สนทนาธรรม ตอนที่ 036


    ตอนที่ ๓๖


    ผู้ฟัง ฟังๆ ว่าทำกุศลมากๆ ยังพลาดได้ หลงนรก ไม่ให้หลงในกุศล

    ท่านอาจารย์ เฉพาะพระอริยะบุคคล ที่จะไม่ไปสู่อบายภูมิ แต่ท่านทั้งหลายก็มาแล้วสู่โลกนี้ซึ่งไม่ใช่อบายภูมิ ก็แสดงว่าเป็นผลของกุศลกรรม แล้วก็เป็นกุศลซึ่ง ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม นี่เป็นโอกาส หรือเป็นขณะที่หายากในชีวิต ถ้าจะพิจารณาดูปีที่แล้วทั้งปี สุขทุกข์หมดแล้วอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเหลือถึงวันนี้ถึงขณะนี้เลย แล้วทุกๆ ขณะของปีนี้ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงปีหน้าก็เห็นชัดว่าไม่มีอะไรเหลือ แต่ถ้าจะพิจารณาจริงๆ ทุกขณะนี้ไม่เหลือ ถ้ามีปัญญาจริงๆ ก็รู้จริงๆ ว่าจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียว ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว และขณะนั้นดับ และขณะต่อไปก็เกิดก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตดำรงอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ความจริงแล้วชั่วขณะที่เห็นไม่มีขณะอื่น ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึก ไม่มีทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายเลย ขณะที่ได้ยินเสียงก็ไม่มีขณะเห็น ไม่มีขณะคิดนึก ไม่มีขณะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ชีวิตจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น แล้วแต่ละขณะที่ดับก็ดับหมดไป เพราะฉะนั้นไม่มีเรา ไม่มีตัวตน แต่นี่เป็นเรื่องของความจริงที่กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญา ต้องรู้จุดหมายแบบเพื่อให้ถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริงอันนี้ ทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็ถึง อย่างภูเขาสูงๆ เนี่ยนะ ถ้าเราขึ้นไปเรายังเห็นมดเลย ตัวเล็กกว่าเราด้วยขาก็สั้นนิดเดียวแล้วไปยังไงขึ้นไปถึงเขาสูงๆ นั้นได้ แล้วเราวันหนึ่ง เดินไปเรื่อยๆ ก็ต้องถึง แต่ว่าถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ถึงจะถึงได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ไม่มีทางถึง และปัญญาจริงๆ ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย ให้ทราบว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเพื่อรู้แล้วละ เพราะเหตุว่าถ้ารู้จริงๆ ที่จะไม่ละไม่มี แต่ต้องรู้ และถ้าไม่รู้จริงๆ แล้วจะไปละก็ไม่ได้ ไม่มีทางเลยเหตุกับผลต้องตรงกัน เพราะฉะนั้นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงสูงสุดคือเพื่อรู้แล้วละ ถ้าขณะใดซึ่งเราไม่รู้ไม่เข้าใจขณะนั้นไม่ชื่อว่าเรากำลังศึกษาคำสอน หรือขณะใดก็ตามซึ่งเราหวังที่จะได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เรียนก็อยากจะได้อะไรก็ตาม ได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง แล้วก็ไม่สามารถจะถึงได้ด้วย เพราะเหตุว่าไม่ได้เป็นไปเพื่อการละ เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดที่ถามทุกคน เรียนเพื่ออะไรศึกษาทำไม ถ้าเพื่ออย่างอื่น และไม่มีทางที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ คำสอนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นในขั้นปริยัติ หรือปฏิบัติต้องตั้งต้นด้วยการละ อย่างวันนี้ที่ทุกคนฟังเนี่ย ละการที่จะไปสนุกสนาน ละการที่จะไปดูโทรทัศน์ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ หรืออ่านหนังสืออะไร เพื่อฟังพระธรรมนี้แสดงว่าเรามีศรัทธา หรือมีกุศลจิต เพื่อความรู้แล้วละโดยที่ว่าแม้เรายังจะไม่เข้าใจ ว่าเรากำลังมีกุศลจิตที่กำลังเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อเป็นทางที่ถูกก็คือว่าละ แล้วก็มีความรู้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพื่ออะไรสักอย่างนอกจากเพื่อรู้จริงๆ เพราะฉะนั้นคำถามว่าได้บุญไหมจะไม่มี แต่เป็นกุศลจิตรึเปล่านี่น่าคิด จิตขณะนี้เป็นกุศลจิตหรือเปล่า น่าคิดกว่าได้บุญไหม

    ผู้ฟัง การฟังพระธรรมเนี่ยก็เพื่อที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจแล้วน้อมนำประพฤติปฏิบัติตาม คำว่าประพฤติปฏิบัติตาม เช่นอาจารย์บอกว่าเราควรจะรู้ว่าขณะนี้จิต การรู้จิต ผมก็คิดว่าเราจะรู้เรื่องคำว่าจิต หรือว่ารู้ลักษณะของจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่าจิตขณะนั้นมีลักษณะอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าจะไม่พูดเรื่องจิตก็พูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แล้วทีนี้ถ้าจะรู้ได้จะรู้ได้ด้วยข้อปฏิบัติอย่างไร เพราะท่านอาจารย์บอกขณะนี้มีจิตทุกคนมีจิต ถ้าไม่รู้จิตขณะนี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจในพระอภิธรรมได้ ขอเรียนถามอาจารย์ว่า การรู้จิตจะรู้จิตโดยชื่อ หรือว่าจะรู้จิตที่มีลักษณะกิจการงานหน้าที่

    ท่านอาจารย์ คือโดยมากพอพูดเรื่องจิตทุกคนก็อยากรู้จักจิตซะแล้ว เหมือนกับพูดถึงใครเราก็อยากจะรู้จักคนนั้น ว่าคนนั้นจริงๆ แล้วรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เพราะฉะนั้นพอพูดเรื่องจิต กำลังมีจิตอยู่ เราก็ไม่รู้ว่าจิตเป็นยังไง เพราะฉะนั้นก็เกิดความอยากที่จะรู้จักจิต แต่ว่าการที่จะรู้จักจิตจริงๆ ได้ ไม่ใช่ตัวเรา ต้องเป็นปัญญา แม้แต่การฟังเรื่องจิตที่กำลังเข้าใจ ไม่ใช่ตัวเรา แต่เพราะเหตุว่าว่าจิตนี้เกิดดับสืบต่อกันเร็ว และเรายังไม่เคยรู้จักจิตเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นทั้งๆ ที่กำลังฟังเรื่องจิตก็เป็นตัวเราที่กำลังเข้าใจเรื่องจิต คือจิตทุกชนิดที่มีเป็นเราทั้งนั้น แม้แต่กำลังเข้าใจในขณะนี้ก็เป็นเราเข้าใจ นี่แสดงว่าทั้งๆ ที่ฟังเรื่องจิต แต่ก็มีความอยากรู้จักจิต แล้วก็ยังคงเป็นตัวเราที่อยากรู้จักจิต ซึ่งความจริงก็เป็นจิต เจตสิก รูป ตลอดชีวิตไม่มีเราเลยสักขณะเดียว แต่ทีนี้ทำยังไงถึงจะรู้ได้จริงๆ ว่าจิตนะเป็นสภาพอย่างนี้นะ เป็นนามธาตุถ้าใช้คำว่าธาตุก็เหมือนกับธาตุทั้งหลายที่เขาเรียนกันทางโลก มีธาตุเยอะแยะ แต่นี่เป็นธาตุวิเศษ หรือพิเศษ คือว่าเป็นนามธาตุที่เป็นสภาพรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นขณะใดต้องเป็นสภาพรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด อันนี้ก็ชักจะยากใช่ไหม เพราะเวลาเรานอนหลับเราก็รู้ว่าเรายังไม่ตายเรารู้ว่าเรามีจิต แต่จิตรู้อะไรในขณะที่นอนหลับก็จะเกิดปัญหาขึ้นว่า เวลาที่จิตหลับมีสิ่งที่จิตกำลังรู้หรือเปล่า ให้ทราบว่าคำจำกัดความในลักษณะของจิตไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าจิตเป็นสภาพรู้ไม่ว่าจะเกิดเมื่อไรขณะไหนที่ใดก็ตามต้องเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ และสิ่งที่ถูกจิตรู้ เราเรียกว่าอารมณ์ หรือ อารัมณ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจหลักนี้จริงๆ ขณะที่กำลังนอนหลับสนิท ก็มีจิต ซึ่งก็ต้องมีอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ด้วย แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ในลักษณะของจิตขณะที่กำลังนอนหลับสนิท แต่ว่าที่เราสามารถจะรู้ลักษณะของจิตได้ ก็เพราะเหตุว่ามีเห็น กำลังเห็นในขณะนี้ เริ่มตั้งแต่ฟังให้เข้าใจก่อนที่จะไปรู้จักตัวสภาพเห็น กำลังมีเห็น ทั้งๆ ที่เห็นก็กำลังเห็นเนี่ยแต่ทำไมช่างยากเย็นเหลือประมาณที่จะรู้ในธาตุเห็น ลักษณะเห็นสภาพเห็นจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าเคยเป็นเราเห็นมานาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่กั้นเราไม่รู้ลักษณะของเห็นก็คือความเป็นตัวเรา ความเป็นตัวตนความไม่รู้ และก็ยึดถือว่าเห็นเป็นเราเห็น เพราะฉะนั้นกว่าจะขัดลอกความที่เคยเป็นเราเห็น จนกระทั่งเป็นสภาพเห็น หรือจิตเห็นไม่ใช่วิธีการที่เรียกว่าทำอย่างไร ไม่มีทางเลย โดยวิธีการว่าทำอย่างไรเนี่ยไม่มี แต่ให้เข้าใจว่าขณะนี้กำลังเห็น และกว่าจะขัดลอกความรู้สึกว่าเป็นเราเห็นออก นี่คือตัวปัญญาซึ่งจะต้องค่อยๆ เจริญขึ้นโดยวิธีนี้ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็เคยกล่าวเสมอว่าทางตาเป็นจิตเห็นไม่ใช่เราเห็น ผมก็สังเกตุได้ว่าถ้าเป็นการเห็นก็แสดงว่าเป็นเรื่องของจิต แต่นี้ว่ามันก็เห็นอยู่ตลอดก็แสดงว่าจิตมันก็อยู่ตลอดเหมือนเขามันเป็นภาพที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เลยสงสัยว่าการที่จะรู้เรื่องจิต หรือว่าจะเห็นจิต จะเห็นได้ในขณะไหนจริงๆ แล้วนี่อาจารย์ก็บอกว่าต้องเป็นเรื่องของปัญญา นี้ถ้าเป็นการเห็นขณะจิตนั่นก็เท่ากับเป็นการรู้ลักษณะของสภาพ นามธรรม หรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาแน่นอน และต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สงสัย หมายความว่ามันเป็นหนทางที่ยากแล้วก็ยังไกลอีกมาก นอกจากจะเป็นการคิดนึกเรื่องการเห็นการได้ยิน แต่ก็เป็นตัวตนเป็นเรากำลังพูดถึงเรื่องราวต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อทรงตรัสรู้แล้วไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรม คิดดูก็แล้วกัน สิ่งที่จะต้องรู้ด้วยคือปกติ ไม่ผิดปกติเลยเห็นเดี๋ยวนี้ได้ยินเดี๋ยวนี้ เพราะชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะเดียว และปัญญาก็ต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วย มีสภาพธรรมปรากฏให้รู้แต่ความเป็นเราที่เคยยึดถือทุกอย่างทั้งนามขันธ์ ทั้งรูปขันธ์ ทั้งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ทุกอย่างหมดว่าเป็นเราทั้งนั้น ก็ทำให้รู้ว่าหนทางที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก็จะต้องผู้นั้นมีสัจจญาณ คือมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าปัญญาไม่ได้รู้อย่างอื่น ยากก็จริงแต่ต้องรู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ แล้วก็เคยไม่รู้มานานเท่าไหร่ เคยยึดถือว่าเป็นเรานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นหนทางที่จะรู้จริงๆ ก็คือว่าหนทางนี้หนทางเดียวที่จะอบรมให้ปัญญาค่อยๆ รู้ขึ้น เป็นปกติอย่างนี้ด้วย

    ผู้ฟัง พูดถึงเรื่องการปฏิบัติ ท่านอาจารย์ก็เคยพูดเสมอว่า มีหนทาง ๒ ทาง ทาง หนึ่งเป็นสัมมา ทางหนึ่งเป็นมิจฉา และเมื่อพูดถึงชื่อ ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือว่าเป็นอันตราย อยากจะขอให้ท่านอาจารย์ได้อธิบายโทษของข้อปฏิบัติที่ไม่ใช่สัมมาว่าจะก่อให้เกิดโทษเกิดทุกข์อย่างไรต่อไปในสังสาระข้างหน้า

    ท่านอาจารย์ โทษก็คือว่าไม่ทำให้ออกจากสังสารวัฎ เรื่องชาติเมื่อเช้าก็มีคนถามต่อว่าแล้วกิริยาจิตไปไหน หรือว่ายังไม่ชัดเจนในเรื่องของกิริยาจิต เพราะว่าเรื่องของเหตุคือกุศล อกุศล และกุศลวิบาก อกุศลวิบาก ก็คงจะไม่ยาก แต่ว่าเรื่องกิริยาจิต ดูเป็นชื่อใหม่ คุณวีระมีความเข้าใจยังไงเรื่องกิริยาจิต เคยตอบมาเมื่อเช้าได้แล้วตอบอีกที

    ผู้ฟัง กิริยาจิตคือ จิตที่ไม่ใช่กุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือว่าวิบากจิตครับ กริยาจิตไม่เป็นเหตุให้เกิดผล กิริยาจิตมีได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระอริยเจ้า หรือว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา เพียงแต่ว่าบุคคลธรรมดาก็จะมีแค่จำนวนจำกัดคือที่ผมได้กราบเรียน ตอบมาเช้านี้ ว่ามี สองดวง นอกจากนั้นก็เป็นกริยาจิตของพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ดีใจไหมคะมีกิริยาจิตด้วย

    ผู้ฟัง กิริยาจิตที่บุคคลธรรมดามีนี่ ก็คงจะเป็นกิริยาจิตปกติ ที่สัตว์เดรัจฉานก็มีด้วย หรือว่าผมก็คงจะเป็นปกติกับกิริยาจิตนี้

    ท่านอาจารย์ ก็เลยไม่น่าดีใจเพราะสัตว์เดรัจฉานก็มีเหมือนกัน (มีครับ) ใครมีข้อสงสัยเรื่องกิริยาจิตไหม ฟังดูก็ดีใช่ไหม ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่ใช่วิบาก คือไม่ใช่เหตุ และไม่ใช่ผล ไม่ใช่ตัวเหตุที่จะให้เกิดผล และไม่ใช่ผลซึ่งเกิดจากเหตุด้วย เพราะฉะนั้นจิตเห็นได้เป็นกิริยาจิตรึเปล่า (จิตเห็น) กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นกิริยาจิตรึเปล่า

    ผู้ฟัง จิตเห็นหมายความถึงว่า

    ท่านอาจารย์ จักขุวิญญาณ

    ผู้ฟัง จักขุวิญญาณจิต จิตเห็นก็คงจะเป็นผล ก็คงจะเป็นวิบากจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นวิบากจิต เพราะฉะนั้นเราจะรู้กรรมของเราในอดีตได้ เวลาที่เห็นสิ่งที่ดีรู้เลยว่าเป็นผลของกุศลกรรม เพราะว่าจักขุวิญญาณเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเราต้องเคยทำกุศลกรรมในอดีตมาแล้ว แต่วันใดที่เราเกิดป่วยไข้ได้เจ็บทางกาย ขณะนั้นเป็นจิตชาติอะไร

    ผู้ฟัง เวลาเราป่วยเจ็บทางกายนั้นก็คงจะเป็นวิบากจิตเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นวันนึงๆ คุณวีระมีจิตกี่ชาติ

    ผู้ฟัง วันนึงก็กิริยาจิตมีแล้ว วิบากจิตก็มี กุศลอกุศลก็มีเกิดอยู่เสมอ มี ๔ ชาติ

    ท่านอาจารย์ มี ๔ ชาติ อะไรสำคัญ สำหรับวันนี้

    ผู้ฟัง วันนี้สำคัญมาก ที่ผมต้องขอกราบขอบพระคุณ คุณหญิงนพรัตน์ที่ได้กรุณาเปิดโอกาสให้กระผมมีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้พิจารณาพระธรรม ก็คือเป็นกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตชาติไหนสำคัญที่สุดในวันนี้

    ผู้ฟัง กุศลจิต

    ท่านอาจารย์ กุศลจิต เพราะเหตุว่าเป็นเหตุที่ดีที่จะให้เกิดผลที่ดีข้างหน้า เพราะฉะนั้นเราอาจจะได้รับกุศลวิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่นั่นเป็นเพียงผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว เมื่อเกิดแล้วก็หมดไปแต่ตัวเหตุใหม่ซึ่งจะให้เกิดผลข้างหน้า เป็นสิ่งซึ่งเราจะรู้ได้จากชีวิตของเราในวันหนึ่งๆ ว่าถ้าเป็นกุศลกรรมก็จะเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบากอีก เริ่มตั้งแต่เกิดดี แล้วก็เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดีตลอดไป แต่ขณะใดที่เป็นผลของอกุศลกรรมเราก็จะเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี ป่วยไข้ได้เจ็บ เพราะฉะนั้นมีเจ้ากรรมนายเวรมีไหม

    ผู้ฟัง เจ้ากรรมนายเวรคืออะไรครับ

    ท่านอาจารย์ นั่นสิมีไหม ที่เค้าพูดกัน

    ผู้ฟัง เจ้ากรรมนายเวรที่เวลาเราอุทิศส่วนกุศลบอกว่าให้เจ้ากรรมนายเวร

    ท่านอาจารย์ ดิฉันไม่ได้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

    ผู้ฟัง ผมเคยได้ยินเขาอุทิศส่วนกุศลกัน

    ท่านอาจารย์ คนที่อุทิศส่วนกุศล เพราะฉะนั้นเราจะมาวิเคราะห์ไง ให้ทราบว่ามีไหมเจ้ากรรมนายเวร จริงๆ แล้วมีรึเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมี ก็คือเจ้ากรรมนายเวรก็คือผู้ที่ ถ้าเผื่อมี คือผู้ที่บันดาล..

    ท่านอาจารย์ ไม่เอาถ้า เอาจริงๆ

    ผู้ฟัง มีหรือเปล่า กุศล อกุศล คงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร

    ท่านอาจารย์ ทำไมเป็นเจ้ากรรมของใครเป็นนายเวรของใคร

    ผู้ฟัง ก็เขาทำให้เกิดวิบากครับ

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตเกิด และดับไปเลย ไม่กลับมาเป็นนายใครอีกต่อไปแล้ว อกุศลจิตเกิดแล้วก็ดับไปเลย แต่มีเชื้อเหตุปัจจัยที่เป็นกัมมปัจจัยสะสมอยู่ในจิตทุกขณะที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ไปไหนทุกอย่างเก็บอยู่ในจิตอย่างปลอดภัยที่สุด ใครจะยื้อแย่งใครจะขอแบ่งใครจะเอาไปยังไงไม่ได้หมด แดดลมไม่ต้อง พายุไม่พัด น้ำไม่ท่วม ไม่มีใครที่จะพังทลายเอากรรม หรือกุศลกรรมอกุศลกรรมที่สะสมไว้ในจิตไปได้ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีตัวตนอะไรเลยที่จะมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร ตกลงมี หรือไม่มี

    ผู้ฟัง ตกลงไม่มีครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีนะ ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน เพราะว่าทุกคนเกิดมาโดยกรรม ไม่ใช่โดยเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรทำให้เราเกิดไม่ได้ ทุกคนกำลังเห็นกรรมเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิด เป็นปัจจัยให้มีสิ่งมากระทบ เป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณเห็นสิ่งที่ดี นี่คือกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นในขณะหนึ่งๆ ที่เราคิดว่าชีวิตของเรา เป็นของเรา ความจริงแล้วก็มีเหตุปัจจัยทำให้สภาพธรรมเกิดชั่วขณะแล้วดับ แล้วก็มีปัจจัยอื่นอีกเยอะที่ทำให้ขณะต่อไปเกิดแล้วดับ สภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเรื่อยๆ กรรมก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งทำให้วิบากจิตเกิด ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรแน่ ไม่ทราบใครจะคิดว่ามี ทุกคนที่นี่ทราบว่าไม่มีเพราะว่าต่างก็มีกรรมเป็นของตน ต่างคนต่างมาต่างคนต่างไปตามกรรม แต่สิ่งที่เป็นสาระก็คือกุศลซึ่งจะทำให้เจริญขึ้นจนกว่าจะรู้สภาพธรรมจนกว่าจะดับกิเลสได้ นอกจากนั้นสิ่งอื่นจะเป็นสาระได้ไหม เพราะว่าทุกอย่างหมดไปทุกขณะ เมื่อกี้หมดเลยที่กำลังรับประทานอาหารกันคุยกันแล้วทุกขณะนี้ก็กำลังหมดไปอีก

    ผู้ฟัง ขอประทานโทษท่านอาจารย์ ขอนิดนึง ถ้าหากว่าเจ้ากรรมจะมีในแง่นี้ได้ไหมคือว่ามีในแง่ว่าเป็นเจ้าของกรรมก็คือแต่ละคนทุกคนก็เป็นเจ้าของกรรมของตัวเองก็เป็นเจ้ากรรมของตัวเองอย่างนี้จะได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ทำไมถึงจะต้องมาเป็นเจ้ากรรมของตัวเอง

    ผู้ฟัง ก็เป็นเจ้าของกรรม คือเจ้าของการกระทำที่ตัวเองทำ

    ท่านอาจารย์ จำเป็นไหมที่จะต้องคิดเป็นบุคคลว่าเป็นเจ้าของกรรม หรือว่าอะไรอย่างนั้น เพราะเหตุว่าโดยมากเวลาที่พูดถึงเจ้ากรรมนายเวรจะคิดถึงคนอื่น ว่าคน นั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เราสุขเราทุกข์ แต่ถ้าเราคิดในพระธรรมที่ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนใช่ไหม ก็ไม่ต้องใช้คำว่าเจ้ากรรมนายเวรของตัว

    ผู้ฟัง เป็นเจ้าของการกระทำ

    ท่านอาจารย์ ไม่อย่างนั้นจะมีสองคน

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าตัวเองเป็นเจ้าของการกระทำของตัวเองก็เลยเป็นเจ้ากรรมของตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่

    ผู้ฟัง ก็คือว่าการกระทำก็ไม่มี บุคคลไม่มีตัวตน

    ท่านอาจารย์ ก็มีการกระทำ และก็มีผลของการกระทำแต่ไม่ต้องมีบุคคลมาเป็นเจ้าของกรรมของตัวเองอีกคนนึง เพราะว่าบางคนเอาอกุศลเป็นตัว บางคนก็เอากุศลเป็นตัว

    ผู้ฟัง คือถ้าพูดในแง่ปรมัตถ์ ก็คือไม่มีสัตว์ บุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่การกระทำใช่ไหม แต่ว่าถ้าจะพูดในแง่ของภาษาโวหารทางโลกที่ยังมีบุคคลตัวตนนี้ก็ยังมีบุคคลที่กระทำกรรมก็เป็นเจ้าของกรรมของตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ตามพระพุทธพจน์ไม่มีคำว่าแต่ละคนเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยพุทธพจน์เป็นเครื่องชี้มากกว่าที่เราจะเป็นใช้คำอื่นที่ทำให้เข้าใจผิด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ทุกคนทราบว่า ไม่ช้าไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไปคือตายทุกๆ คน ทีนี้ว่าก่อนจะตายก็ได้มีการพูดเชิญชวน หรือว่ามีการให้มีการทำกุศลทุกประการแล้วแต่โอกาส แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายท่านมีความคิดวิตกเป็นห่วงบ้างในเรื่องที่ว่า ถ้าสมมติว่าตายไป เกิดใกล้จะตายเนี่ยไปคิดไปนึกในสิ่งที่มันเป็นความเศร้าหมองขึ้นมา แล้วกุศลผลบุญที่ทำมาตั้งเยอะแยะแล้ว มันก็ไม่มีโอกาสจะช่วยเหลืออะไรเราได้เลยจะมีคำให้เป็นกำลังใจอย่างไรบ้างไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นพระอริยบุคคลบุคคลถึงจะพ้นจากอบายภูมิได้

    ผู้ฟัง อันนี้ก็ทราบเพราะท่านอาจารย์ ก็พูดอยู่เสมอว่าผู้ที่เป็นพระอริยะบุคคลแล้วหมายความว่าปิดประตูอบายภูมิ เวลานี้เรายังไม่ถึง กลัวอบายภูมิ

    ท่านอาจารย์ ก็เจริญกุศลเจริญ

    ผู้ฟัง เจริญกุศลเท่าที่สามารถจะทำได้ทุกอย่าง แต่มันก็ยังมีความไม่มั่นใจ

    ท่านอาจารย์ มั่นใจไม่ได้ มั่นใจได้ยังไง ตราบใดที่อกุศลกรรมยังมีอยู่ที่จะให้ผลได้ และจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่ให้ผล

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าผมจะมีความคิดว่า เพื่อไม่ให้จิตเราเศร้าหมอง ก่อนที่จะถึงวาระนั้นจริงๆ ก็หมั่นคิดหมั่นนึกถึงในเรื่องกุศลผลบุญ แทนที่จะเป็นนึกหมั่นไส้นึกเกลียดนึกช่างนึกอะไรต่างๆ เปลี่ยนมาเป็นการนึกสิ่งที่

    ท่านอาจารย์ คุณสุกลทำได้ตั้งแต่ขณะนี้ ไม่ต้องรอไปถึงใกล้จะตาย ถ้าทำได้ทำเลยตั้งแต่ในขณะนี้ แต่เพราะเหตุว่าทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้ว่าแล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือเราอบรมเจริญปัญญา ถ้าปัญญาไม่มีก็ถึงความเป็นพระอริยะบุคคลไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่มีก็ค่อยมีไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล คนอื่นรับประกันไม่ได้ ให้ความมั่นใจไม่ได้

    ผู้ฟัง ไกลแสนไกล ทราบว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ก็ชาตินี้ยังมาโลกนี้ได้จะห่วงอะไร ปัญญาของชาตินี้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่แล้ว ปัญญาชาติก่อนของคุณสุกลกับปัญญาชาตินี้ของคุณสุกล ปัญญาชาตินี้มากกว่าชาติก่อนอีก แล้วก็ปัญญาชาติก่อนซึ่งน้อยก็ยังพาให้มาเกิดในโลกนี้ได้คิดดูสิ

    ผู้ฟัง อาจารย์พูดอย่างนี้แสดงมาผมเบาใจได้เยอะ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ได้รับประกัน ตกลงทุกคนมั่นใจว่าทุกคนมีจิต ๔ ชาติ กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 10
    10 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ