แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2057

ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

วันอาทิตย์ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๔


แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การมีชีวิตเป็นอยู่ในวันหนึ่งๆ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดก็จะไม่ทราบเลยว่า ชีวิตที่เป็นไปในทางเกิด เป็นไปตามปฏิจจสมุปปาท เริ่มจากวันหนึ่งๆ มีอวิชชามากหรือน้อย

ปฏิจจสมุปปาท เป็นธรรมฝ่ายเกิด เริ่มด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งทุกท่านที่ได้ฟังเรื่องปฏิจจสมุปปาทคือธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป ก็คงจะทราบอันดับต้น คือ อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร

และการที่จะเข้าใจปฏิจจสมุปปาท ควรจะพิจารณาองค์ของปฏิจจสมุปปาท ทีละองค์ในชีวิตประจำวันเพื่อจะได้เข้าใจจริงๆ เพราะถ้าจะให้กล่าวถึงปฏิจจสมุปปาทโดยลำดับทั้งหมดโดยตลอดก็ไม่ยาก แต่จะไม่ได้พิจารณาว่า ในขณะไหนเป็น ปฏิจจสมุปปาทองค์ไหน อย่างไร เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร

วันนี้มีอวิชชาหรือเปล่า ไม่ใช่เรื่องชื่อที่จะกล่าวว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ขณะนี้เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิตในขณะนี้จึงจะสามารถเข้าใจว่า ในขณะที่กุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิดก็ตาม ขณะนั้นมีเจตนา ความจงใจ ความตั้งใจเกิดขึ้น แม้แต่เพียงมีความต้องการเกิดขึ้นยินดีพอใจติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นก็มีเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นความจงใจ เป็นความตั้งใจ เป็นความต้องการติดข้องในขณะนั้น โดยที่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงก็จะ ไม่มีใครรู้ความละเอียดของจิตซึ่งเกิดขึ้นแต่ละขณะว่าประกอบด้วยเจตสิกอะไรบ้าง แต่ให้ทราบว่า กุศลจิตเกิดพร้อมกับกุศลเจตนา อกุศลจิตเกิดพร้อมกับอกุศลเจตนา และเจตสิกอื่นๆ และขณะที่เป็นกุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนานั้น อวิชชาเป็นปัจจัย

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ปฏิจจสมุปปาทก็เป็นไปอยู่เรื่อยๆ คือ เป็นฝ่ายเกิด แม้แต่ความคิดซึ่งคิดอยู่เสมอ ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งไม่ให้เจตนานั้นเกิดขึ้นเป็นไป ในกุศลและอกุศล ทุกคนปล่อยชีวิตไปตามกระแสของสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้พิจารณาว่า ควรจะดับสภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่คิดที่จะดับ ปฏิจจสมุปปาทก็ไม่มีทางที่จะหมดหรือดับสิ้นไปได้ ก็ต้องมีกุศล และอกุศลเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยอยู่นั่นเอง

ที่ว่ากุศลจิตและอกุศลจิตเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ก็เพราะว่าไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นต้องเป็นอวิชชา ซึ่งเป็นปัจจัยให้คิดไป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง

เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่พิจารณาพระธรรม ไม่มีสติที่ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ให้ทราบว่า ชีวิตในขณะนั้นๆ เป็นไปทางฝ่ายเกิด เป็นไปกับปฏิจจสมุปปาท เป็นไปทางฝ่ายมิจฉาปฏิปทา แต่ขณะที่กำลังฟังให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรม และพิจารณาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม หรือในขณะที่ สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมตามปกติในขณะนี้ ขณะนั้นชีวิตก็เป็นไปทางฝ่ายดับ คือ สัมมาปฏิปทา มิฉะนั้นไม่มีการออกจากสังสารวัฏฏ์เลย เป็นไปตามธรรมฝ่ายเกิดทั้งนั้น

สำหรับปฏิจจสมุปปาท มี ๑๒ องค์ คือ

อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมีนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส

เป็นชีวิตจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดมาแล้ว และทุกชีวิตกำลังก้าวไปสู่ความแก่ และความตาย และระหว่างนั้นจะพ้นไปจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าจะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้เริ่มเข้าใจเรื่องของ สภาพธรรมฝ่ายเกิดซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นไปละเอียดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็จะสามารถรู้หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดับปฏิจจสมุปปาทได้

สำหรับอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ขณะที่กำลังคิดเป็นไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นกุศล เป็นอกุศล แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงเป็นปัจจัยแก่สังขาร เมื่อถึงวาระที่จะจากโลกนี้ไป สังขารนั้นๆ คือกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ

ปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้ก็มีแล้ว เมื่อปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้มี ก็เป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรมและรูปธรรม นามธรรม คือ เจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต และไม่ใช่มีแต่จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นขณะแรก ต้องมีปฏิสนธิกัมมชรูป คือ รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตนั้นด้วย

นี่ก็เข้าใจปฏิจจสมุปปาทได้ ไม่ใช่เพียงแต่ท่องเฉยๆ แต่เข้าใจแล้วว่า เมื่อมี ปฏิสนธิวิญญาณคือปฏิสนธิจิต เจตสิกก็เกิดร่วมกับปฏิสนธิจิตนั้นโดยกรรมเดียวกันเป็นปัจจัยทำให้วิบากเจตสิกเกิดร่วมกับวิบากจิตซึ่งทำปฏิสนธิกิจ และกรรมนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูปเกิดร่วมด้วย สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ซึ่งเกิดในครรภ์จะมี กัมมชรูป ๓ กลุ่ม คือ

กายทสกะ กลุ่มของรูป ๑๐ รูป ซึ่งมีกายปสาทรวมอยู่ด้วย

หทยทสกะ กลุ่มของรูป ๑๐ รูป ซึ่งภายหลังจะเป็นรูปร่างที่เราสมมติเรียกกันว่าหัวใจ โดยจิตอาศัยข้างในหัวใจเป็นที่เกิด แต่ตอนที่เกิดขณะแรกนั้นยังไม่มีรูปร่าง เพียงแต่เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดซึ่งมองไม่เห็น และกลุ่มนั้นกลุ่มเดียวเป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต

อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ภาวทสกะ กลุ่มของรูป ๑๐ รูป ซึ่งมีภาวรูป คือ อิตถีภาวรูป หรือปุริสภาวรูป

นี่ย้อนไปถึงตอนที่เพิ่งเกิดจะได้รู้ว่า ตอนที่เกิดจริงๆ มีสังขาร คือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม กรรมเดียวเท่านั้นในบรรดาหลายๆ กรรมที่ทำในชาติหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมที่ทำมานานแล้วก็เป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ และชาติหน้าที่จะเกิดต่อไปก็จะเป็นเพราะกรรมหนึ่งกรรมใดที่ได้ทำในชาตินี้ หรือที่ได้ทำแล้วในชาติ ก่อนๆ ก็ได้ และในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นก็จะมีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมและมีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้วิญญาณคือปฏิสนธิจิตจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูป

การเข้าใจปฏิจจสมุปปาท ซึ่งบางท่านอยากจะเข้าใจมากๆ โดยที่ยังไม่ได้ศึกษาปรมัตถธรรมเลย ก็ขอให้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปปาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจะต้องเข้าใจปรมัตถธรรมก่อน คือ ต้องเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป จึงจะสามารถเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ว่าในส่วนของปฏิจจสมุปปาท หรือในส่วนของอริยสัจจธรรม

ด้วยเหตุนี้ขณะที่เกิด ปฏิสนธิจิตจึงเป็นปัจจัยแก่เจตสิกซึ่งเป็นนาม และ กัมมชรูปซึ่งเกิดร่วมด้วย

จิตเกิดดับตั้งแต่เกิดเรื่อยๆ รูปก็เกิดดับตั้งแต่เกิดสืบๆ กันมา แต่ไม่มีใครรู้ว่า การเกิดดับสืบต่อของจิตตั้งแต่ปฏิสนธิเมื่อไรจะเป็นสฬายตนะ ถ้าเพียงแต่จิตเกิดดับและไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะดีไหม เป็นไปได้ไหม ในเมื่อจิตเป็นสภาพรู้

เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีการรู้อารมณ์ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพียงแต่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่อเมื่อภายหลังจึงจะมีนามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ คือ เมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้น ก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจเป็นที่รู้อารมณ์ทางใจ เพราะฉะนั้น อายตนะ ๖ สฬายตนะ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

แต่ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ก็มีการเกิด และผู้ที่เกิดมาก็มีจิตเจตสิกรูปเกิดดับ แต่จะไม่รู้เลยว่า เมื่อถึงกาลเวลาใดที่จะเป็นปัจจัย ก็จะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย เพราะว่านามรูปซึ่งมีนั้นก็เกิดดับสืบต่อจนถึงกาลที่จะเป็นอายตนะ

ถ. อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ สังขารตัวนี้คืออะไร วิญญาณคืออะไร นามรูปคืออะไร ผมยังสงสัย แต่ตอนสิ้นชีวิตนั้นรู้ สังขารนั้นเป็น อภิสังขาร เป็นเจตนาที่จะเกิดวิญญาณและนามรูป

สุ. ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปปาท หมายความถึงอภิสังขาร ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร ๑ อปุญญาภิสังขาร ๑ อเนญชาภิสังขาร ๑ ได้แก่ เจตนาเจตสิก ดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะว่าเป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต

เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้ ทุกชีวิตที่มีการเกิดและคงต้องมีการ เกิดอีกๆ ไม่จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ

วิญญาณซึ่งได้แก่ปฏิสนธิจิตนั้น ขณะที่เกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั่นเองจะมีเจตสิกกับกัมมชรูปเกิด และเกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าถึงกาลที่เป็นสฬายตนะหรืออายตนะที่จะรู้อารมณ์อื่น นอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต

ถ. ระหว่างเกิดกับตาย ระหว่างนี้ทั้งหมดก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

สุ. วันนี้มีอกุศลจิตไหม

ถ. สำหรับผมมีมากมายเลย

สุ. มีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าไม่ใช่กุศลที่เป็นการศึกษาธรรมให้เข้าใจหนทาง ที่จะดับ ขณะนั้นต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้แม้เป็นกามาวจรกุศล เป็นไป ในทาน เป็นไปในศีล แต่ไม่ใช่การศึกษาธรรมให้เข้าใจลักษณะของธรรม ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

ถ. ตรงนี้เข้าใจ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นโมหะ

สุ. ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ นี่เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิดต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

ถ. ไม่เสมอ เพราะบางครั้งเป็นกุศล

สุ. แม้กุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรม หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังเป็นไป ในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ

ถ. เข้าใจ ต่อไปอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร คือ ปรุงแต่ง และสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ไม่เอาตอนตาย ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ จะหมายความว่าอย่างไร ตามปกติ

สุ. เริ่มจากปฏิสนธิจิต ต่อจากนั้นก็วิบากจิตอื่นๆ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าวิบากจิตทั้งหลายต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรม วิบากจิตจะเกิดไม่ได้เลย

ถ. วิญญาณตัวนี้คือวิบากจิต ต่อไปบอกว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถามว่า วิบากจิตอย่างไรจึงให้เกิดนามรูป

สุ. จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย เจตสิกนั้นคือนาม เพราะฉะนั้น วิบากจิตก็เป็นปัจจัยให้วิบากเจตสิกเกิด และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ จิตอื่นทั้งหมดเป็นปัจจัยให้รูปเกิด

ถ. ยังไม่เข้าใจตรงนี้

สุ. ทุกขณะที่จิตเกิด จิตนั้นจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย เว้นจิต ๑๐ ดวงเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ถ้ากล่าวกว้างออกไป อรูปฌานวิบากก็ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด และจุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปเกิด แต่ถ้าพูดถึงชีวิตปกติธรรมดาของทุกคน ก็เฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด

ถ. สรุปว่า วิญญาณคือจิตที่ก่อให้เกิดนามรูปนั้น เจตสิกเป็นนาม รูป ก็คือจิตตชรูปเท่านั้นหรือ

สุ. ถ้าพูดถึงจิตเป็นปัจจัย ต้องเป็นจิตตชรูปเท่านั้น ต้องเท้าความไปถึงตอนเกิด คือ ปฏิสนธิจิต ทุกคนมีกรรมที่ได้ทำแล้ว เกิดชาติหน้าจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นมนุษย์ หรือจะเป็นสัตว์มีรูปร่างต่างๆ กัน เป็นสัตว์บกสัตว์น้ำอย่างไรก็ตามแต่ เป็นไปโดยกรรมซึ่งทำให้รูปนั้นๆ เกิดขึ้น แต่แม้กระนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กรรมก็ทำให้รูปนั้นๆ เกิดไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ขณะแรกที่สุดซึ่งเหมือนกับเปิดทางที่จะให้ชีวิตดำเนินไป ก็คือ อวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่ได้กระทำแล้วในอดีต และสังขารที่ได้ กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตคือวิญญาณเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ในขณะนั้นยังไม่มีจิตตชรูป ไม่มีอุตุชรูป ไม่มีอาหารชรูปเลย

ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ด้วยเหตุนี้ปฏิสนธิจิตจึงเป็นที่อาศัยของเจตสิกที่เกิดร่วมกัน และเป็นที่อาศัยเกิดของกัมมชรูปด้วย เพราะถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูปเกิดไม่ได้

เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับจิตเลยถ้าเป็นกัมมชรูป รูปใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นกัมมชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยทั้งนั้น

ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิด ยังไม่มีจิตตชรูป ขณะแรกขณะเดียววิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นามรูป นามหมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และรูปหมายถึงกัมมชรูป อย่างเดียวเท่านั้น

ถ. วิญญาณให้เกิดนามรูป เข้าใจแล้ว ๒ รูป คือ กัมมชรูปกับจิตตชรูป ต่อไปอาหารชรูปและอุตุชรูป

สุ. อย่าเพิ่งเข้าใจเร็ว ปฏิสนธิจิตเกิดขณะแรกขณะเดียว มีเจตสิกเกิด ร่วมด้วยคือนาม มีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย กัมมชรูปประเภทเดียวเท่านั้น

ปฏิสนธิจิตมี ๓ ขณะย่อย หรือ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ขณะเกิด ฐีติขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ยังไม่ดับ และภังคขณะ ขณะที่ดับ

ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่เกิดนั้นเอง เจตสิกเกิดร่วมด้วยและ กัมมชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ปฏิสนธิจิตเป็นเพียงสหชาตปัจจัยที่ทำให้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกัน แต่กัมมชรูปนั้นไม่ได้เป็นจิตตชรูป ต้องเป็นกัมมชรูป เพราะว่ากรรมทำให้รูปนั้นเกิดที่จะเป็นบุคคลนั้น จะเป็นสัตว์ในน้ำ บนบก เป็นมนุษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต ในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต และในภังคขณะของปฏิสนธิจิต

เปิด  304
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565