ปกิณณกธรรม ตอนที่ 524


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๒๔

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๔๓


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังที่เข้าใจ สติขั้นทานเกิดได้ สติขั้นศีลเกิดได้ สติขั้นจิตสงบเกิดได้ แต่สติขั้นที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยการฟังเข้าใจจริงๆ เมื่อสติระลึก จึงรู้ได้ว่าสติเป็น อนัตตา ไม่ใช่เราจะทำ หรือจะทำอย่างไร แล้วเมื่อระลึกแล้ว ยังจะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตามลำดับขั้น ไม่ใช่ขั้นที่เราสงสัยว่า เป็นทิฏฐิคตสัมปยุต หรือเป็นทิฏฐิคตวิปปยุต แล้วจะรู้ได้อย่างไร นี่โดยชื่อ กับโดยเรื่อง แต่ว่าลักษณะของทิฏฐิคตสัมปยุต กับ ทิฏฐิคตวิปปยุต ยังไม่ได้ปรากฏ ทั้งๆ ที่มี เป็นปกติ แต่ว่า อวิชชาปกปิด มองไม่เห็นเลย ว่าเป็นธรรมประเภทต่างๆ เพราะว่าดับเร็วมาก แล้วจะรู้ได้อย่างไร กำลังเรียนเพียงเรื่องของสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น เพราะสติระลึก จึงสามารถที่จะรู้ แต่ต้องรู้ตามลำดับ ขั้นแรก คือรู้ลักษณะที่ต่างกัน ของนามธรรม และรูปธรรมก่อน ไม่อย่างนั้นไม่มีหนทางที่จะไปรู้ลักษณะที่ต่างของโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุต กับทิฏฐิคตวิปปยุต

    แม้ว่าสติปัฏฐานจะระลึก แล้วปัญญายังไม่รู้ แต่เข้าใจได้ไหมว่าสภาพธรรม มี ๒ อย่างที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ก็มีความเข้าใจขั้นฟังก่อนจริงๆ ไม่ใช่เราจะทำ เป็นปัจจัยให้สติระลึก เพราะเข้าใจ แล้วเข้าใจนั้นก็รู้ว่าเข้าใจเรื่องราว แต่ว่าลักษณะจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เข้าใจ เป็นเครื่องพิสูจน์เลย ลักษณะจริงๆ เดี๋ยวนี้ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ขณะใดที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะมีสภาพรู้ แค่นี้ฟัง แล้วก็จนกว่าสติจะระลึก จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าธาตุรู้จริงๆ ซึ่งเป็นสภาพรู้เท่านั้นอย่างเดียว ไม่จำ ไม่รู้สึก ไม่อะไรทั้งหมด เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้สิ่งที่ปรากฏ นั่นเป็นลักษณะของจิต เพราะฉะนั้น ก็ต้องอบรมปัญญาเป็นขั้นๆ ขั้นแรก แม้ว่าเราจะพูดว่า เจตสิกเป็นนามธรรม จิตเป็นนามธรรม สัญญาเป็นความจำเป็นนามธรรม ผัสสะเป็นนามธรรม เวทนาเป็นนามธรรม ทุกอย่างเป็นชื่อหมด จนกว่าจะรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมก่อน

    ผู้ฟัง การมีสติเกิดขึ้น กับการคิดนึก ต่างกันหรือ

    ท่านอาจารย์ สติเจตสิกเป็นสภาพธรรม ที่เป็นฝ่ายกุศล หรือโสภณ จะไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย วันหนึ่งๆ ที่เราคิด ขณะที่คิดเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เราเกือบไม่ทราบเลยใช่ไหม เพราะสติปัฏฐาน ไม่เกิด หรือว่าไม่มีการพิจารณา สภาพจิตในขณะนั้น ก็ไม่ทราบว่าที่คิดเป็นกุศล หรืออกุศล เพราะฉะนั้น เวลาที่คิดด้วยกุศลจิต ขณะนั้นสติระลึก จึงเป็นกุศล หรือเป็นโสภณ ไม่ใช่เป็นฝ่ายอกุศล

    ผู้ฟัง พระหรหมที่อาจารย์บอกว่า เป็นพระอริยบุคคลก็มี เป็นปุถุชนก็มี เป็นอย่างไร ปุถุชน

    ท่านอาจารย์ ปุถุชน คือ ผู้ที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมยังไม่ได้ดับกิเลส เป็น สมุจเฉท

    ผู้ฟัง แต่อาจารย์บอก พรหม พรหมที่เป็น

    ท่านอาจารย์ พรหม เป็นใคร

    ผู้ฟัง อาจจะเป็นอรูปพรหม หรือ ไม่ใช่หรือ

    ท่านอาจารย์ พรหม คือ รูปพรหม อรูปพรหมบุคคล

    ผู้ฟัง เป็นปุถุชน

    ท่านอาจารย์ ทำไมจะเป็นไม่ได้ มนุษย์เป็นผลของกุศลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ระดับขั้นกามาวจรภูมิ เป็นกุศลได้ไหม เป็นอกุศลได้ไหม เทวดามีอกุศลจิตไหม พรหมมีอกุศลจิตไหม อรูปพรหมมีอกุศลจิตไหม ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง การให้ที่ดินแก่สำนักปฏิบัติ ที่ปฏิบัติผิด ไม่ใช่กุศล ถ้าคนนั้นเขาเกิดไม่ทราบว่าสำนักนั้นปฏิบัติผิด เขาก็มีจิตเป็นกุศล อย่างนี้ไม่เป็นกุศล หรือ

    ท่านอาจารย์ ให้เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง สมมติว่าเขาให้เพื่อขยาย ที่ดิน

    ท่านอาจารย์ เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพราะเขาคิดว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูก

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คิดว่าสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก ขณะนั้นเป็นกุศล หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เขาไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ความไม่ทราบเป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล

    ผู้ฟัง เขาคิดว่าเขาทราบว่า ดี เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าคนนั้นมีความเห็นถูก ขณะนั้นจะเห็นผิดไม่ได้ แต่คนที่กำลังมีความเห็นผิด เขาไม่สามารถจะรู้ว่าเขากำลังเห็นผิด เขาจึงติดข้องในความเห็นผิดอยู่

    ผู้ฟัง การทำกุศล ตอนนี้ก็เลย ถือว่าไม่ได้กุศล ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ถือ เพื่ออะไร ต้องถามว่าเพื่ออะไร การให้ ให้เพื่ออะไร จุดประสงค์ของการให้เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อช่วยส่งเสริม

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นจะถูกได้ไหม ถ้าเพื่อส่งเสริม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ขอบคุณ

    ผู้ฟัง อยากจะทราบว่าเราตั้งใจจะปฏิบัติทางธรรม ทำไมจึงมีอุปสรรคแบบนี้

    ท่านอาจารย์ เคยมีกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต หรือไม่เคยเลย

    ผู้ฟัง กรรมในอดีตหรือ

    ท่านอาจารย์ เคยมีกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ลองพิจารณาว่า ชาติก่อนกับขาตินี้ ต่างกันหรือเหมือนกัน ชาตินี้ทำกรรม มีกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ชาติก่อนก็จะเป็นอย่างนี้ คือมีกรรมที่เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หรือว่าชาติก่อนจะมีแต่กุศลกรรม ชาติก่อนๆ นั้นก็มีแต่กุศลกรรม ไม่เคยมีอกุศลกรรมเลย เมื่ออกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุมี ก็จะเป็นปัจจัยให้วิบากซึ่งเป็นผล จะเกิดขึ้นเมื่อไร ตามควรแก่กรรมนั้นๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วไม่ใช่ทำกุศลเพื่อหวังว่า ถ้าทำกุศลแล้ว ก็จะไม่มีอกุศลวิบากใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ากุศลกรรมให้ผลแน่นอน เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากจิตเกิด ถ้าอกุศลกรรมให้ผล ก็แน่นอนเหมือนกัน คือจะต้องเป็น อกุศลวิบากจิตที่เกิด ไม่มีใครไปเปลี่ยน สภาพจิตซึ่งเป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม

    ผู้ฟัง คุณที่มาด้วยกัน บอกว่า เราไม่ทราบว่า กรรมทำมาได้อย่างไร เราจะระลึกชาติได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ กรรมชาติก่อน ทราบไม่ได้ แล้วชาตินี้พอจะทราบได้ไหม

    ผู้ฟัง เขาบอกว่าได้

    ท่านอาจารย์ ชาตินี้ได้ หมายความว่าสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะใดเป็นกุศลกรรม ขณะใดเป็นอกุศลกรรม เราก็รู้ได้ว่า เราไม่ได้มีแต่กุศลกรรมเท่านั้นแน่นอน ทางกาย ทางวาจา ที่เป็นอกุศลกรรมก็มี แม้แต่ความคิดที่จะเบียดเบียนด้วยวาจา เพียงแค่คิดเบียดเบียน ก็เป็นกรรมทางวาจา เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงทรงแสดงไว้ละเอียดมาก เรื่องของจิตว่า ถ้าอกุศลจิตเกิดแล้ว ก็เป็นหตุที่จะให้มี กายวาจาทุจริต หรือถึงขั้นที่เป็น อกุศลกรรมได้ ก็เป็นเรื่องที่เราจะทราบความละเอียดว่า ต้องมี อกุศลกรรมด้วย ไม่ใช่มีแต่กุศลกรรมเท่านั้น ถ้าเห็นจริงอย่างนี้ แล้วก็รู้ว่า อกุศลกรรมมีโทษแน่นอน ไม่ใช่คนอื่นบันดาลให้เลย แต่เจตนาเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต ที่จงใจ ตั้งใจ กระทำ อกุศลกรรมนั้น แม้ว่ากรรมนั้นจะดับ เพราะว่าจิตเกิดแล้วก็ดับ เจตสิกที่เกิดกับจิตก็ดับ แต่ก็สืบทอดสะสมอยู่ พร้อมที่จะทำให้เกิดวิบากจิตเมื่อไร ก็เกิดวิบากจิต เช่น ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกรรม แต่ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ว่าขณะนี้เป็นผลของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม เพราะฉะนั้น เราไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ เรื่องกรรม และผลของกรรม อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเพียงแต่ทราบว่าเหตุต้องตรงกับผล เพราะฉะนั้น เมื่อมีอกุศลกรรม หรืออกุศลวิบากเกิดขึ้น เราก็รู้เลยว่าคนนั้นต้องเคยได้กระทำกรรม ที่จะทำให้วิบากซึ่งเป็นผล เกิดขึ้นอย่างนี้ๆ แล้วก็ไม่มีใครที่จะทำได้เก่งกว่ากรรม วิบากทั้งหลายวิจิตรมาก มาในรูปแบบต่างๆ แสดงให้เห็นว่า อย่าคิดว่าใครทำ แต่ว่าเพราะกรรมวิจิตรมาก เพราะฉะนั้น ก็ทำให้ผลที่เกิดวิจิตรมาก เกินความคาดหมายของแต่ละคน

    ผู้ฟัง อย่างบางคนที่ว่าสามารถระลึกชาติได้ เขาสามารถรู้ว่าชาติที่แล้วเขาเคยทำอะไรมา ถ้าเราอยากจะถามเขาว่า เราได้ทำอะไรมาบ้าง เขาจะสามารถรู้ไหม

    ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ไม่ได้ให้เราเชื่อ เวลาที่ใครพูดแต่ให้คิดแล้วก็ให้พิจารณาในเหตุผล ถ้ามีคนที่บอกว่าเขาระลึกชาติได้ เราเชื่อเลยหรือ หรือว่าเหตุอะไรที่ทำให้เขาระลึกได้ ระลึกจริงหรือเปล่า หรือว่าคิดเอง ว่าระลึกชาติได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา ไม่ใช่ใครที่นี่บอกว่าเห็นเทวดา เราก็เชื่อเขา เห็น ใครบอกว่าเขาระลึกชาติได้ เราก็เชื่อว่าเขาระลึกชาติได้ แต่ต้องมีเหตุผล แล้วการที่เราเข้าใจในเหตุผล เราก็อาจจะช่วยให้คนนั้นได้เข้าใจถูกขึ้น ว่าจริงๆ แล้วเขาระลึกได้หรือเปล่า หรือว่าเป็นความคิดของเขา ทุกอย่างต้องเป็นเหตุเป็นผล แล้วก็ไม่ใช่ว่าพอฟังเขาระลึกชาติได้ ก็เลยอยากให้เขามาบอกว่าชาติก่อนเราเป็นอะไร เพราะคิดว่าเขาคงจะระลึกชาติก่อนของเราได้ด้วย ถ้าเขาสามารถที่จะระลึกชาติของเขาได้ ไม่ถูกต้องเลย ถ้าเป็นแบบนั้น

    เพราะว่าต้องทราบจริงๆ ว่าเรื่องของปัญญา อีกระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถจะกระทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นอิทธิต่างๆ ความสำเร็จในแต่ละด้าน เช่น ความสำเร็จในการระลึกชาติได้ หรือว่าความสำเร็จในเรื่องตาทิพย์ หูทิพย์ หรือว่าสามารถที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ ต้องมาจากเหตุที่สมควรแก่ผล ไม่ใช่ว่ามืดๆ ค่ำๆ แล้วก็บอก เราว่าเหาะได้ อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าศึกษาจริงๆ แล้ว ถ้าถามคนนั้นว่า ขณะนี้จิตของเขาเป็นกุศล หรือ อกุศล ถ้าคนนั้นตอบไม่ได้ ไม่มีทางที่จะได้อิทธิ คือ ความสำเร็จอย่างนั้นได้เลย เพราะว่าแม้แต่สภาพของจิตในขณะนี้เอง ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ แล้วจะไประลึกชาติได้อย่างไร

    วิทยากร. เรื่องแผลเก่า ก็เหมือนอนุสัยกิเลส เรายังเป็นปุถุชนอยู่ มีอนุสัยกิเลสทุกคน ยังไม่ไหลออก อนุสัย เมื่อสีมากระทบตา ชอบใจ เอาเริ่มไหลแล้ว แต่ว่ามันเป็นโลภะ ชอบใจ ถ้าสีมากระทบตา ไม่ชอบใจโทสะไหล มันไหลหนักกว่า น่าเกลียด คืออนุสัยนั่นเองที่เราสะสมไว้มันเริ่มไหลออกมา เมื่อแสดงถึงสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็แสดงได้หลายอย่างเรียกว่า ปฏิกูล คือ กิเลสต่างๆ ที่เป็นอนุสัย ที่สั่งสมไว้ เมื่อกระทบกับอารมณ์ภายนอกทางตาทางหูทางจมูกมันก็ไหลออกเรื่อย แล้วแต่ว่า ถ้าใครไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ต้องไหลออกแน่

    ผู้ฟัง เรามีแผลอยู่ทุกคน มีแผลอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ แผลเน่า เรื้อรัง แปลว่ามีมานาน แล้วยังไม่หาย

    ผู้ฟัง บางคนที่ไม่มักโกรธ

    ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นปัญหาเพราะว่า ข้อความในอรรถกถา กล่าวแต่เพียงเรื่องความโกรธ เพราะว่าความโกรธ เราเห็น ได้ชัดเจน เวลาที่ใครมีโลภะ มองไม่เห็น นั่งเฉยๆ แต่พอใครมีความโกรธ จะเป็นเลย ลักษณะของความโกรธ จากการกระทำทางกาย ทางวาจา เพราะฉะนั้น การที่ทรงอุปมาไว้ ก็โดยนัยที่ว่าให้เห็นชัด แต่ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นไม่มีกิเลสอื่น คือการศึกษาธรรมต้องเข้าใจละเอียดแล้วก็โดยตลอด สิ่งใดที่ละไว้ ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเพราะอะไร เพราะว่าถ้ากล่าวอย่างนี้แล้วเราถือตามตัวอักษร ก็แปลว่าไม่ต้องพูดเรื่องโลภะ หรือว่า ไม่ต้องพูดเรื่องอกุศลอื่นเลย แต่ความจริงไม่ใช่ แสดงให้เห็นว่าทุกอย่าง และคำอุปมาก็เพื่อที่ให้เข้าใจ สิ่งนี้ตลอดไปจนถึงสิ่งอื่นด้วย มีใครบ้าง ที่จะมีโทสะ แล้วไม่มีโลภะ แต่ไม่กล่าวถึง เพราะเหตุว่าขณะนี้ใครจะมีโลภะ ไม่มีใครรู้ หรือแม้แต่ตัวเองก็รู้ยากว่าขณะนี้เป็นโลภะ ถึงแม้ว่าโดยมากจะถาม โลภะหรือเปล่า ทำอย่างนี้เป็นโลภะหรือเปล่า ต้องถาม แต่พอถึงโทสะ ถามไหมว่า นี่เป็นโทสะหรือเปล่า แต่ว่าอาจจะไม่รู้จักชื่อเท่านั้นเอง เช่น เวลาที่หงุดหงิด ขุ่นใจ เราชินกับคำว่า โกรธ เราก็คิดว่าเฉพาะโกรธเท่านั้นที่เป็นโทสเจตสิก แต่ความจริงไม่ใช่เลย สภาพที่กระทบกระทั่ง หรือว่าสภาพที่ทำให้จิตใจไม่สบายโดยอาการลักษณะใดๆ ก็ตามเป็นสภาพของโทสะทั้งนั้น กลัว ตกใจ เสียใจ น้อยใจ ขุ่นใจ เคืองใจ เศร้าใจ นั่นก็เป็นลักษณะของโทสะ

    เพราะฉะนั้น เมื่อยกเรื่องของโทสะขึ้นมาก็จะต้องเห็นอย่างอื่นด้วย อย่าไปติดที่ตัวอักษรหรือว่า ตัวหนังสือเท่านั้น แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจด้วยว่า การดับกิเลส เป็นลำดับขั้น ดับอย่างไร จนกระทั่งถึงที่จะเป็นฟ้าผ่าได้

    ผู้ฟัง เรื่องโทสะเล็กๆ น้อยๆ บางทีก็ไม่ค่อยได้คิด อย่างผมเองนี้เป็นบ่อยๆ ที่บ้านมักจะถามว่า วันอาทิตย์ต้นเดือนไปบ้านคุณหญิงหรือเปล่า โกรธแล้ว ก็ถามทำไม ไปทุกอาทิตย์

    ท่านอาจารย์ แผลเก่า

    ผู้ฟัง แผลเก่า คือถ้าไม่ไปแล้วจะบอก แผลเก่ากำเริบ

    ท่านอาจารย์ แผลใหญ่ แผลเก่าใหญ่ด้วย

    ผู้ฟัง ทีนี้ขอเล่าเรื่องตลกนิดหนึ่ง มีคนเขาบอกว่าที่นี่เป็นโรงเรียนอนุบาล ท่านอย่าพูดว่าโรงเรียนบ้านคุณหญิงเลย ให้มาโรงเรียนอนุบาลเถอะ

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นถึงความวิจิตรของจิต ใครจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่การสะสม คนที่พูดคงไม่รู้สึกตัว แน่นอน แต่ว่ามีจิตมุ่งที่จะกล่าวถึงในทางลบ ต้องกล่าวไว้อย่างนี้ แต่ถึงจะเป็นอกุศลจิตของใครก็ตาม แต่ถ้าเราถือข้อความนั้นมาพิจารณาว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เราจะได้ แก้ไข เพราะว่าอกุศลจิต ของใครเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้น แต่ข้อความหรือส่วนที่เป็นจริง ถ้าเป็น เราก็แก้ อย่างข้อความที่เขียนมาบอกว่า ที่นี่เสียงดังมากเลย คุณหญิงท่านต้องเตือนว่า ถึงเวลาแล้วนะ หรืออะไรอย่างนี้ ก็ดูในความรู้สึกของท่านผู้นั้นก็เหมือนกับโรงเรียนอนุบาล เราจะไม่คิดถึงความวิจิตรของความคิดของเขา ที่คิดเปรียบเทียบอย่างนั้น แต่เราคิดถึงความจริงว่าเป็นจริงไหม ถ้าเป็นจริงก็ถูก แล้วเราก็แก้ ก็ดี ก็เป็นประโยชน์ดี แต่เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอกุศลจิตของใคร

    ผู้ฟัง ผมเป็นบ่อย แล้วผมก็ยอม ยอมกราบเขาด้วย ขอบใจมากที่เตือน เพราะว่า มันเป็นจริงอย่างนั้น บางทีพูด พูดๆ ธรรมดา เสียงดัง เหมือนอย่างกับโกรธใคร อะไรอย่างนี้ ผมก็บอก อย่างนี้มันไม่ดี นะ เราก็พยายามที่จะฝึกหัดตัวเอง พูดทำไม คนฟังพูดอย่างนี้ได้อย่างไร พูดเหมือนอย่างไปทะละกับเขาใช้ไม่ได้ แล้วก็พูดทำไม คนอื่นฟังทำไมจะต้องไปพูดถึงคนอื่น คนโน้นอย่างนี้ คนนี้อย่างโน้น สำนักนั้นสำนักนี้เป็นอย่างนี้ เรื่องอะไร เราจะพูดธรรมก็ไม่ควรจะพูดถึงคนอื่น พูดแต่ธรรม ผมก็บอก ขอบคุณมาก บางทีมันก็เผลอ ช่วยเตือนด้วยถ้าเผลอ ช่วยบอกด้วยก็ขอบคุณเขา อันนี้ไม่ถือว่าเขาผิด เขาช่วยเหลือเรา

    ท่านอาจารย์ อย่างน้อย เราก็พิจารณามีธรรมที่จะเป็นยารักษาแผลเก่าของเรา

    ผู้ฟัง ท่านคุณหญิง ได้กล่าวขึ้นมาว่า เรื่องตลกที่ว่าเป็นโรงเรียนอนุบาล รถผมเสียผมเดินเข้ามาพบญาติธรรมคนหนึ่ง ผมก็เลยถามว่า มาเรียนกับท่านอาจารย์สุจินต์นี้ นานเท่าไรแล้ว เขาบอกว่า ๓ ปีแล้ว ผมบอกโชคดีจังผมเพิ่งมาเรียนได้ ๓ เดือนเอง เขาก็พูดต่อไปว่า อันนี้เมื่ออดีตชาติ เขาได้เคยสะสมไว้ ถึงได้มาพบอาจารย์สุจินต์ก่อน ผมทำไว้น้อยกว่าเขาก็มาพบทีหลัง เป็นเรื่องจริงแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ คงไม่ได้หมายความว่าพบดิฉัน แต่หมายความว่าพบพระธรรม จากใครก็ได้ เพราะว่าอดีตเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ชาติก่อนกับชาตินี้ก็เหมือนประตูที่ปิดสนิท เราไม่สามารถที่จะเข้าไปรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร เมื่อผ่านชาติก่อนมาแล้ว กำลังเป็นชาตินี้ ซึ่งชาตินี้จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า ในเวลาอีกไม่นานเลย เพราะฉะนั้น พอเกิดชาติหน้า เราก็จะสงสัยอีกเพราะว่าประตูปิดแล้ว มองไม่ออกเลยว่า ชาตินี้กำลังทำอะไร ถ้าเกิดชาติหน้า เป็นบุคคลใหม่ ถ้าจะรู้จริงๆ คือระลึกได้ว่าชาตินี้ เป็นชาติก่อน ของชาติหน้า จะรู้อะไรก็รู้แจ้งรู้จริง ยิ่งกว่าจะต้องถามใครทั้งหมด ไม่ว่าทางกาย ทางวาจาที่กระทำสิ่งใด เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า นี่คือกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเป็นชาติหน้าจะไม่รู้เลย แต่ว่าชาตินี้กำลังรู้ความจริง

    ผู้ฟัง ในที่นี้ มีผู้มาศึกษาธรรมก็ต่างกัน บางคนก็มา ๑ เดือน ๒ เดือน ๑ ปี ๒ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี แล้วก็มาฟังธรรมด้วยกัน แล้วจะเรียนทันกันหรือ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นทางตำรับตำรายาก แต่ถ้าเป็นสภาพธรรม ไม่ว่าจะฟังมา ๑ ปี หรือ ๒ ปี หรือ ๑๐ ปีหรือเพิ่งฟังวันนี้ พูดเรื่องของจริง อย่างเราพูดเรื่องแผลเก่า มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎก แล้วก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคนที่ไม่ใช่พระอริยเจ้า จิตเหมือนแผลเก่าจริงๆ เพราะฉะนั้น เรามองไม่เห็นจิตก็จริง ไม่มีรูปร่างอะไรเลย นี่ทุกคนฟังเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม แต่สามารถที่จะระลึกถึงความจริง ที่จะให้เห็นว่าจิต เป็น นามธรรม ไม่มีรูปร่างจึงต้องทรงอุปมา ให้เห็นความน่ารังกียจของ การสะสมของอกุศลที่มีมา ซึ่งถ้าจะเปรียบกับความสกปรก จะสกปรกสักแค่ไหนในแสนโกฏิกัปป์ ที่มีทั้งโลภะ โทสะ โมหะ อิสสา มัจฉริยะ อกุศลต่างๆ มากมาย แล้วก็ยังดับไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ชาติก่อนนานมาแล้ว และชาตินี้ และยังต่อไปอีก เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะดับ นามธาตุซึ่งเป็นจิต และเจตสิก ซึ่งมีปัจจัยเกิด และทันทีที่ดับก็เป็นปัจจัยให้จิต เจตสิก ขณะต่อไปเกิด ไม่มีใครทำอะไรได้เลย ไม่อยากให้จิตเกิดก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จิตจะเกิด จิตก็เกิด เพราะฉะนั้น เราศึกษาเรื่องจิต ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ให้เข้าใจจริงๆ ว่าสภาพธรรมที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม แม้ว่าจะไม่มีการเรียกชื่อใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สภาพธรรม เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

    การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสรู้ความจริงซึ่ง เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรมซึ่ง ทุกคนก็ฟังเมื่อไรก็ฟังได้ แล้วก็มีหนังสือ ให้ศึกษาด้วยตัวเอง แล้วก็มีรายการวิทยุให้ฟังเพิ่มเติมก็ไปได้ เพราะว่าเป็นเรื่องจริง ตั้งต้นเมื่อไรก็ได้ เพราะว่าเป็น เรื่องของสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนที่ผมจะเข้าห้องนี้ ผมได้ยินแว่วๆ ว่าคนเราปัญญา จะลดน้อยลง เช่น ศึกษาธรรมแล้วก็บอกว่าได้แค่ ๕ พันปี ก็จะไม่มีการไปเป็นอรหันต์ ผมก็ฟังแว่วๆ แล้วก็บอกว่า นี่ก็มาถึง ๒,๕๐๐ กว่า ก็ไปครึ่งกว่าแล้ว เมื่อมาถึง ๕ พัน คนเราก็จะไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้ เท็จจริงแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามทุกคนในห้องนี้ ไม่มีอายุถึง ๕ พัน หมดปัญหาเลย แต่ขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 101
    24 มี.ค. 2567