แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี ตอนที่ 1
แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี ๑
ทุกคนทราบเรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต ใช่ไหมคะ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นอาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่ความตาย เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะรอคอยวันเวลาที่จะทำกุศล ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน อภัยทาน ธรรมทาน หรือกุศลอื่นๆ และกุศลที่ควรจะง่ายและสะดวกซึ่งไม่น่าจะต้องคอยกาลเวลาเลย ก็คืออภัยทาน กุศลอื่นยังต้องคอยกาลเวลา ใช่ไหมคะ การใส่บาตร การทำบุญ ก็ยังจะต้องคอยกาลเวลา การตระเตรียม แต่ว่าอภัยทาน ไม่น่าจะต้องคอยกาลเวลาเลย ควรจะเป็นกุศลที่ง่ายและสะดวก แต่สำหรับบางท่านก็ยังรอไว้อีกได้ คือ ชาตินี้ยังไม่ให้อภัย อาจจะเคยได้ยินบางท่านกล่าวอย่างนี้ว่า ชาตินี้ยังไม่ให้อภัย แต่ก็ลองคิดดูว่า ชาติหน้าจะให้อภัยหรือคะ ถ้าชาตินี้ไม่ให้อภัย ชาติหน้าจะให้อภัยไหม นี่รอแล้วใช่ไหมคะ รอไว้ชาติหน้า คิดว่าชาตินี้ไม่ให้อภัย ดูเสมือนชาติหน้าจะให้อภัย แต่ควรจะรู้ความจริงว่า ถ้าชาตินี้ไม่ให้อภัย ชาติหน้าก็ให้อภัยไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อความเป็นบุคคลนี้จบสิ้นลงเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ไม่มีความเป็นบุคคลนี้เหลือไปถึงชาติหน้าเลย แล้วจะไปให้อภัยใคร ที่ไหน ในเมื่อทุกอย่างจบหมดแล้ว เป็นบุคคลใหม่ เรื่องใหม่ พบเหตุการณ์ใหม่จะให้อภัยไหมคะ ก็ผลัดไปทุกชาติๆ
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ทุกชาติจะกระทำเหมือนกับที่ได้เคยกระทำมาแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าต้องการเป็นบุคคลใดในชาติหน้า ต้องทำตั้งแต่ในชาตินี้ เพื่อว่าชาติหน้าจะได้เป็นเหมือนกับที่ได้เคยกระทำมาแล้ว แล้วก็ลองคิดดู สิ่งง่ายๆ ดูจะง่ายที่สุด ง่ายกว่าอย่างอื่น ยังทำไม่ได้ แล้วจะทำอะไรได้คะ สิ่งอื่นก็จะต้องยากกว่านี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกุศลทุกประการควรกระทำในชาตินี้ ไม่ควรที่จะรอคอยถึงชาติหน้า
ข้อความใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต มังคลวรรคที่ ๕ สุปุพพัณหสูตร ข้อ ๕๙๕ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้านั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจในเวลากลางวัน เวลากลางวันนั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นนั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และเป็นการบูชาดีในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย
บุคคลทั้งหลายทำกรรมประกอบด้วยความเจริญแล้ว ท่านเหล่านั้นได้ประโยชน์อันประกอบด้วยความเจริญ ถึงซึ่งความสุข งอกงามในพระพุทธศาสนา เป็นผู้หาโรคมิได้ สำราญกายใจพร้อมด้วยญาติทั้งมวล ฯ
จบ มังคลวรรคที่ ๕
เช้านี้เป็นเช้าที่ดีไหมคะ ไม่ต้องไปคิดถึงฤกษ์งามยามดีอะไรทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับกุศลจิตเกิดขณะใด ในตอนเช้าก็เป็นเช้าดี ในตอนกลางวันก็เป็นกลางวันดี ในตอนเย็นก็เป็นเย็นดี แต่ต้องเป็นผู้ละเอียด อย่าคิดเพียงเรื่องทานกุศลอย่างเดียวว่า ได้กระทำแล้วตอนเช้า ได้กระทำแล้วตอนกลางวัน หรือได้กระทำแล้วตอนเย็น แต่กาย วาจาและใจด้วย ที่จะต้องพิจารณาว่า เช้านี้เป็นเช้าดีหรือเปล่า ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ
เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจในเรื่องเหตุและผล ก็จะได้ทราบว่า ฤกษ์ดี เวลาดี มงคลดีทั้งหมดก็คือขณะจิตที่เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นขณะใดทั้งตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็น จริงไหมคะ แต่ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษา มีประโยชน์สำหรับผู้น้อมรับฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือเป็นผู้ที่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เป็นการบูชาพระคุณของพระผู้มีพระภาคอย่างสูงสุด ตามข้อความที่ตรัสว่า
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และเป็นการบูชาดีในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย
ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่นเลย แต่ตรัสว่า ให้ประพฤติธรรม คือการเจริญกุศล แต่ว่าตามความเป็นจริงทุกคนก็ยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นกุศลแต่ละประการที่ได้ฟัง เป็นการเห็นประโยชน์ของกุศลในขั้นของการฟัง และในขั้นของการพิจารณา แต่ว่ายากที่จะเกิดได้บ่อยๆ แต่ก็ยังดี คือเมื่อฟังแล้ว พิจารณาในเหตุในผลให้เข้าใจ เพื่อจะเป็นการเกื้อกูลปรุงแต่งให้เกิดกุศลในแต่ละประการเพิ่มยิ่งขึ้น แต่ถ้ามีการฟังน้อย การพิจารณาน้อย ก็ไม่มีกำลังพอที่จะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้กุศลเจริญขึ้นได้ กุศลของแต่ละคนจะเจริญขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการศึกษารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เพียงในขั้นของการฟัง หรือในขั้นของการพิจารณาเท่านั้น
ชื่อว่า สัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
ไม่ว่าจะเกิดในกำเนิดใด ในโลกมนุษย์ ก็เห็นมนุษย์เยอะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีภูมิอื่นอีกภูมิหนึ่ง คือ สัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตาม
ชื่อว่า สัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
แม้พระผู้มีพระภาคจะได้ทรงแสดงไว้อย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่า วันนี้มีใครพิจารณาบุญและบาป หรือผลแห่งบุญและบาปของสัตวโลกบ้าง เช่นเมื่อสักครู่นี้ก็มีสุนัขขี้เรื้อน ๑ ตัว ถ้าจะพิจารณาสามารถจะเห็นแล้วใช่ไหมคะ ผลแห่งบุญและบาป ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณวัณณะ รูปร่างหน้าตา แม้แต่เครื่องใช้ ที่อยู่อาศัย ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะ ชื่อว่า สัตวโลก เพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป ดูตัวเองก็ได้ ดูญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็ได้ ดูสัตว์อื่นๆ รอบข้างก็ได้ ใครกำลังเจ็บป่วย ใครกำลังทุกข์ทรมาน ใครกำลังเดือดร้อน ใครกำลังมีเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งน่าแปลก ที่ไม่เกิดกับบุคคลอื่นทั่วๆ ไป แต่ก็เกิดเฉพาะกับบางบุคคล เพราะเหตุว่าเป็นผลแห่งบุญและบาปของบุคคลนั้น
นี่คือเรื่องผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ดูบุญและบาปที่กำลังกระทำอยู่ ซึ่งจะทำให้ปฏิสนธิจะเป็นประเภทใด เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอกุศลกรรม เวลาที่ปฏิสนธิ จะไม่ทราบเลยว่า สัตว์ตัวนั้นชาติก่อนเคยเป็นใคร มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่ว่าเพียงชั่วเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา เปลี่ยนจากจุติจิต จิตสุดท้ายของชาตินี้ซึ่งเคยเป็นมนุษย์ เคยเป็นผู้มีปัญญา แต่เมื่อจุติจิตดับลง อกุศลกรรมทำให้เกิดในอบายภูมิ
เวลาที่เห็นสัตว์ประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดขึ้นในโลกนี้ อาจจะเป็นสัตว์ที่น่ารัก เป็นสัตว์เลี้ยง ลืมคิดถึงอดีตกรรมที่ทำให้สัตว์นั้นเกิดด้วยอเหตุกสันตีรณอกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นเครื่องเตือนจริงๆ ว่า เมื่อสัตว์นั้นยังเกิดอย่างนั้นได้ และแต่ละบุคคลจะไม่เกิดอย่างนั้นหรือ ถ้ายังมีเหตุ คือยังไม่เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิโดยรวดเร็วเหลือเกิน เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า จุติจิตจะเกิดเมื่อไร และทันทีที่จุติจิตเกิดแล้วดับ ปฏิสนธิซึ่งเป็นผลของกรรมก็จะเกิดทันที แล้วแต่ว่าจะเกิดในภูมิไหน ถ้าเกิดในภูมิที่ดี ก็ดีนะคะ
ข้อความใน ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย เรวตีวิมาน มีข้อความว่า
ขึ้นชื่อว่า สมบัติในเทวโลก ย่อมเป็นที่พอใจยิ่ง เหมือนทุบภาชนะดินแล้วรับเอาภาชนะทองฉะนั้น
ขณะนี้ทุกคนกำลังอยู่ในโลกมนุษย์ ก็รู้สึกพอใจมากที่มีความสุขสบายในโลกมนุษย์ แต่ถ้าจุติจิตเกิดแล้วก็ดับไป แล้วปฏิสนธิเกิดต่อในสวรรค์ จะรู้ได้ทีเดียวว่า
ขึ้นชื่อว่า สมบัติในเทวโลก ย่อมเป็นที่พอใจยิ่ง เหมือนทุบภาชนะดินแล้วรับเอาภาชนะทอง ฉะนั้น
สำหรับบุญกุศลทั้งหลายก็จะติดตามให้ผลได้หลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว อาจจะมีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นผลของอกุศลกรรมก็จริง กรรมหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ว่ากรรมอื่นๆ ที่จะตามมาอุปถัมภ์หรือเบียดเบียนก็ยังมีโอกาสหลังจากปฏิสนธิจิตแล้ว
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สัตว์บางชนิด เช่น สัตว์เลี้ยง บางตัวนอนบนเตียงทองคำ เพราะฉะนั้น ผลของบุญ ไม่ว่าจะอยู่ในกำเนิดใดทั้งสิ้น ก็เหมือนกับมิตรและพวกพ้องทั้งหลายย่อมยินดีต้อนรับคนที่จากไปนานแล้วกลับมาฉันใด บุญทั้งหลายของตนๆ ย่อมต้อนรับประคับประคองบุคคลที่ทำบุญไว้ ผู้จากโลกนี้ไปปรโลก ฉะนั้น
ฟังแล้วก็น่าจะกระทำบุญเสียจริงๆ แต่ว่าวันหนึ่งๆ ก็ลองคิดดูว่า สัตวโลกเป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
เพราะฉะนั้น น่าจะพิจารณาจิตที่เป็นเหตุในขณะนี้ด้วยว่า วันหนึ่งๆ กุศลจิตเกิดมากไหม ถ้ากุศลจิตเกิดน้อยกว่าอกุศล ก็ต้องพิจารณาอีกว่า เป็นอกุศลกรรมหรือไม่ เพราะเหตุว่าเพียงความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เป็นสมโลภะ เป็นความยินดีพอใจที่ไม่ถึงกับให้ทำทุจริตกรรม
เพราะฉะนั้น แม้ว่ายังเป็นผู้มีโลภะอยู่ ก็ต้องระวังที่จะไม่ทำอกุศลกรรม เพราะเหตุว่าถ้ากระทำอกุศลกรรมแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเกิดในกำเนิดใด