บทสนทนาธรรม ตอนที่ 44


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ครั้งที่ ๔๔

    เหตุที่ทรงพยากรณ์สาวกว่าใครเกิดในภพไหน

    พรหมจรรย์มีความหมาย ๒ อย่าง


    คุณวันทนา สวัสดีค่ะ ครั้งที่แล้วอาจารย์ได้พูดถึงกรรมที่เป็นบุญกุศลซึ่งวิจิตรต่างกัน และจำแนกบุคคลที่กระทำกรรมนั้นให้ไปสุคติภูมิต่างๆ เมื่อจุติจากโลกนี้แล้ว ตามควรแก่เหตุคือการกระทำซึ่งเป็นกรรมนั้นๆ ส่วนกรรมชั่วซึ่งได้แก่ทุจริตกรรมต่างๆ ทางกาย ทางวาจา และใจนั้น ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในทุคติภูมิ อันมีนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน แต่ทุคติภูมิย่อมไม่เป็นที่หวังที่ปรารถนาของผู้ใดทั้งสิ้น การที่จะไปสู่สุคติภูมิหรือทุคติภูมินั้น ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดเลยเพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ผลที่เกิดขึ้นนั้นย่อมเกิดจากเหตุที่ควรแก่ผลนั้นๆ เมื่อทุกท่านต่างก็ปรารถนาความสุขที่เกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ดีที่น่าพอใจ ท่านก็ควรพิจารณาจิตใจ และการกระทำของท่านว่า ท่านมีเหตุที่สมควรที่จะได้รับผลตามที่ท่านปรารถนามากน้อยสมบูรณ์เพียงใดแล้วหรือยัง อดีตก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นปัจจุบันได้อีก และปัจจุบันก็กำลังล่วงไปเป็นอดีตอยู่ทุกๆ ขณะ อนาคตก็ย่อมจะเกิดขึ้นตามควรแก่เหตุ ภพภูมิต่างๆ ที่รอเราอยู่เบื้องหน้า ก็มีมากมาย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าคิดน่าเป็นห่วงเหมือนกันว่า ต่อจากภูมินี้แล้วเราจะเกิดในภูมิไหน

    ท่านอาจารย์ คุณวันทนาอยากทราบไหมคะว่า ต่อจากโลกนี้แล้วจะเกิดในโลกไหน

    คุณวันทนา มีทางใดที่จะทราบได้ไหมคะ เมื่อไม่มีพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพยากรณ์ได้อย่างในครั้งพุทธกาล

    ท่านอาจารย์ การที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่าใครเกิดที่ไหนนั้น คุณวันทนาจะต้องเข้าใจด้วยว่า พระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นประโยชน์อะไรในการที่ทรงพยากรณ์ให้รู้ว่าใครเกิดที่ไหน เมื่อคุณวันทนาเข้าใจจุดประสงค์ที่พระองค์ทรงพยากรณ์ คุณวันทนาก็จะได้รับประโยชน์ และสาระจากการที่พระองค์ทรงพยากรณ์ว่าใครเกิดที่ไหน โดยที่ไม่เพียงแต่รู้ว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสิ้นชีวิตแล้วเกิดที่ไหนหรือว่าใครตายแล้วเกิดที่ไหน เพราะวาจาใดถึงแม้ว่าจะจริงแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ก็ไม่ตรัสวาจานั้น

    คุณวันทนา ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็คงต้องทรงมุ่งประโยชน์แก่สัตวโลกอย่างหนึ่งอย่างใด ในการที่ได้ทรงพยากรณ์ว่าใครเกิดที่ไหน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วการที่จะรู้ว่าใครตายแล้วเกิดที่ไหนนั้น ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรแก่ผู้ฟัง และผู้ที่รู้เลย นอกจากให้ได้รู้สิ่งที่อยากรู้เท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค นฬกปานสูตร ข้อ ๑๙๕ - ๒๐๒ มีข้อความว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในป่าไม้ทองกวาว เขตบ้านนฬกปานะ ในโกสลชนบท ก็สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคมีพระภิกษุแวดล้อมประทับนั่งอยู่ในที่แจ้ง พระองค์ตรัสถาม และทรงแสดงให้ภิกษุทั้งหลายมีท่านพระอนุรุทธ ท่านพระภัททิยะ ท่านพระกิมพิละ ท่านพระภัคคุ ท่านพระโกณฑัญญะ ท่านพระเรวัตต และท่านพระอานนท์ เป็นต้น ได้เข้าใจว่า พระองค์ทรงเห็นอำนาจประโยชน์อะไรจึงทรงพยากรณ์สาวกทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้วว่าเกิดในภพไหน

    คุณวันทนา พระองค์ทรงแสดงว่าเพราะอะไรจึงได้ทรงพยากรณ์คะ

    ท่านอาจารย์ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ที่พระองค์ทรงพยากรณ์สาวกที่ล่วงลับไปแล้วว่าใครเกิดในภพไหนนั้นไม่ใช่เพื่อให้คนพิศวง ไม่ใช่เพื่อเกลี้ยกล่อมคนให้เลื่อมใส ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ และสรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อให้คนรู้จักพระองค์ แต่เพื่อผู้ที่มีศรัทธาทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัย เมื่อได้ฟัง และรู้คุณธรรมของสาวกเหล่านั้น และได้รู้ผลของคุณธรรมเหล่านั้นว่า เพราะคุณธรรมเช่นนั้นสาวกผู้นั้นจึงเกิดในภพนั้นๆ เมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาได้ฟังแล้วระลึกถึงคุณธรรมของสาวกที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ย่อมจะน้อมจิตไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง และเมื่อเป็นอย่างนี้ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งก็จะเป็นการเกื้อกูลเป็นประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้นั้นสิ้นกาลนาน

    คุณวันทนา ก็แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงอนุเคราะห์สาวกทุกอย่างทุกประการทีเดียวนะคะ ให้ได้รับประโยชน์ ให้ได้ความเข้าใจ แม้เหตุที่ได้ทรงมีพุทธดำรัสต่างๆ ซึ่งก็เป็นพระมหากรุณาแก่พุทธบริษัทอย่างที่สุด

    ท่านอาจารย์ ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นมีท่านพระอนุรุทธะ เป็นต้น กำลังเป็นหนุ่มแน่นผมดำสนิทควรบริโภคกาม แต่ก็มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้ พระองค์จึงทรงพระมหากรุณาชี้แจงกิจที่บรรพชิตพึงกระทำ คือการเจริญสมณธรรม และให้เข้าใจเหตุที่ทรงพยากรณ์สาวกที่ประกอบด้วยคุณธรรมว่าเกิดที่ไหน เพื่อให้พระภิกษุเหล่านั้นมีศรัทธามั่นคง และน้อมจิตไปเพื่อคุณธรรมเหล่านั้น คุณวันทนาก็คงเข้าใจเหตุ และประโยชน์ที่ทรงพยากรณ์แล้วนะคะ

    คุณวันทนา อย่างผู้ที่มีศีล เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์ของพระองค์ที่กล่าวถึงสาวกผู้เจริญศีลว่า เมื่อตายแล้วไปเกิดในสุคติภูมิใด ได้เสวยผลคือความสุขประการใด เขาได้ฟังแล้วก็ย่อมจะอิ่มใจ เมื่อนึกถึงศีลที่เขาเจริญรักษาอยู่ แม้สำหรับผู้ที่มีกิเลสอกุศลเมื่อได้ฟังแล้ว ก็จะได้หันกลับมาเจริญกุศลเสียบ้าง ซึ่งก็เป็นการอนุเคราะห์นะคะ ที่พระองค์ทรงพยากรณ์ให้ทราบ

    ท่านอาจารย์ คุณวันทนาก็ได้ทราบเรื่องโลกต่างๆ ภูมิต่างๆ แล้วนะคะ ว่ามีมาก และวิจิตรประณีตต่างกัน ตามความวิจิตรของกรรมที่ทำให้เกิดในที่นั้นๆ คุณวันทนาอยากจะเกิดที่ไหนคะ

    คุณวันทนา สำหรับสุทธาวาสภูมินั้นน่ะคงเกิดไม่ได้แน่ เพราะไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล และไม่ได้ปัญจมฌานเสียด้วย ทีนี้ก็มาคิดดูถึงพรหมโลก ถึงแม้จะได้ทราบว่ามีความสุขสบายสักเพียงใด ก็คงจะไปไม่ได้อีก เพราะจนป่านนี้แล้วยังไม่ได้ลงมือทำฌานเลย ส่วนสวรรค์นั้นก็พอจะมีหวัง แต่ก็ต้องแล้วแต่บุญกรรม ถ้าได้เกิดในสวรรค์ชั้นสูงๆ ก็ยิ่งดี ถึงไม่ได้ชั้นสูงเพียงชั้นจาตุมหาราชิกาก็ยังดี หรือถ้าจะมักน้อยรู้กำลังของตัวเอง เกิดมาเป็นมนุษย์อีกก็ยังดีกว่า ส่วนอบายภูมินั้นไม่ไหวหรอกค่ะ และคิดว่าคงไม่มีใครอยากจะเกิด ขอตั้งจิตอธิษฐานให้ห่างไกล นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน ทุกชาติเลยทีเดียว

    ท่านอาจารย์ คุณวันทนาไม่กลัวความสุขความเพลิดเพลินในสวรรค์หรือคะ

    คุณวันทนา ก็อารมณ์ดีๆ ทั้งนั้นนี่ค่ะ ที่นั่นน่ะ ทำไมคะต้องกลัวล่ะคะอาจารย์

    ท่านอาจารย์ อารมณ์ทั้งหลายในสวรรค์ ถึงแม้จะประณีตสักเท่าไรก็ไม่เที่ยงทั้งนั้นค่ะ ชีวิตในสวรรค์ก็ไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็จะต้องดับหมดไปเป็นธรรมดา

    คุณวันทนา อารมณ์ต่างๆ ในสวรรค์ อย่างเช่นวิมานที่วิจิตรตระการตา สวนสวรรค์ที่สวยงามรื่นรมย์ รูป เสียง กลิ่น รส ต่างๆ ล้วนเป็นทิพย์ ความสวยงามของเทพบุตรเทพธิดาบนสรวงสวรรค์นั้นถึงจะไม่เที่ยง ก็ไม่แปรสภาพให้ปรากฏเพราะเป็นทิพย์นี่คะอาจารย์ อย่างรูปร่างก็สวยงาม ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่แก่ชรา วิมานในสวรรค์ก็แสนจะวิจิตรตระการตา อารมณ์ต่างๆ นั้นถึงจะเกิดดับ แต่ก็คงสภาพที่ประณีตน่าเจริญตาเจริญใจทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ แต่คนที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ ยังไม่พ้นจากอบายภูมิ ก็มีสุคติ และทุคติเป็นที่พักเพียงชั่วคราวเท่านั้นเองค่ะ เหมือนที่เทพบุตรกล่าวกับพระนางอุทัย ในขุททกนิกาย เอกาทสนิบาตชาดก อุทยชาดก ข้อ ๑๕๒๖ - ๑๕๖๑

    คุณวันทนา แหม เรื่องนี้ก็คงจะน่าฟังนะคะ อาจารย์ เพราะพระธรรมทุกข้อทุกเรื่องนั้น ย่อมจะมีอรรถรสที่เป็นคติเตือนให้ให้คิด และให้รู้ความจริงทั้งนั้น สำหรับเรื่องนี้จะมีคติน่าคิดยังไงบ้างคะ

    ท่านอาจารย์ ข้อความในเรื่องนี้มีว่า ขณะที่พระนางอุทัยเสด็จขึ้นสู่ปราสาท ประทับนั่งอยู่พระองค์เดียวนั้น เทพบุตรผู้หนึ่งได้เข้ามาในตำหนักของพระนาง และวิงวอนให้พระนางร่วมความสำราญชื่นชมกับเทพบุตรนั้น โดยจะถวายถาดทองที่มีเหรียญทองเต็มทีเดียวค่ะ แต่พระนางก็รับสั่งให้เทพบุตรนั้นกลับไปเสีย เพราะนอกจากพระเจ้าอุทัยแล้ว พระนางไม่ปรารถนาใครอื่น ทั้งเทวดา และมนุษย์ผู้ใดเลย เทพบุตรผู้นั้นก็ยังคงชักชวนต่อไปอีก โดยเปลี่ยนจากการขอถวายถาดทองที่มีเหรียญทองเต็ม เป็นขอถวายถาดเงินที่มีเหรียญเงินเต็ม ซึ่งก็ทำให้พระนางทรงแปลกพระทัยมาก ที่ค่าตัวของพระนางลดลงจากถาดทองคำที่มีเหรียญทองเต็มมาเป็นถาดเงินซึ่งมีเหรียญเงินเต็ม พระนางตรัสว่า ธรรมดาชายซึ่งมีความปรารถนาเช่นนี้ ย่อมจะประมูลราคาขึ้นจนเป็นที่พอใจ แต่เทพบุตรกลังตรงกันข้าม คือประมูลราคาด้วยการลดลง

    คุณวันทนา ก็น่าแปลกนะคะ อาจารย์ และไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้จะมีใครเขาทำกันอย่างนี้ แล้วเทพบุตรกล่าวว่าอย่างไรล่ะคะ

    ท่านอาจารย์ เทพบุตรผู้นั้นก็กล่าวว่า อายุ และวัณณะของหมู่มนุษย์ในมนุษยโลกย่อมเสื่อมลง ด้วยเหตุนั้นแม้ทรัพย์สำหรับพระนาง คือทรัพย์ที่จะถวายเป็นค่าตัวของพระนางก็จำต้องลดลง เพราะวันนี้พระนางชราลงกว่าวันก่อน และเมื่อในขณะที่เทพบุตรกำลังมองพระนางอยู่นั้น พระฉวีวรรณของพระนางก็ย่อมเสื่อมไปทุกๆ ขณะ ตามกาลเวลา และวันคืนที่ล่วงไป เพราะเหตุนั้นพระนางจึงควรประพฤติพรหมจรรย์เสียวันนี้ทีเดียว

    คุณวันทนา แหมเป็นวิธีสอนให้สำนึกถึงความไม่เที่ยงที่ใหม่ แปลก และดีที่สุดวิธีหนึ่งทีเดียว

    ท่านอาจารย์ และก็เป็นความจริงด้วยใช่ไหมคะ

    คุณวันทนา ค่ะ แต่ก็เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคิดถึงนะคะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะว่าเป็นความจริงที่หลบแฝง และซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ทุกขณะ ถ้าไม่มีอุบายที่ฉลาดที่จะให้ระลึกถึงความจริงข้อนี้ และไม่มีวิธีค้นหาความจริงข้อนี้ให้พบ ความจริงข้อนี้ก็จะไม่ปรากฏให้ประจักษ์เลย

    คุณวันทนา แล้วเทพบุตรผู้นั้นเป็นใครกันคะ จึงได้มีจิตห่วงใย และเมตตามาอนุเคราะห์พระนางด้วยวิธีที่ทำให้พระนางสำนึกถึงความไม่เที่ยงได้

    ท่านอาจารย์ เทพบุตรผู้นั้นก็คือพระเจ้าอุทัยในชาติก่อนนั่นเองค่ะ เมื่อพระเจ้าอุทัยสิ้นพระชนม์แล้วก็เกิดเป็นเทพบุตร และที่มากล่าวเตือนพระนางอุทัยก็เพื่อปลดเปลื้องข้อผูกพันที่เคยมีต่อกัน และเมื่อบอกพระนางแล้วก็จะขอลาไป เพราะว่าพ้นจากข้อผูกพันกับพระนางแล้ว

    คุณวันทนา เมื่อพระนางทรงทราบว่าเป็นพระเจ้าอุทัยแล้ว พระนางรู้สึกอย่างไรบ้างคะ

    ท่านอาจารย์ พระนางก็ทรงขอให้เทพบุตรนั้นพร่ำสอนวิธีที่จะให้พระนาง และเทพบุตรนั้นได้พบกันอีก

    คุณวันทนา มีวิธีหรือข้อประพฤติปฏิบัติอย่างไรบ้างหรือเปล่าคะ ที่จะให้ได้พบกันอีก

    ท่านอาจารย์ ถึงจะมีวิธีที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่จะให้ได้พบกันอีกก็ไม่ประโยชน์ค่ะ เพราะว่าเทพบุตรนั้นมาเพื่อจะปลดเปลื้องข้อผูกพันที่เคยมีกับพระนาง แต่พระนางก็ยังต้องการจะผูกพันกันอีก และเมื่อพระนางขอให้เทพบุตรบอกข้อประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้ได้พบกันอีก เทพบุตรก็สอนพระนางว่า วัยล่วงไปเร็วยิ่งนัก แต่ละขณะก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ความตั้งอยู่ยั่งยืนไม่มี สัตว์ทั้งหลายย่อมจุติไปแน่แท้ สรีระไม่ยั่งยืนย่อมเสื่อมถอย เพราะฉะนั้นจงอย่าประมาท จะประพฤติธรรม เพราะถึงแม้ว่าพื้นแผ่นดินทั้งสิ้นนี้จะเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ที่พึงเป็นของพระราชาพระองค์เดียวไม่มีผู้อื่นครอบครอง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไป มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ภรรยา สามี พร้อมทั้งทรัพย์ แม้เขาเหล่านั้นต่างก็จะละทิ้งกันไป พึงทราบว่าสุคติ และทุคติในสงสารนั้นเป็นที่พักเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเหตุนั้นพระนางจงอย่างประมาท จงประพฤติธรรม

    คุณวันทนา ก็นับว่าเป็นคติเตือนใจ และน่าคิดมาก เพราะที่เราปรารถนาอะไรๆ กันอย่างละนิดละหน่อย เดี๋ยวก็อยากได้อย่างโน้นอย่างนี้มาเป็นของเรา ถ้าจะคิดถึงว่าไม่ต้องปรารถนาโน่นปรารถนานี่ให้เหนื่อยยากอะไรหรอก ถึงจะให้ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติเพียงคนเดียวหมดทั้งโลกแล้วก็ตาม ที่จะไม่ตายพ้นไปจากโลก พ้นจากทรัพย์สมบัติ พี่น้อง ญาติมิตรสหายทั้งหมดนั้นไม่มีเลย ความจริงที่หลบซ่อนอยู่ก็คือความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่างนี่ค่ะ เมื่อไรจะปรากฏเปิดเผยให้เห็นแจ้งสักทีคะ

    ท่านอาจารย์ นานๆ ก็ปรากฏให้เห็นเสียทีไงล่ะคะ ในรูปลักษณะของความชราบ้าง และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ความวิบัติ และภัยอันตรายต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นปรากฏเมื่อไร ใครๆ ก็เอ่ยปากว่าไม่เที่ยงๆ แต่ส่วนมากมักจะคิดถึงสิ่งที่ชอบซึ่งแปรสภาพเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ชอบ จึงจะบอกว่าไม่เที่ยงเลย แต่เวลาสิ่งที่ไม่ชอบหมดไปหรือสิ่งที่ไม่นำความสุขมาให้หมดไป คุณวันทนาเคยได้ยินใครบอกว่าไม่เที่ยงบ้างไหมคะ

    คุณวันทนา ไม่เคยได้ยินเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ คุณวันทนาทราบไหมคะว่าเป็นเพราะอะไร

    คุณวันทนา ก็คงดีใจว่าสิ่งที่ไม่ชอบหมดไปได้ เลยลืมนึกถึง

    ท่านอาจารย์ เพราะความยินดีพอใจในสิ่งดีๆ ที่ได้มานั้น ปิดบังไม่ให้รู้ลักษณะที่ไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏ สภาพของรูปที่เจ็บไข้เป็นโรคภัยต่างๆ นั้นไม่เที่ยง ความหายโรคจึงมีได้ สภาพของเด็กๆ ไม่เที่ยง จึงปรากฏสภาพของวัยหนุ่มวัยสาวได้ สภาพของวัยหนุ่มวัยสาวไม่เที่ยง จึงปรากฏสภาพของวัยชราได้ แต่การเปลี่ยนจากวัยเด็กมาเป็นวัยหนุ่มสาว เปลี่ยนจากสภาพเจ็บไข้มาสู่สภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงเป็นต้นนั้น เป็นสิ่งที่ชอบใจ ความพอใจยินดีในสภาพของสิ่งที่พอใจนั้นปิดบังไม่ให้ตระหนักในความไม่เที่ยงของสิ่งที่พอใจนั้น ซึ่งก็มีอยู่ทุกๆ ขณะ เช่นเดียวกันค่ะ

    คุณวันทนา ที่จริงทุกสิ่งในโลกนี้ทั้งที่ดี และไม่ดี ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงต้องแปรผันทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่รู้ และพิจารณาสภาพที่ไม่คงที่ของทุกสิ่งที่ดีที่น่าพอใจ และสิ่งที่ไม่ดีไม่น่าพอใจอยู่เสมอๆ ก็ย่อมจะเตือนใจให้ผู้นั้นได้รู้ความจริงของชีวิต และจะทำให้บรรเทาความทุกข์ เมื่อประสบกับความแปรผันของชีวิต ผู้นั้นจะไม่ติดในความสุขของอารมณ์ทั้งหลายคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสดีๆ ที่ได้รับ และไม่เดือดร้อนเป็นทุกข์จนเกินไปเวลาประสบกับเหตุการณ์ และอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และนอกจากนั้นแล้วนะคะ เมื่อพิจารณาความไม่เที่ยงของทุกสิ่งอยู่เสมอ ก็ย่อมจะแสวงหา และประพฤติในทางที่ดีงามเป็นบุญเป็นกุศล เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวเอง และแก่ผู้อื่นยิ่งๆ ขึ้น

    คุณวันทนา เมื่อพระนางได้ฟังเทพบุตรกล่าวสอนอย่างนั้นแล้ว พระนางประพฤติปฏิบัติตามอย่างไรหรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ พระนางตรัสว่า “เทพบุตรนั้นกล่าวดีจริง ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายนั้นน้อย ทั้งลำเค็ญ ทั้งนิดหน่อย ทั้งประกอบไปด้วยทุกข์” และพระนางตรัสว่า พระนางจะสละพระนครออกบวชอยู่แต่ลำพังผู้เดียว

    คุณวันทนา การสละบ้านเรือนไปบวชอยู่ตามลำพังนั้นไม่ใช่ของง่ายเลยนะคะ อาจารย์ เพราะว่าต้องตัดภาระผูกพันกับญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ต้องลำบากในเรื่องที่อยู่อาศัย มีเรื่องอาหารบิณฑบาต คิลานเภสัชอะไรเหล่านี้ ถ้าใครยังมีใจผูกพันกับครอบครัว กับพี่น้อง กับวงศาคณาญาติแล้ว ถึงตัวจะไปใจก็ยังผูกพันอยู่กับหน้าที่ที่มีอยู่ต่อวงศาคณาญาติ และยังใคร่จะสงเคราะห์ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั้งในทางโลก และในทางธรรมเท่าที่จะทำได้ในภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง อาจารย์คะ การออกบวชเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ การประพฤติพรหมจรรย์มีสองอย่างค่ะ การละการครองเรือนก็เป็นการประพฤติพรหมจรรย์อย่างหนึ่ง การปฏิบัติธรรมที่ประเสริฐที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็เป็นพรหมจรรย์อีกอย่างหนึ่ง และพรหมจรรย์คือข้อประพฤติปฏิบัติในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น ย่อมบริบูรณ์เพราะพุทธบริษัทบำเพ็ญให้บริบูรณ์ และพุทธบริษัทนั้น คุณวันทนาคงทราบแล้วว่ามีใครบ้าง

    คุณวันทนา ก็มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

    ท่านอาจารย์ ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปริพาชกวรรค มหาวัจฉโคตตสูตร ข้อ ๒๕๓ - ๒๖๗ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่ปริพาชกวัจฉโคตตแล้ว วัจฉโคตตปริพาชกมีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง สรรเสริญพรหมจรรย์ข้อประพฤติปฏิบัติในศาสนาของพระผู้มีพระภาคว่า พรหมจรรย์นั้นบริบูรณ์เพราะเหตุที่ภิกษุบำเพ็ญให้บริบูรณ์ พรหมจรรย์นั้นบริบูรณ์เพราะเหตุที่ภิกษุณีบำเพ็ญให้บริบูรณ์ อุบาสกฝ่ายคฤหัสถ์ที่ไม่บริโภคกามบำเพ็ญให้บริบูรณ์ อุบาสกฝ่ายคฤหัสถ์ที่บริโภคกามบำเพ็ญให้บริบูรณ์ อุบาสิกาฝ่ายคฤหัสถ์ที่ไม่บริโภคกามบำเพ็ญให้บริบูรณ์ อุบาสิกาฝ่ายคฤหัสถ์ที่บริโภคกามบำเพ็ญให้บริบูรณ์

    เพราะฉะนั้นคุณวันทนาก็คงเห็นแล้วนะคะ ว่า พระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้นไม่จำกัด และไม่เลือกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ที่บริโภคกาม และไม่บริโภคกาม ก็ย่อมบำเพ็ญพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ได้ทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดไม่มีอัธยาศัยที่จะสละบ้านเรือนออกบวช และยังมีภาระผูกพันกับวงศาคณาญาติ ใครจะเกื้อกูลพุทธบริษัททั้งในทางโลก ทางธรรม ในฐานะของอุบาสก อุบาสิกา และถ้าผู้นั้นทำหน้าที่ทั้งในทางโลก และทางธรรมอย่างดีที่สุดแล้ว ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทพวกหนึ่งที่มีส่วนทำให้พระพุทธศาสนาสมบูรณ์ค่ะ เพราะพระพุทธศาสนานั้นย่อมจะดำรงอยู่ไม่ได้ด้วยบรรพชิตเพียงพวกเดียว ถ้าคนที่นับถือพระพุทธศาสนาบวชกันหมด ใครจะประกอบการงานหรืออุปถัมภ์บำรุงบรรพชิตล่ะคะ

    คุณวันทนา คำว่าบำเพ็ญพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ที่วัจฉโคตตปริพาชกกล่าวสรรเสริญนั้น หมายความว่าอย่างไร เพราะคฤหัสถ์ทั้งที่บริโภคกาม และไม่บริโภคกามบำเพ็ญให้บริบูรณ์ได้

    ท่านอาจารย์ การบำเพ็ญพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ คือการเจริญปัญญาจนรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง และบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล

    คุณวันทนา ถ้าอย่างนั้น พุทธบริษัททั้ง ๔ ก็สามารถบำเพ็ญพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ บรรลุอริยสัจเป็นพระอริยบุคคลได้โดยไม่ต้องออกบวชก็ได้นะคะ

    ท่านอาจารย์ ผู้ใดบำเพ็ญพรหมจรรย์ประพฤติข้อปฏิบัติที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจ ๔ บริบูรณ์แล้ว ผลก็คือการรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ย่อมจะมีได้กับบุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกใดในบริษัท ๔ อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และวิสาขามหาอุบาสิกา ก็เป็นคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามที่เป็นพระอริยบุคคลทั้งสองท่าน และพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงว่า บริษัททั้ง ๔ นั้นคือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกที่ไม่บริโภคกาม และที่บริโภคกาม อุบาสิกาที่ไม่บริโภคกาม และที่บริโภคกาม ที่ได้กล่าวแล้วนั้นบรรลุธรรม ไม่ใช่แต่ ๑๐๐ เดียว ไม่ใช่ ๒๐๐ - ๓๐๐ - ๔๐๐ - ๕๐๐ ที่แท้มีอยู่มากทีเดียว จากพระสูตรนี้ คุณวันทนาควรพิจารณาในข้อนี้ด้วยค่ะว่า ถ้าพระพุทธศาสนามีแต่บรรพชิตพวกเดียวที่บรรลุอริยสัจธรรมได้ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่สมบูรณ์ ยังมีผู้ตำหนิได้ว่าพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นไม่เป็นความจริงแท้ เพราะบุคคลอื่นนอกจากบรรพชิตรู้ไม่ได้ แต่เพราะพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เป็นความจริงแท้ ไม่จำกัดบุคคล ไม่จำกัดเพศบรรพชิตหรือฆราวาส ผู้ใดเจริญปัญญาถูกต้องที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจ ๔ ผู้นั้นก็รู้แจ้งอริยสัจได้ การรู้แจ้งอริยสัจของบรรพชิต และคฤหัสถ์นั้น เป็นการพิสูจน์คำสอนของพระองค์ว่าเป็นความจริงแท้ ดังที่วัจฉโคตตปริพาชกกล่าวสรรเสริญนั่นแหละค่ะ

    คุณวันทนา จากการสนทนาของเราในวันนี้ ท่านผู้ฟังก็คงจะเห็นว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้พุทธบริษัทจะเหลืออยู่แต่ภิกษุ สามเณร อุบาสกทั้งที่บริโภคกาม และที่ไม่บริโภคกาม อุบาสิกาทั้งที่บริโภคกาม และที่ไม่บริโภคกาม ถ้าตราบใดข้อประพฤติปฏิบัติอันเป็นเหตุให้เกิดปัญญารู้แจ้งความจริงของสิ่งทั้งหลายยังมีอยู่ การรู้ความจริงของพุทธบริษัทที่ได้ปฏิบัติตามข้อประพฤติปฏิบัตินั้นก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคย่อมเป็นความจริงทุกกาล ทุกสมัย สวัสดีค่ะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 1
    9 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ