ปกิณณกธรรม ตอนที่ 433


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๓๓

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    พ.ศ. ๒๕๔๗


    ท่านอาจารย์ ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกต้องในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง ซึ่งเราศึกษาเรื่องจิต ก็ทราบว่าจิต มีหลายประเภท เช่นขณะนี้ มี จิตเห็น แล้วก็มี จิตได้ยิน ต่างขณะไกลกันมาก แล้วก็ทะเลชื่ออยู่ตรงไหน ทะเลภาพอยู่ตรงไหน เพราะเหตุว่าแม้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา อันนี้แน่นอน แต่ว่าเราไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตา เราจำสิ่งที่เราเคยชิน เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นบุคคลต่างๆ เช่นในขณะนี้ เหมือนกับว่า มีบุคคลจริง อยู่ในสิ่งที่ปรากฏทางตา อันนี้จริงไหม ขณะนี้เหมือนกับว่ามีคนจริงๆ มีโต๊ะมีเก้าอี้ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ เป็นธาตุชนิดหนึ่งแน่นอน ที่ว่ามีจริง เพราะเหตุว่าสามารถกระทบกับจักขุปสาทได้ แล้วดับ เร็วมาก เพราะฉะนั้น จะเป็นคนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย แต่เนื่องจากการเห็นดับไปแล้วก็จริง แต่การเกิดดับสืบต่อของจิต เร็วมาก จนกระทั่งเหมือนกับว่า ขณะนี้การเห็นไม่ได้ดับเลย ทำให้ความจำในรูปร่างสัณฐาน มีความสำคัญว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยสมมติเทศนา มีพระเจ้าพิมพิสาร มีพระเจ้าปเสนทิโกศล มีทุกอย่างแต่โดยปรมัตถเทศนา ทรงแสดงละเอียด เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ปรมัตถธรรม ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าแม้ในขณะนี้ ซึ่งก่อนจะได้ฟังพระธรรม มีการเห็น แต่ไม่ได้ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เข้าใจว่า มีคน มีสัตว์ มีวัตถุ สิ่งต่างๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ความรู้ของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว กับความรู้ของผู้ที่ไม่ได้ฟัง ธรรม หรือว่าเพิ่งเริ่มที่จะฟัง ธรรม ห่างไกลกันแค่ไหน เพราะฉะนั้น การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระอริยบุคคล ต้องสามารถรู้ความจริงของ สิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งหมดความสงสัย ในสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่า รู้จริงในลักษณะของสภาพธรรม ขณะนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ทะเลภาพ เวลานี้ มีไหม แน่นอน ทั้งวันหรือเปล่า ทะเลภาพ พอเห็นก็ทะเลภาพ พอได้ยินก็ทะเลชื่อ เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในทะเลภาพ ทะเลชื่อ ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าเราไม่รู้ว่าขณะนั้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ซึ่งเกิดดับ นามธรรมเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป รูปธรรมก็เป็นสภาพธรรม ที่ปรากฏให้รู้ แต่ไม่ใช่สภาพรู้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริง เป็นอย่างนี้ นี่คืออริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะต้องอบรมทีละเล็ก ทีละน้อย จนกว่าจะสามารถเข้าใจขึ้น ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ในขณะนี้กำลังเป็นทะเลภาพ อันนี้แน่นอน แล้วก็เวลาที่ เราได้ยินว่าลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ทางตา พูดถึงลักษณะ ไม่ได้พูดถึงคน หรือความคิดของเราจาก สิ่งที่ปรากฏ แต่ลักษณะของสิ่งนี้จริงๆ ก็คือ สามารถปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท ถ้าเราได้ยินคำนี้แล้ว ก็รู้จักตัวเองว่า อีกเมื่อไร เราจะรู้จริง ว่าขณะนี้ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็น อย่างนี้ แล้วลักษณะของเสียงที่ปรากฏ ทางหู ก็เป็นอย่างนี้ แต่ว่าเรา เคยมีความจำในเรื่องราวทั้งทางตา ทางหู มากมาย เพราะฉะนั้น กว่าที่เราจะมีการเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างจริงๆ ก็ต้องอาศัยการอบรมซึ่งจะนานมากน้อยเท่าไร ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ นอกจากผู้นั้นจะมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เช่น ในขณะนี้กำลังฟัง เรื่องสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ค่อยๆ เข้าใจลักษณะนี้จริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ นี่เริ่มต้นคือ ค่อยๆ เข้าใจว่าขณะนี้ ทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าลักษณะที่แข็งปรากฏ ขณะนั้นก็คือ ไม่มีอะไรในแข็งเลย แล้วก็ที่ว่าเป็นเราก็คือว่า ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีลักษณะที่แข็งปรากฏ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ว่าจริงๆ แล้ว ลักษณะที่แข็งก็ไม่ใช่ เรา เพราะฉะนั้น ถ้าลักษณะที่แข็งปรากฏจริงๆ ไม่มีสิ่งอื่นเจอปนเลย ก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ ความจริงว่าเป็นแต่เพียงลักษณะของธรรม จริงๆ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าสามารถจะรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมเพิ่มขึ้น ก็ย่อมจะสามารถที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ก็เป็นหนทางที่ไกล เหมือนที่พระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญ พระบารมี สี่อสงไขยแสนกัป สำหรับพระองค์ที่ยิ่งด้วยพระปัญญา แต่ว่าเราไม่เทียบ หมายความว่า เราจะเคยได้ยินได้ฟังธรรมมานานมากน้อยเท่าไร แต่ปัญญาที่จะรู้ความจริง ก็ไม่พ้นจากการรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ดับไปแล้ว หรือว่าสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ทะเลภาพ ทะเลชื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจลักษณะของสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ก็เข้าใจได้ ขณะนั้นเป็นเกาะ มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ตนขณะนั้นก็ต้องเป็นสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละลักษณะ จะเป็นหนทางที่ทำให้คลายการยึดถือสภาพธรรม นั้นว่าเป็นเรา และสภาพธรรมที่จะปรากฏได้ ไม่ว่าชาติไหน ก็ไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า แล้วก็จะรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ตรงนี้ จะเข้าไปรู้จริงๆ ได้อย่างไร และเมื่อไรถึงจะเรียกว่ารู้จริง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา แต่ เป็นปัญญาพร้อมสติ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นที่จะรู้ ก็คือว่า ความต่างกันของขณะที่หลงลืมสติ กับขณะที่สติเกิด ไม่ใช่เป็นเราจะเจริญสติ หรือเราจะทำสติ แต่จะรู้ความต่างกันว่า ธรรมดาๆ เราก็กระทบแข็ง เมื่อกี้นี้คงกระทบมาก เดี๋ยวนี้ก็กำลังกระทบด้วย แต่ว่าการกระทบที่มีสติ หรือหลงลืมสติ นี่ต่างกัน เพราะเหตุว่า ถ้ากระทบแล้วก็ผ่านไปเลย เป็นเรื่องราว เป็นทะเลภาพไป เป็นทะเลชื่อไป ขณะนั้นก็คือ ปราศจากสติสัมปชัญญะ แต่ว่าลักษณะแข็งไม่เปลี่ยน เวลาที่กายวิญญาณรู้ลักษณะที่แข็ง แข็งอย่างไรก็อย่างนั้น แต่ว่ามีการรู้ตรงลักษณะที่แข็ง แค่นิดเดียว คือปกติเราจะผ่านแข็งไป แต่ขณะที่ไม่ได้ผ่าน แต่กำลังมีลักษณะนั้นปรากฏ ซึ่งถ้าไม่มีการฟังมาก่อน จะไม่มีการรู้ตรงลักษณะนั้นเลย เพราะฉะนั้น แม้ลักษณะนั้นปรากฏ แล้ว จริงๆ คือว่าขณะนั้น ไม่มีสภาพธรรมอื่นเจอปนเลย โลกไม่มี อะไรไม่มี เราก็ไม่มี อิริยาบถก็ไม่มี จะมีแต่ธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้แข็ง เพราะฉะนั้น ความจริงจากการฟัง เป็นอย่างนี้ฉันใด เมื่อประจักษ์แจ้งความจริง ก็ต้องอย่างนั้น นี่คือการที่จะละความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าได้ประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กรุณากล่าวว่า สภาพแข็งที่จะปรากฏได้ก็เหมือนกับว่าจะต้องมีจิตที่รู้แข็ง นั้น ก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า แล้วลักษณะทั้ง ๒ อย่างเราจะอบรมอย่างไรที่ จะรู้ว่าขณะนี้ อะไรมันปรากฏ เพราะมันเหมือน กับว่ามันพร้อมกัน อะไรทำนองนี้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่พร้อม คือขณะที่กำลังมีแข็งปรากฏ เวลานี้ทุกคนรู้ได้ ใช่ไหม แล้วลักษณะของแข็ง กำลังรู้ลักษณะนั้น คือสติที่รู้ต่อจากสภาพที่รู้แข็ง มิฉะนั้นเราจะไม่ได้รับประโยชน์จากการศึกษาปรมัตถเลย ว่าหลังจากที่กายวิญญาณ รู้แข็ง แล้วก็ทางกายทวารวิถีจิต ดับไปแล้ว ภวังค์คั่นแล้วก็จริง แต่มโนทวารวิถี รู้ต่อ แต่ รู้ต่อ ด้วยการคิดถึง เป็นทะเลชื่อ ทะเลภาพ หรือว่ารู้ต่อ โดยสติรู้ลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น ลักษณะนั้นไม่ได้เปลี่ยน ปกติ ธรรมดาเหมือนเดิม เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดก็เพียงว่ารู้ตรงที่ปรากฏ แล้วก็รู้ว่าขณะนั้น เป็นสภาพที่กำลังรู้ ตรงนั้น และปัญญาจะเจริญ ก็เจริญตรงนั้น เพราะว่าจะประจักษ์การที่ว่าขณะนั้นไม่มีอย่างอื่นเลย นอกจากสภาพธรรมที่ปรากฏ ความเป็นเราก็จะค่อยๆ ลดลง

    ผู้ฟัง การที่ว่าจะไปรู้ลักษณะ หรือสติ จะเกิดจริงๆ มันจะต้องเป็นในขั้นลักษณะของรู้ภาพ รู้ชื่อไปก่อนหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ธรรมดาขณะนี้ เป็นอย่างไร เราก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่ไปเปลี่ยน พยายามให้มีสติ ฟังแล้วเราก็พยายาม อย่างนั้นไม่ใช่ แล้วแต่ว่าขณะที่กำลังฟังนี้เอง มีปัจจัยที่ทำให้ค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ทีละเล็ก ทีละน้อยมาก เพราะว่าเราเคยไม่รู้มานาน อยู่ในทะเลของอวิชชา แล้วก็ไม่มีเกาะ เพราะสติปัฏฐาน ก็ไม่เกิด จะทำให้เราพ้นจากห้วงน้ำของอวิชชาได้อย่างไร แต่เวลาที่มีความเข้าใจแล้ว ว่า กี่ภพกี่ชาติที่ผ่านมา รวมถึงปัจจุบันชาตินี้ด้วย ตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้เราขวนขวาย แสวงหา ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้ หรือความสำเร็จในกิจการงาน หรืออะไรก็ตามแต่ เพียงเพื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏนิดเดียว แล้วก็ดับ เพียงเพื่อได้ยินเสียงเหมือนอย่างนี้ แล้วก็ดับ เพียงเพื่อได้กลิ่น เพียงเพื่อลิ้มรส เพียงเพื่อรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย

    เพราะว่าตามความเป็นจริง ก่อนเกิดมาเป็นคนนี้ มีเราหรือเปล่า ตั้งแต่วันแรก แล้วค่อยๆ โต จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ มีไหม ก่อนเกิดเป็นบุคคลนี้ไม่มี แต่เมื่อเกิดแล้ว เริ่มมีเราตั้งแต่วันแรก มีเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ทั้งสุข ทั้งทุกข์ที่ผ่านมา ทำให้มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าจะจากโลกนี้ไป เราก็จะเสียดาย สิ่งที่มีในชาตินี้ แต่ตามความเป็นจริงถ้าคิดให้ลึกซึ้งจริง ถึงแม้ว่าเราจะจากไป จะโดยการที่ก่อนจะสิ้นชีวิต หรือในขณะที่สิ้นชีวิตก็ตาม ก็เหมือนตอนที่เรายังไม่ได้เกิดมาในโลกนี้ นี่แหละ คือไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย ใช่ไหม แล้วเราเสียดายอะไร คือกลับไปไม่มีอะไรเหมือนเดิม ทุกชาติเป็นอย่างนี้ คือไม่มีอะไรเหลือ นอกจากสภาพธรรมที่เกิดดับ ตามเหตุตามปัจจัย ด้วยความไม่รู้จึงทำให้ยึดถือว่ามีเรา เพราะฉะนั้น จึงมีอัตตสัญญา สัญญาความจำว่าเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วก็คือเป็นแต่เพียงความจำเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์บรรยายมาก็กล่าวถึงโลกทั้ง ๖ ก็มีทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ แต่พูดอย่างนี้ รู้สึกคนทั่วไปเชื่อยากจริงๆ แล้วก็เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดามาก ทำไมจะต้องมาบอกว่า ตาแล้วก็เห็น ตาเห็น ก็เหมือนกับว่าเป็นปกติอยู่ แต่จริงๆ แล้ว รู้สึกว่าจะมีการเข้าใจผิดกัน ใช่ไหม ที่บอกว่าตาเห็น

    ท่านอาจารย์ เป็นการพูดโดยย่อ แต่จริงๆ แล้วก็ต้องเป็นสภาพของธรรม ที่เป็นนามธรรมที่เห็น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์จะกรุณากล่าวถึง ความต่างกันระหว่าง รูปกับนาม ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่คงจะต้อง ฟังแล้วฟังอีก แล้วก็ให้ทราบเพียงสั้นๆ ว่า สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่รู้ แข็ง หวาน เค็ม พวกนี้ไม่ใช่สภาพรู้ ส่วนสภาพรู้ เช่น คิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ เห็นได้ยิน ต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นสภาพที่มีจริง ซึ่งต่างกับสภาพที่หวาน เค็ม เปรี้ยว พวกนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เป็นสภาพธรรม ที่ต่างกัน

    ผู้ฟัง รู้อย่างนี้มีประโยชน์ อะไร

    ท่านอาจารย์ โดยมากจะถามว่าประโยชน์ อยู่ที่ไหน ถ้ารู้อย่างนี้ เราอยากได้อะไร ถามหน่อย รู้อย่างนี้มีประโยชน์อะไร แต่ว่า เราอยากได้อะไร ก็แค่นี้ เหมือนกับที่ว่า รู้อย่างนี้แล้วมีประโยชน์อะไร เพราะว่า เราก็อยากได้อย่างนี้แหละ คืออยากเห็น เพราะฉะนั้น รู้ความจริง ของเห็น มีประโยชน์ ไหม เพราะว่าเราอยากได้เห็น โดยไม่รู้ว่าเห็น เกิดแล้วก็ดับ ไม่ใช่เรา แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ ว่างเปล่า หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย กำลังได้ยินเสียง ก่อนที่เสียงจะปรากฏ ก็ไม่มีเสียงปรากฏ แล้วก็มีเสียงปรากฏ แล้วเสียงก็หมดไป รู้อย่างนี้จะได้ประโยชน์อะไร คือถ้าไม่รู้อย่างนี้ เราก็แสวงหาเสียง ติดในเสียงเป็นทุกข์เพราะเสียง เพราะฉะนั้น ทั้งหมดของเรา คงจะไม่ทราบว่า ความทุกข์มาจากอะไร เราคิดว่าเราเพลิดเพลินมาก แสวงหารูปสวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อย การกระทบสัมผัสที่พอใจ แต่ว่าจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งติดพอใจขวนขวายมากเท่าไร ก็เป็นทุกข์มากเท่านั้น ถ้าเราไม่ติดข้อง ก็สบายเป็นลำดับขั้นไป จนกว่าจะละความไม่รู้ ว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นกี่โลก ก็จะไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็น นามธรรมกับรูปธรรม โดยเฉพาะในภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีทั้งตา ทั้งหู ทั้งจมูก ทั้งลิ้น ทั้งกาย ทุกวัน ติดทุกวัน อยากได้ทุกวัน ต้องการทุกวัน โดยที่ว่า ถ้าเมื่อไรไม่ได้ หรือว่าเปลี่ยนจากสภาพที่ต้องการ ก็เป็นความทุกข์

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้เหตุของความทุกข์ ว่าแท้ที่จริง แล้วทุกข์เกิดจากอะไร และยิ่งกว่านั้น ทุกข์เกิดเพราะการเกิด ถ้าไม่มีการเกิด ทุกข์ใดๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องมีการขวนขวาย ติดข้อง แสวงหา สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้น คำตอบว่า รู้อย่างนี้ แล้วได้ประโยชน์อะไร ได้ประโยชน์ คือ รู้ว่าสิ่งที่เราพอใจนักหนา ไม่เที่ยงเลย แค่ปรากฏแล้วก็หมดไป ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังปรากฏแน่นอน แต่ไม่ได้รู้ความจริงเลย กลายเป็นเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ไม่ได้น้อมมาถึงความจริง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น กว่าเราฟังธรรม แล้วก็จะน้อมมาค่อยๆ เริ่มเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าขณะนั้น รู้ความจริงว่า แม้ขณะนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เราก็จะไม่ติดข้องในนิมิต อนุพยัญชนะ ในส่วนละเอียด เพราะว่าเพียงแค่ขณะที่กำลังรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นจะไม่ได้ สนใจในรูปร่างสัณฐานทั้งส่วนละเอียดด้วย วันก่อนนั้นก็สนทนากันเรื่อง ความฝัน ว่าฝันคืออะไร ใครฝันบ้าง เมื่อคืนนี้

    ผู้ฟัง เมื่อคืนนี้ฝันเห็นคุณแก้วตา เพราะว่าคลุกคลีกันแบบยื่นของให้ อะไรกันอย่างนี้ จำไม่ได้ว่าทำอะไรกันบ้าง จำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อคืนฝันเห็นคุณแก้วตา ไม่ได้ฝันว่ารู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ความจริงคืออย่างนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่คุณแก้วตา แต่ว่าไม่รู้ความจริง แทนที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดกระทบจักขุปสาทแล้วดับ เท่านั้นเอง บ่อยๆ จนกระทั่งมีความทรงจำว่าเป็นคุณแก้วตา เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ทุกครั้งที่บอกว่าเห็นอะไร เราก็จะตอบว่าเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุต่างๆ ด้วยเหตุนี้ในฝันไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย แต่มีสิ่งที่เราทรงจำจากสิ่งที่ เคยปรากฏทางตา เป็นคุณแก้วตา ใช่ไหม เพราะบอกว่าฝันเห็นคุณแก้วตา ไม่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย แต่เห็น สิ่งที่เราเอาออกมาจากสิ่งที่ปรากฏ เพราะขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏจริง เหมือนกับรูปภาพภูเขา ก็แค่ผ้าใบกับสีต่างๆ แล้วอย่างไรเป็นภูเขา ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่ามีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีรูปร่างสัณฐานที่สัญญา จำทันที แล้วก็นึกถึงสิ่งนั้นทันทีว่า นี่เป็นภูเขา นั่นเป็นต้นไม้ นี่เป็นแม่น้ำ นี่เป็นเรือ กำลังอยู่ในแม่น้ำ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะเหตุว่า เราเอาเรื่องราว ที่เราจำจากสิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ แล้วฝัน ฝันถึงเรื่องราวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จะฝันหรือไม่ฝัน เหมือนกัน คือขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้ฝัน แต่เอาเรื่องราวออกมา จากสิ่งที่ปรากฏ เป็นคนนี้คนนั้น กำลังทำอย่างนั้น ส่งของให้กัน พอถึงเวลาฝันก็ มีคนนั้นกำลังส่งของให้กัน โดยที่ว่าไม่เข้าใจถึงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ขณะที่ฝันก็จะไม่มี มันเป็นเรื่องราวหมด

    ท่านอาจารย์ ฝัน เห็น

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้ปรากฏจริงๆ อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เห็น เพราะจำ

    ผู้ฟัง จำ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่เป็นคุณแก้วตา ก็ต้องเป็นคนอื่น แต่นี่ เมื่อในฝันเป็นคุณแก้วตาแสดงว่าจำลักษณะที่รู้ว่าขณะนั้นเป็นคุณแก้วตา

    ผู้ฟัง ขณะนั้น มีอะไร เป็นปรมัตถธรรม

    ท่านอาจารย์ จิตคิด

    ผู้ฟัง เท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าจิตไม่คิด จะไม่มีอะไรเลย เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับแล้ว เสียงที่ปรากฏทางหูก็ดับแล้ว ก็ไม่มีอะไร แต่ที่มีทั้งภาพ มีทั้งชื่อ มีทั้งเรื่องก็เพราะ จิต คิด เพราะฉะนั้น เราก็คงจะไม่ลืมว่า เราอยู่ในโลกของความคิด จากสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งดับอย่างรวดเร็ว ไม่เหลืออะไรเลย นอกจาก นิมิต เครื่องหมายของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งความจริง สิ่งที่ปรากฏ เกิดดับหมดเลย มีเฉพาะเครื่องหมายที่ทำให้ทรงจำ ว่าเป็นคนเป็นสัตว์ เพราะฉะนั้น คำว่านิ-มิต-ตะ อย่างที่เราใชัคำว่า ฝัน ว่านิมิต แต่ว่าแม้ไม่ฝัน ก็เหมือนกัน เพราะเหตุว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ จริงๆ ที่เป็นสภาวธรรม อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา มีอายุแค่จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เร็วแค่ไหน ระหว่างจิตเห็น กับจิตได้ยิน ก็เกิน ๑๗ ขณะไปแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งทีกำลังปรากฏ ทางตาขณะนี้ เกิดแล้วดับแล้ว ทั้งหมด เหลือแต่นิมิต เป็นเครื่องหมายให้จำได้ ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เหมือนในฝัน คือจำเอาเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามต่อไป เพราะว่าฟังจากที่สนทนากันก็กล่าวบอกว่า บัญญัติ เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานไม่ได้ ก็คงจะไม่ได้จริงๆ เพราะว่า ขณะแค่ในฝัน ก็บัญญัติก็ยังเป็นอารมณ์ไม่ได้อยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ บัญญัติ เป็นอารมณ์ของจิตคิด

    ผู้ฟัง เป็นอารมณ์ของจิตคิด แต่ไม่ได้เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน ที่จะระลึกเรื่องของเรื่องราวนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า การอบรมเจริญปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน จะรู้ความจริง ของลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ ถ้าสิ่งที่ไม่เกิด จะดับได้อย่างไร และจะไปปรากฏว่าเป็นสิ่งนั้น ที่เกิดดับ ไม่ใช่ตัวตนได้อย่างไร เพราะว่าสิ่งนั้นไม่มี

    ผู้ฟัง เรื่องการสะสม ว่าจะสะสมอย่างไร เพราะบางท่านบอกว่าสะสมพวงกุญแจ ก็สะสมมาได้ ใส่อะไรเป็นบุ้งกี้ แต่ว่า ถ้าเกิดจะสะสม ที่บอกว่าจิตสะสม แล้วจะสะสมอย่างไร อยู่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ คุณบง จำอะไรได้บ้าง เวลานี้ก็จำอยู่แล้ว รู้ไหม ว่านี่ใคร

    ผู้ฟัง คุณน้ำ

    ท่านอาจารย์ สะสมมาหรือเปล่าที่จะจำได้

    ผู้ฟัง ใช่ แต่ตรงที่ ที่อยู่ของการสะสม

    ท่านอาจารย์ เราคิดถึงที่อยู่ เหมือนเป็น รูปธรรม นามธรรมไม่มีที่อยู่เลย เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่มีนามธรรมใดๆ เจือปนเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถที่จะเข้าถึง ความเป็นอินทรีย์ของจิต คือ มนินทรีย์ เราจะรู้ได้ว่าไม่มีขอบเขต เดิมทีเดียวเราเหมือนกับอยู่ในโลก มีของเขต ขณะนี้ เราคิดว่าจิต อยู่ที่ตัว เพราะว่าจิต ต้องเกิดที่รูป แต่ว่าการที่จะรู้ว่าเป็นนามธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่ไปรู้ว่าจิตอยู่ที่รูป หรือเกิดที่รูป แต่ต้องรู้ลักษณะซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้น เวลาที่สภาพรู้ หรือธาตุรู้กำลังรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะมีขอบเขตไหม ในเมื่อไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย ลักษณะของรูปจึงปรากฏว่า ต่างกับลักษณะของนาม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องขอบเขต แสดงว่า ถ้ารูป จะมีขอบเขต หรืออย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 100
    23 มี.ค. 2567