แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2047

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๔


ถ. คำว่า สมมติ กับคำว่า บัญญัติ มีความหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร

สุ. ก่อนอื่นต้องทราบว่า ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะว่าปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน และขณะใดที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ถ้าขณะนั้น ไม่ได้รู้ปรมัตถธรรม ขณะนั้นมีบัญญัติ สมมติ เป็นอารมณ์ บัญญัติ คือ สิ่งที่ไม่ใช่ปรมัตถ์ สมมติก็ไม่ใช่ปรมัตถ์ บัญญัติเป็นชื่อ สำหรับเรียก อย่างเช่น ต้นไม้ ก็มองเห็นอยู่ว่ามีรูปร่างสัณฐานอย่างนี้ ขณะที่เห็น เป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่หลังจากวิถีจิตทางตาดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตรู้สีนั้นต่อแล้ว ภวังคจิตคั่นแล้ว วิถีจิตหลังๆ ก็สามารถรู้บัญญัติ สัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แม้ไม่เรียกชื่อ และถ้ามีการสมมติขึ้นมาอีก เช่น มีคน ก็รู้ว่าเป็นคนทั้งนั้น แต่นี่เป็นชาติไทย นั่นเป็น ชาติจีน ชาติญี่ปุ่น นี่ก็คือสมมติ จากบัญญัติที่ไม่ใช่ปรมัตถ์นั่นเอง

ถ. ไม่ใช่ปรมัตถ์ แต่มีขึ้นมาก็เพราะปรมัตถ์ ใช่ไหม

สุ. เพราะความคิด

ถ. เก้าอี้เป็นชื่อ เป็นสมมติ แต่เก้าอี้ตัวนี้ก็มาจากปรมัตถ์

สุ. ต้องทราบว่า บางอย่างไม่มีปรมัตถ์ อย่างพระราชา ปรมัตถธรรมของพระราชามีไหม

ถ. พระราชาก็คนที่ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง

สุ. ก็คือสมมติ

ถ. แต่มีบัญญัติ เป็นรูปเป็นนาม …

สุ. บัญญัติก็คือขณะนั้นไม่ได้เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่รูป ไม่ใช่กำลังมีรูปเป็นอารมณ์ แต่กำลังคิดถึงเรื่อง

ถ. แต่พระราชาก็เป็นรูปกับนาม

สุ. มีรูป มีนาม เป็นปรมัตถ์ แต่สมมติว่าเป็นพระราชา เสียง มีจริง ใช่ไหม เป็นปรมัตถธรรม และใช้คำว่า เสียง เพื่อให้รู้ว่าเป็นลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู เป็นบัญญัติเรื่องปรมัตถธรรม แต่บัญญัติบางบัญญัติเป็นเพียงสมมติ ที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม อย่างเช่น พระราชา

ถ. พระราชาก็ต้องมีคน

สุ. พระราชาไม่ใช่เสียง พระราชาไม่ใช่กลิ่น แต่คำว่า กลิ่น เป็น คำสมมติ บัญญัติเรียกสภาพปรมัตถธรรม

ถ. เรื่องราวก็มาจากปรมัตถ์เหมือนกัน

สุ. เวลาคิด คิดเป็นเรื่อง เป็นคำ ไม่ได้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ใดๆ ทั้งสิ้นในขณะนั้น ต้องแยกเพื่อจะรู้ว่า ขณะใดมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะใดไม่ใช่ปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ เป็นแต่เพียงความคิดนึกเรื่องต่างๆ เท่านั้นเอง

ยังคงแยกยาก เพราะฉะนั้น หนทางที่จะรู้จริงๆ คือ ขณะใดมีสภาพ ปรมัตถธรรม มีลักษณะแท้ๆ ปรากฏ โดยไม่ต้องเรียกชื่อ อย่างแข็ง เรียกว่า แข็ง เพื่อให้เข้าใจเท่านั้นเอง แต่เวลาที่แข็งปรากฏไม่ต้องเรียกชื่อ นั่นคือมีปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์ แต่ถ้าขณะที่บอกว่า แข็ง พูดคำว่า แข็ง ขณะนั้นไม่ได้มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ แต่มีบัญญัติเป็นอารมณ์

สำหรับเรื่องความนึกคิดของแต่ละคนในแต่ละภพ แต่ละชาติ มีมากมาย ตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละภพ แต่ละชาติ

ขอกล่าวถึงความคิดนึกของบุคคลในอดีต ใน อรรถกถา ติกนิบาตชาดก คามณิจันทชาดก ซึ่งมีข้อความว่า

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญา จึงตรัสเรื่องนี้

ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญพระปัญญาของพระทศพลในโรงธรรมสภาว่า

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาหนา มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาไว มีพระปัญญากล้าแข็ง มีพระปัญญาชำแรกกิเลส ก้าวล่วงโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกด้วยพระปัญญา

พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า

ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร

เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า

ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็มีปัญญาเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้

ชาตินี้ทุกคนก็มีปัญญาคนละนิดคนละหน่อย และจะเพิ่มขึ้นๆ ต่อไปอีก ชาติหนึ่งๆ ก็จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นอีกๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของปัญญาซึ่ง เจริญขึ้น ไม่ใช่ว่าปัญญาที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะเกิดขึ้นได้ฉับพลัน โดยไม่มีการสะสม ไม่มีการเจริญปัญญาในอดีตเลย

ในอดีตกาล สมัยพระราชาพระนามว่า ชนสันธะ ครองราชย์สมบัติอยู่ใน นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์นั้น เกลี้ยงเกลาบริสุทธิ์ดุจพื้นแว่นทองคำ ถึงความงาม อันเลิศยิ่ง ด้วยเหตุนั้นในวันตั้งชื่อ ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อของพระโพธิสัตว์นั้นว่า อาทาสมุขกุมาร

ภายใน ๗ ปีเท่านั้น พระชนกให้กุมารนั้นศึกษาพระเวททั้ง ๓ และสิ่งทั้งปวง ที่จะพึงทำในโลก แล้วได้สวรรคตในเวลาที่พระกุมารนั้นมีอายุ ๗ ขวบ อำมาตย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระศพของพระราชาด้วยบริวารใหญ่โต แล้วถวายทาน เพื่อผู้ตาย ในวันที่ ๗ ประชุมกันที่พระลานหลวงหารือกันว่า พระกุมารยังเด็กเกินไป ไม่อาจอภิเษกให้ครองราชย์ได้ พวกเราจักทดลองพระกุมารนั้นแล้วจึงค่อยอภิเษก

สำหรับเรื่องการทดลองต่างๆ ท่านผู้ฟังจะอ่านความละเอียดได้จาก อรรถกถา คามณิจันทชาดกที่ ๗

เมื่อได้ทดลองความคิดและพระปัญญาของพระกุมารแล้วเห็นว่า พระกุมาร ทรงเป็นบัณฑิต จึงอภิเษกให้ครองราชสมบัติ

เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงครองราชย์สมบัติแล้ว บุรุษผู้หนึ่งชื่อคามณิจันท์ ผู้เคยเป็นคนรับใช้ของพระราชบิดา คิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่า ความเป็นพระราชานี้ย่อมจะงดงามกับคนผู้มีวัยเสมอกัน ส่วนเราเป็นคนแก่จักไม่เหมาะที่จะบำรุง พระกุมารหนุ่ม เราจักทำนาเลี้ยงชีพอยู่ในชนบท

เขาจึงออกจากพระนครไปยังที่ไกลประมาณ ๓ โยชน์ สำเร็จการอยู่ในบ้าน แห่งหนึ่ง แต่เขาไม่มีแม้แต่โคสำหรับจะทำนา เมื่อฝนตก เขาจึงขอยืมโค ๒ ตัว จากสหายคนหนึ่ง ไถนาอยู่ตลอดทั้งวันแล้วให้โคกินหญ้า แล้วได้ไปยังเรือน เพื่อจะมอบโคทั้ง ๒ ตัวให้กับเจ้าของ

ขณะนั้น เจ้าของโคกำลังนั่งบริโภคอาหารอยู่กลางบ้านพร้อมกับภรรยา ฝ่ายโคทั้งสองตัวก็เข้าไปยังบ้านด้วยความคุ้นเคย เมื่อโคเหล่านั้นเข้าไป สามียกถาด ภรรยาก็เอาถาดออกไป นายคามณิจันท์มองดูด้วยคิดว่าสามีภรรยาทั้งสองนี้จะ เชื้อเชิญเรารับประทานข้าว จึงยังไม่มอบโคให้ แล้วรีบกลับไปเสีย

นี่ก็เป็นความคิด ซึ่งแต่ละคนก็คิดๆ ไปในวันหนึ่งๆ แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร ในชาติหนึ่งๆ

ในเวลากลางคืน พวกโจรตัดคอก ลักโคเหล่านั้นแหละไปเสีย เจ้าของโค เข้าไปยังคอกโคแต่เช้าตรู่ ไม่เห็นโคเหล่านั้น แม้จะรู้อยู่ว่าถูกพวกโจรลักไป แต่ก็เข้าไปหานายคามณิจันท์นั้นด้วยตั้งใจว่า จักปรับเอาสินไหมแก่นายคามณิจันท์

นี่แสดงถึงความคิด คนในสมัยนี้จะคิดอย่างนี้บ้างไหม ก็ต้องมี ใช่ไหม ทั้งๆ ที่รู้ แต่ความที่อยากจะได้เงินสินไหมทดแทนโคที่ถูกโจรลักไป จึงไปหา นายคามณิจันท์

แล้วกล่าวว่า ท่านจงมอบโคทั้งสองให้เรา

นายคามณิจันท์กล่าวว่า โคเข้าบ้านไปแล้วมิใช่หรือ

เจ้าของโคกล่าวว่า ท่านมอบโคเหล่านั้นแก่เราแล้วหรือ

นายคามณิจันท์กล่าวว่า ยังไม่ได้มอบ

เจ้าของโคกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้เป็นความอาญาสำหรับท่าน ท่านจงมา

ในชนบทเหล่านั้น เมื่อใครๆ ยกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นจะเป็นก้อนกรวดหรือ ชิ้นกระเบื้องก็ตาม แล้วกล่าวว่า นี้เป็นความอาญาสำหรับท่าน ท่านจงมา ดังนี้ ผู้ใดไม่ไป ก็ย่อมลงอาญาแก่ผู้นั้น เพราะฉะนั้น เมื่อนายคามณิจันท์ได้ฟังว่า เป็นความอาญา ก็ออกไปกับเจ้าของโคนั้น เพื่อไปยังราชสกุลเพื่อให้วินิจฉัยความ

เขาได้ไปถึงบ้านเพื่อนคนหนึ่ง เขาหิวมาก จึงให้เจ้าของโครออยู่ และ ขอเข้าไปในบ้านเพื่อนเพื่อที่จะรับประทานอาหารแล้วจะกลับออกมา ปรากฏว่าเพื่อนของเขาไม่อยู่บ้าน ภรรยาเพื่อนก็บอกว่า อาหารที่หุงต้มสุกแล้วไม่มี ท่านจงรอสักครู่ ดิฉันจักหุงให้ท่านเดี๋ยวนี้ แล้วรีบขึ้นฉางข้าวสารทางพะอง จึงพลัดตกไปที่พื้นดิน แท้งลูกในครรภ์ที่มีอายุได้ ๗ เดือน

อะไรจะเกิดก็เกิดได้ทั้งนั้น และฟังดูก็เหมือนนิยาย ซึ่งชีวิตของแต่ละคนฟังดู ก็คล้ายนิยาย บางคนก็บอกว่า คล้ายๆ นิยายน้ำเน่าด้วย ไม่ใช่นิยายธรรมดา แต่ตามความเป็นจริง ผู้ที่มีชีวิตอย่างนั้น เจ้าของเรื่องรู้ว่าไม่ใช่น้ำเน่าเลย และคนที่ รู้เรื่องชีวิตของแต่ละคนก็รู้ว่าไม่ใช่น้ำเน่า แต่เป็นเรื่องจริงซึ่งหลายคนคิดไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปอย่างนั้นในอดีตกาล จนแม้ในสมัยนี้

สามีของนางกลับมาเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ท่านทำให้ภรรยาของเราแท้งลูก นี้เป็นความอาญาของท่าน แล้วพานายคามณิจันท์นั้นออกไป ให้นายคามณิจันท์ อยู่กลางเจ้าความทั้ง ๒ คดี

ครั้งนั้น ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่ง คนเลี้ยงม้าไม่สามารถต้อนม้าให้กลับบ้าน คนเลี้ยงม้าเห็นนายคามณิจันท์จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ช่วยเอาอะไรๆ ปาม้าตัวนี้ ให้กลับทีเถิด นายคามณิจันท์จึงเอาหินก้อนหนึ่งขว้างไป ก้อนหินนั้นกระทบขาม้าหักเหมือนท่อนไม้ละหุ่งฉะนั้น คนเลี้ยงม้าได้กล่าวกะนายคามณิจันท์ว่า ท่านทำขาม้าของเราหัก นี้เป็นความอาญาสำหรับท่าน แล้วจับตัวไป

ฝ่ายนายคามณิจันท์นั้น เมื่อถูกคนทั้ง ๓ นำไป จึงคิดว่า คนเหล่านี้จักแสดงเราแก่พระราชา แม้มูลค่าราคาโค เราก็ไม่อาจให้ได้ จะป่วยกล่าวใยถึงอาญาที่ ทำให้ภรรยาเพื่อนแท้งบุตร ก็เราจักได้มูลค่าม้ามาแต่ไหน เราตายเสียดีกว่า

เขาเดินไปเห็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีหน้าผาชันข้างหนึ่ง ณ ที่ใกล้ทางในดง ระหว่างทาง ช่างสาน ๒ คนพ่อลูก สานเสื่อลำแพนอยู่ในร่มเงาของภูเขานั้น

นายคามณิจันท์กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะทำธุระส่วนตัว ท่านทั้งหลาย จงรออยู่ที่นี้แหละสักครู่จนกว่าข้าพเจ้าจะมา แล้วขึ้นไปยังภูเขานั้น กระโดดลงไปทางด้านหน้าผา ตกลงไปบนหลังช่างสานผู้เป็นพ่อ ช่างสานผู้เป็นพ่อนั้นถึงแก่ความตายทันที แต่นายคามณิจันท์ไม่ตาย

ช่างสานผู้บุตรกล่าวว่า ท่านเป็นโจรฆ่าพ่อฉัน นี้เป็นความอาญาสำหรับท่าน แล้วจับมือนายคามณิจันท์ลากออกจากพุ่มไม้ ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้ง ๔ คน ให้นายคามณิจันท์อยู่กลาง พากันห้อมล้อมไป

ชีวิตที่ตกอับก็เป็นไปได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันไหน

ระหว่างทางเขาได้พบปะผู้คนซึ่งล้วนแต่มีปัญหาในชีวิต ซึ่งก็ได้ฝากปัญหา ของตนให้นายคามณีจันท์ไปทูลถามพระราชาผู้ทรงเป็นปราชญ์ เพื่อให้พระองค์ทรงวิสัชนาปัญหานั้นๆ แก่ตน รวมทั้งหมด ๑๐ ปัญหาด้วยกัน

เจ้าของโคได้พานายคามณิจันท์เข้าเฝ้าพระราชา พระราชาพอทรงเห็น นายคามณิจันท์ก็จำได้ ทรงพระดำริว่า นายคามณิจันท์เป็นผู้รับใช้พระชนกของเรา พอเราขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วก็หลีกไปจนเดี๋ยวนี้ จึงตรัสถามเรื่องราว ความเป็นอยู่ และเหตุที่เขามาเฝ้า

นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า จำเดิมแต่พระชนกของพระองค์สวรรคตแล้ว ข้าพระองค์ไปอยู่ชนบท กระทำกสิกรรมเลี้ยงชีพ แต่นั้น บุรุษผู้นี้ได้แสดงความอาญาเพราะเหตุเกี่ยวกับคดีเรื่องโค จึงคร่าตัวข้าพระองค์มาเฝ้าพระองค์พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า ท่านไม่ถูกคร่าตัวมาก็คงไม่มา เพราะเหตุนั้น ความที่ท่านถูกคร่าตัวมา นั่นแหละดีแล้ว บัดนี้ บุรุษผู้นั้นอยู่ที่ไหน

นายคามณิจันท์กราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า ท่านฟ้องความอาญาแก่นายคามณิจันท์ของเราจริงหรือ

เจ้าของโคทูลว่า จริงพระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร

เจ้าของโคทูลว่า เพราะนายคามณิจันท์นี้ไม่คืนโค ๒ ตัวให้แก่ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า ที่เขาว่า จริงหรือ จันทะ

นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์โปรดทรงสดับต่อข้าพระองค์เถิด แล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งปวงให้ทรงทราบ

พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามเจ้าของโคว่า ผู้เจริญ เมื่อโคเข้าบ้านของท่าน ท่านเห็นหรือเปล่า

เจ้าของโคทูลว่า ไม่เห็น พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า ท่านไม่เคยได้ยินคนเขาพูดถึงเราว่า พระราชาพระนามว่าอาทาสมุขบ้างหรือ ท่านอย่าหวาดระแวงเลย จงบอกมาเถิด

เจ้าของโคทูลว่า ได้เห็นพระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า คามณิจันท์ผู้เจริญ เพราะท่านไม่มอบโคให้เจ้าของ ค่าโคปรับเป็นสินไหมสำหรับท่าน แต่บุรุษนี้ทั้งที่เห็น พูดมุสาวาททั้งรู้ว่า ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ท่าน นั่นแหละเป็นผู้ประกอบการควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของบุรุษผู้นี้ และภรรยาของบุรุษ ผู้นี้ด้วย ส่วนตนเองให้กหาปณะ ๒๔ กหาปณะเป็นมูลค่าราคาโค

เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว นักการก็พาตัวเจ้าของโคออกไปข้างนอก เจ้าของโคนั้น คิดว่า เมื่อเขาควักลูกตาเสียแล้ว เราจักเอากหาปณะไปทำอะไร จึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์แล้วกล่าวว่า ท่านคามณิจันท์ผู้เป็นนาย กหาปณะที่เป็นมูลค่าของโค จงเป็นของท่านเถิด และจงถือเอากหาปณะเหล่านี้ด้วย แล้วให้กหาปณะทั้งหลาย แม้อื่นๆ แล้วหนีไป

คราวที่จะพ้นเคราะห์ ก็พ้นไปคนหนึ่ง

ลำดับนั้น บุรุษคนที่ ๒ ทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้ประหารภรรยาของข้าพระองค์ ทำให้ครรภ์ตกไป

พระราชาตรัสถามว่า จริงหรือ จันทะ

นายคามณิจันท์ทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามนายคามณิจันท์นั้นว่า ก็ท่านประหารภรรยาของบุรุษผู้นี้ ทำให้ครรภ์ตกไปหรือ

นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์มิได้ทำให้ตกไปพระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามบุรุษนั้นว่า ผู้เจริญ ท่านจะมีบุตรอีกได้ไหม

บุรุษนั้นทูลว่า ไม่อาจ พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามเขาว่า บัดนี้ท่านจะกระทำอย่างไร

บุรุษนั้นทูลว่า ข้าพระองค์ต้องการบุตรคืนมาพระเจ้าข้า

เรื่องใหญ่ ตายไปแล้ว จะเอาคืนมาได้อย่างไร แต่ความคิดของคนก็แสดง ให้เห็นว่า ช่างคิดได้สารพัดอย่าง

พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านเอาภรรยาของบุรุษผู้นี้ไปไว้ในเรือนของท่าน ในคราวที่นางคลอดบุตร จงนำบุตรนั้นมาให้บุรุษผู้นี้

ฝ่ายบุรุษผู้นั้นจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์ แล้วกล่าวว่า นายท่านอย่าทำลายเรือนของเราเลย

ได้ให้กหาปณะ แล้วหลีกหนีไป

จบไปอีกเรื่องหนึ่ง ต่อไปเป็นเรื่องที่ ๓

ลำดับนั้น บุรุษคนที่ ๓ มากราบทูลว่า

ขอเดชะ นายคามณิจันท์ทำเท้าม้าของข้าพระองค์หัก พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามว่า ที่เขาว่า จริงหรือ จันทะ

นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอได้โปรดสดับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ

พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามคนเลี้ยงม้าว่า

เขาว่าท่านพูดว่า จงขว้างม้าให้กลับ จริงหรือ

คนเลี้ยงม้านั้นทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่ได้พูด พระเจ้าข้า

เขาถูกตรัสถามซ้ำ จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์พูดพระเจ้าข้า

นี่ก็โทษของมุสาวาท แทนที่จะได้ดีก็เลยไม่ได้

พระราชาตรัสเรียกนายคามณิจันท์มาตรัสว่า

จันทะผู้เจริญ บุรุษผู้นี้พูดแล้วกลับกล่าวมุสาวาทว่าไม่ได้พูด ท่านจงตัดลิ้นของเขา แล้วเอาของที่มีของเราเป็นมูลค่าม้าให้ไปพันหนึ่ง

คนเลี้ยงม้ากลับให้กหาปณะ แม้อื่นอีก แล้วหลบหนีไป

จบไปอีกเรื่องหนึ่ง ถึงคนสุดท้าย

ลำดับนั้น บุตรช่างสานกราบทูลว่า

ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้เป็นโจรฆ่าบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามว่า ที่เขาว่า จริงหรือ จันทะ

นายคามณิจันท์กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ

พระราชารับสั่งให้เรียกช่างสานมา แล้วตรัสถามว่า

บัดนี้ ท่านจะกระทำอย่างไร

ช่างสานทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ขอบิดาของข้าพระองค์คืนมา พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ การได้บิดาของช่างสานนี้คืนมาจึงจะควร ก็คนตายแล้วไม่อาจนำมาอีกได้ ท่านจงนำมารดาของช่างสานคนนี้มาไว้ในเรือนชองท่านแล้วเป็นบิดา ของช่างสานนี้

บุตรช่างสานกล่าวว่า นาย ท่านอย่าทำลายเรือนแห่งบิดาผู้ตายแล้วของข้าพเจ้าเลย ได้ให้กหาปณะแก่นายคามณิจันท์ แล้วหลบหนีไป

ก็เป็นเรื่องที่จะต้องระวังความคิดให้เป็นไปโดยแยบคาย ให้เป็นไปโดยกุศล มิฉะนั้นแล้วจะได้รับผลของความคิดที่ไม่ถูกต้อง

นายคามณิจันท์ได้ประสบชัยชนะ และได้กราบทูลเรื่องสาสน์ ๑๐ ปัญหาที่ มีผู้ถวายให้พระราชาทรงพิจารณา ซึ่งพระราชาได้ทรงวิสัชนาไปโดยลำดับ

นายคามณิจันท์นั้นออกจากพระนคร แล้วบอกข่าวสาสน์ทั้งสิ้นที่พระโพธิสัตว์ประทานมาแก่ผู้ฝากสาสน์ไปถวาย เสร็จแล้วไปยังบ้านของตนด้วยยศอันยิ่งใหญ่ ดำรงอยู่ชั่วอายุก็ได้ไปตามยถากรรม

ฝ่ายพระเจ้าอาทาสมุขทรงบำเพ็ญบุญทั้งหลาย มีทานเป็นต้น ในเวลา สิ้นพระชนมายุ ทรงบำเพ็ญทางสวรรค์ให้เต็ม แล้วเสด็จไป

พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามากในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็มีปัญญามาก ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

นายคามณิจันท์ในกาลนั้นได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าอาทาสมุข ในกาลนั้น คือ เราตถาคต

จากนายคามณิจันท์ และก็คิดไปในแต่ละชาติ จนกระทั่งสังขารขันธ์ปรุงแต่ง แต่ละชาติ แต่ละชาติ สะสมกุศลเพิ่มขึ้นจนถึงชาติสุดท้ายได้เป็นท่านพระอานนท์ แต่สำหรับผู้ที่ยังสะสมกุศลไม่พอ ก็ต้องสะสมต่อไป และความคิดก็ยังจะคิดๆ คิดต่อไปไม่จบ ทุกชาติ จนกว่าจะถึงชาติที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

เปิด  247
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565