชีพใดก็ตาม ก็สบายใจดี

เจริญเมตตา คือ ความเป็นเพื่อน เมตตานี่คือความเป็นเพื่อนจริงๆ ไม่มีอะไรมากั้น ถ้าใช้คำว่าเพื่อน จะไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะ ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลยที่จะมาขวางความเป็นเพื่อน ไม่มีช่องว่าง

ผู้ฟัง ... (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. ถ้าเราคิดว่า คนนี้มาเอาเปรียบเรา รู้ได้อย่างไร ถ้าเรารู้ว่าราคาแพงไปก็แล้วแต่ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราคิดถึงครอบครัวเขาฐานะของเขา จะเป็นประโยชน์กว่า เพราะเหมือนกับทำบุญกุศล เคยทำบุญอย่างอื่นไหม

ผู้ฟัง ... (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. ก็เหมือนกัน ก็ทำ ไม่อยากเรียกว่าเอาเปรียบเลย ถ้าเอาเปรียบเรา ยิ่งน่าสงสาร เพราะเป็นอกุศล

ขอยกตัวอย่างเรื่องที่ถนนเพชรบุรี ทุกคนสงสารเหลือเกินคนที่ถูกไฟลวกเผา แต่ทำไมสงสารเขาช้าจัง ทำไมไม่สงสารตอนที่เขาทำอกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องถูกเผา เพราะถ้าเขาไม่เคยมีอกุศลกรรมมาก่อน เขาจะไม่ได้รับวิบากกรรมอย่างนี้ ไม่มีทางเลยที่ใครจะไปติดไฟแดงและถูกไฟลวกเผาอย่างนั้น

ทุกคนใช้คำว่า ขึ้นอยู่กับกรรม ถึงแก่กรรม เมื่อกรรมมาแล้วหนีไม่ได้ ไม่มีใครหนีกรรมพ้น เพราะฉะนั้น ต้องเป็นอกุศลกรรมแน่ๆ ที่ทำให้เขาได้รับวิบากอย่างนั้น และเรามาสงสารตอนเขาได้รับวิบาก แต่ตอนที่เขาทำอกุศลกรรม เริ่มสงสารได้แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนที่แท็กซี่เขาจะมีโก่งราคาเรา เราก็สงสารที่เขาโก่งราคา หรือใคร ก็ตามที่ทำอกุศลกรรม สงสารทันทีเลย

ถ. ... (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. ก็แล้วแต่เรา แต่ถ้าเราจะมีเมตตาก็ดี เพราะชีวิตเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว และยิ่งเห็นว่าชีวิตเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวก็น่าจะคิดว่า ขณะจิตเดียวนี้จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มีขณะจิตเดียวให้เลือก ชีวิตเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว และขณะจิตเดียวนี้จะให้เป็นกุศล หรือจะให้เป็นอกุศล

ถ. ... (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. ก็อย่าไปโกรธ หรืออย่าไปคิดมาก

ถ. ... (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. นั่นแหละ อกุศลหมด

นีน่า ดิฉันคิดว่า ส่วนใหญ่เราคิดถึงเรื่องเมตตา และเรื่องขันติ แต่ไม่ใช่ลักษณะ ถ้าเป็นเรื่องเท่านั้น เจริญไม่ได้ เราพูดเรื่องเมตตา แต่ความจริงในชีวิตประจำวัน ดูคนอื่นที่เราไม่พอใจ ขันติไม่มาก คิดถึงเรื่องขันติและเรื่องเมตตา ต้องมีเมตตาต่อทุกคน มีจริง และสติปัฏฐานสลับกันช่วยให้มีสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะเมตตา และรู้ลักษณะขันติ ไม่ใช่เรื่องเท่านั้น แต่ยากสำหรับทุกคน เราคิดเรื่อง มีแต่เรื่องขันติ

สุ. เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ลืมไม่ได้เลย ถ้าเราไม่รู้จุดประสงค์ของการเรียน เราจะไม่ไปถึงไหนเลย เราต้องรู้ว่า เราฟังทำไม คือ ฟังเพื่อรู้จักตัวเรา ฟังเพื่ออบรมเจริญกุศล เพื่อแก้ไขตัวเราให้เป็น คนที่ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นเราศึกษาพระธรรมแล้วเราก็มีมานะ มีความสำคัญตน เรารู้มาก เราเก่ง เจตสิกมีเท่านี้ จิตมีเท่านั้น ใครก็พูดอย่างเราไม่ได้ คิดอย่างเราไม่ได้ เขียนอย่างเราไม่ได้ นึกอย่างเราไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ต้องกล่าวว่า ไม่มีประโยชน์เลย

เราไม่ได้เรียนเพื่อไปเป็นอาจารย์ เพื่อมีลาภ มีชื่อเสียง มียศ หรืออะไร แต่เรียนเพื่ออบรมเจริญปัญญา เพื่อละสิ่งเหล่านั้น ละการติดข้องในสิ่งเหล่านั้น นี่จึงจะเป็นประโยชน์ ไม่อย่างนั้น บางคนเราก็ทราบว่า ยิ่งเรียนยิ่งมีความสำคัญตน เพราะฉะนั้น ไม่ได้ประโยชน์จากการเรียน

ถ้าเรียนแบบนั้นก็เรียนแบบงูพิษ เพราะว่าทำร้ายตัวเอง จะรู้มากหรือรู้น้อยอย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์ คือ เป็นปัญญาที่จะขัดเกลาละคลายอกุศล เพราะว่าอกุศลไม่มีทางที่อย่างอื่นจะขัดเกลาหรือละคลายได้ นอกจากปัญญาอย่างเดียว

นีน่า มีปัญหาอย่างอื่นที่เกิดขึ้นได้ คือ เราอยากจะขัดเกลากิเลสให้เรา เป็นคนดี ความติดในบัญญัติว่าเป็นคนดีเกิดขึ้นได้

สุ. ก็คือตัวตน ใช่ไหม คนดีนี่ใคร เรา ก็ไม่พ้น เพราะฉะนั้น ไม่ได้ขัดอะไร ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ พระธรรมละเอียดมาก ที่ทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษาเพราะว่าเป็นเรื่องละเอียด แต่เราก็มีบุญได้มาสู่สถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเคยเสด็จ เคยประทับ และเคยทรงแสดงธรรม ซึ่งเรากำลังกล่าวถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสไว้แล้ว อย่างข้อความที่บรรยายเมื่อ ๒ – ๓ วันก่อน คือ วุตตัง คำที่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแล้ว และเราก็มาซ้ำมาทวนคำที่ได้ตรัสแล้ว ณ สถานที่ต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจ เพื่อจะได้ขัดเกลา อย่าลืม การเดินทางทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เราขัดเกลาขึ้นเรื่อยๆ

ถ. ... (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. ขัดแล้วไม่เหนื่อย ตอนจะขัด หรือก่อนขัด ตอนที่เป็นอกุศลเหนื่อย แต่ตอนที่เป็นกุศลไม่เหนื่อยเลย

ถ. เมื่อพูดถึงสภาพธรรมที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปแล้วก็คิดว่า ทุกๆ ขณะเป็นสภาพธรรม และท่านอาจารย์ก็ได้บรรยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกว่า ปรากฏให้รู้ได้ใน แต่ละทาง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แม้แต่ทางใจของความคิด เพราะฉะนั้น เวลานี้เราอยู่ในประเทศอินเดีย สภาพธรรมต่างๆ ก็ไม่ต่างจากเมืองไทย แต่ผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า คำว่า สภาพธรรม มีลักษณะที่ปรากฏ เวลานี้ดูเหมือนว่าพูดตาม จริงๆ แล้วสภาพธรรมไม่ทราบว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น ทางตา ขอคำแนะนำเพิ่มเติมสักเล็กน้อย

สุ. สภาพธรรมมีจริงๆ ทุกวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่อวิชชารู้ไม่ได้ เท่านั้นเอง กำลังเห็น มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ อวิชชาไม่รู้ทั้งๆ ที่กำลังเป็น สภาพธรรม

ขณะนี้เป็นสภาพธรรม แต่เมื่ออวิชชาไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม ก็หาสิ่งที่ปรากฏ ทางตาว่าเป็นอย่างไร ซึ่งลืมตาขึ้นมาก็เห็น เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน ถ้าสติปัฏฐานไม่มี ปัญญาไม่เกิด อย่างไรๆ อวิชชาก็ไม่รู้ว่าสภาพธรรมเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังมีอยู่ตลอด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่อวิชชาไม่รู้ ไม่สามารถรู้ได้จริงๆ ว่าเป็นธรรม แต่ปัญญารู้ นี่เป็นความต่างกันของอวิชชาและวิชชา

ถ. ปัญญาที่ว่านี้ จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไหม

สุ. ฟังเข้าใจหรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ฟังไปจนกว่าจะเข้าใจ ฟังเข้าใจแล้ว สติปัฏฐานเกิดหรือยัง ถ้าสติปัฏฐานยังไม่เกิดก็ฟังไปอีก พิจารณาไปอีก เข้าใจไปอีก จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิด

ไม่มีคำว่า เร็ว และไม่มีคำว่า ต้องการวันนั้นวันนี้ เดือนนั้นเดือนนี้ ปีนั้นปีนี้ ถ้าใครอยากจะเร็วเมื่อไร ไม่รู้จักโลภะ เพราะว่าเป็นไปกับโลภะ อย่างที่คุณนีน่าบอกว่า เวลาที่เดินประทักษิณ และมีสภาพธรรม มีสติปัฏฐานบ้าง มีโลภะบ้าง ไม่เดือดร้อน เพราะว่าเป็นธรรมดา โลภะก็โลภะ เป็นธรรมดา สติปัฏฐานก็ต่างกับ โลภะ ก็เป็นธรรมดา ทุกอย่างเป็นธรรมดา แต่คนที่ลำบากเพราะโลภะ ที่เดือดร้อน เพราะโลภะ ไม่รู้ว่าโลภะต้องการทำอย่างนั้น ให้เดือดร้อน ให้วุ่นวาย ไปปรารถนาอย่างอื่น

ถ. หลังจากเริ่มเดินประทักษิณ ใจผมคิดว่า ผมจะตั้งจุดตรงไหนเพื่อถ่ายภาพ และจะคอยเก็บภาพให้ได้มากๆ ขณะนั้นความสนใจจะให้เกิดเป็นบุญ เป็นกุศลคงไม่มี มีแต่ความอยากได้ๆ เพราะฉะนั้น สติก็คงไม่เกิดเลยเมื่อวานนี้ ตลอดเวลา ๓ รอบ

นีน่า สบายมาก ไม่ต้องบังคับเลย เพราะว่าเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ รู้สึกสบายกว่า อาจจะคิดว่าต้องให้มีสติ และต้องมีความคิดที่ดีเท่านั้น เดือดร้อน ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น แต่ถ้ารู้ว่าทุกอย่างปรากฏโดยมีเหตุปัจจัยจริงๆ ไม่เดือดร้อนเลย สบายกว่าก่อน

ถ. ถ้าเราจะวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเรา ตัวเราเองจะรู้มากกว่าคนอื่น ใช่ไหม เราจะรู้เองใช่ไหมว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้เรียนทางนี้ โดยละเอียด การที่จะพิจารณาตัวเราเองก็อาจจะเขวได้ เราจะอบรมอย่างไรที่จะไม่ให้เขว ในขณะที่นาทีนั้น จิตนั้นเราจะพิจารณาว่าเป็นโลภะหรือเป็นเมตตา เราก็ยังสับสนอยู่

ผู้ฟัง ฟังอาจารย์มากๆ

สุ. ฟังแล้วต้องเข้าใจ สำคัญที่สุด คือ เราฟังทำไม ฟังเพื่อปัญญาเกิด ไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเราแล้วทำอะไรไม่ได้เลย ต้องเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ของปัญญา ด้วยเหตุนี้เราจึงอบรมปัญญาด้วยการฟัง ด้วยการพิจารณา ด้วยการสนทนา

ผู้ฟัง ขอให้ทุกคนตั้งใจ เพราะที่อาจารย์พูดในวันนี้ ดิฉันรู้สึกว่ามีประโยชน์มากที่สุด เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนตั้งใจ

ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้วในวันนี้แด่บุพการี มีมารดาบิดา เป็นต้น ผู้มีพระคุณทั้งในปัจจุบันและอดีตอนันตชาติ ตลอดจนเทพยดาอารักษ์ และอมนุษย์ทั้งหลายที่สิงสถิต ณ บริเวณที่นี้ และผู้ที่มีจิตหยั่งรู้ในกุศลที่ได้ทำแล้ว ขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาโดยทั่วกันเทอญ

เปิด  241
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565