สนทนาธรรม ตอนที่ 071


    ตอนที่ ๗๑


    อ.นิภัทร ตัวอย่างที่พระท่านหยิบอาหารเข้าปากนะถ้าอาจารย์บอกว่าถ้าอาจารย์จะให้เป็นสตินะฮะมันจะสูงกว่านั้นคือว่าตอนนั้นไม่ได้แบ่งให้ใครข้าวนะฮะแล้วก็ไม่เป็นศีลคือไม่มีอะไรจะวิรัติก็เป็นขั้นสูงกว่านั้นคือเรียกว่าในขณะที่หยิบอาหารเข้าปากเนี่ยสภาพธรรมมีครับสิ่งที่ปรากฏทางตามีคือข้าวนะฮะแข็งก็มีมือถือช้อน ครับมีสภาพธรรมเนี่ยถ้าระลึกได้นะมันเป็นขั้นที่อาจารย์พูดคือมันสูงกว่านั่นแหละคือทานมันจะไม่มีศีลก็จะไม่ค่อยมีจะเป็นเรื่องภาวนามากกว่า

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีศีลก็คือว่าถ้ามีมดมันอยู่ใกล้ๆ เข้าไปอยู่ในข้าว หรืออะไรก็เขี่ยทิ้งอย่างนั้นก็เป็นกุศลจิตถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิต นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถจะเป็นได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยปัญญาแต่ถ้าจะเป็นอีกระดับ หนึ่ง ต้องเป็นเรื่องของปัญญา

    อ.นิภัทร ชัดเจนดีไหมคุณหญิงยิ่งตอนคุณหญิงท่านพูดก่อนที่จะสนทนา ท่านบอกว่าท่านจะยินดี และอนุโมทนาอย่างยิ่งถ้าหากว่าใครได้ประโยชน์ จากการฟังธรรมของอาจารย์เนี่ยนะฮะถ้าท่านรู้ว่าใครได้ประโยชน์เนี่ยท่านจะดีใจยิ่งกว่าจะได้ของอะไรจากใครๆ ด้วยอันนี้ก็เรียกว่าขนาดนั้นมีสติแล้วครับมีสติแล้ว

    ผู้ฟัง พูดไปเฉยไม่มีสติ

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าจะเปรียบเทียบเห็นได้นะคะ ว่าจิตต่างกันขณะที่ดูละคร หรือว่าขณะที่อ่านหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ กับขณะที่พูดอย่างนี้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าสามารถที่จะระลึกได้จริงๆ ก็จะเห็นสภาพขณะที่ต่างกันของกุศลจิตกับอกุศลจิต

    อ.นิภัทร ขั้นระลึกได้จริงๆ ขั้นสูงขึ้นสูงขึ้นมาอีก

    ผู้ฟัง ดิฉันคิดว่าหากพูดไปพล่อยๆ แต่ว่าก็ด้วยใจจริง คือนึกจะพูดก็พูดออกมาแต่ว่าด้วยใจจริงนะคะ ไม่ได้คิดว่าจะพูดด้วยกุศล หรือว่าเป็นสติ

    ท่านอาจารย์ คือถ้าไม่มีเรานะคะ แต่จิตอะไรทำให้วาจาอย่างนั้นเกิดขึ้นเราก็จะเห็นได้ว่าเป็นสภาพของจิตที่ดีงามเพราะว่าไม่ได้หวังอะไรจากใครนอกจากขอให้เข้าใจธรรม ให้ฟัง

    ผู้ฟัง ให้ได้ประโยชน์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้ววันนี้ก็ยังไม่มีการชักชวนให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมนะคะ เพราะเห็นว่าเวลาที่มีคนไปฟังพระธรรมไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมอย่างนี้เลยนะคะ ทางตากำลังเห็นมีไหมทางหูทางจมูกลิ้นกายมีไหม ก็เป็นของจริงที่ทุกคนพิสูจน์ได้นะคะ แต่ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาของผู้ฟังถึงระดับไหน ธรรมเป็นธรรมเสมอเปลี่ยนแปลงธรรมไม่ได้ และธรรมก็มีจริงๆ ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะประสูติตรัสรู้จะทรงแสดงธรรม หรือหลังจากปรินิพพาน และธรรมก็มีค่ะเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของผู้ฟังว่าผู้ฟังเนี่ยเข้าใจธรรมที่ฟังเนี่ยขั้นไหนถ้าเข้าใจจนสติเกิดนะคะ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมแล้วก็ได้สะสมปัญญาที่จะละความเป็นตัวตนเพราะรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม รู้แจ้งอริสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ค่ะไม่ใช่ว่าไม่ได้เลยขึ้นอยู่กับว่าปัญญาอบรมมามากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นทุกคนก็เป็นผู้ที่ตรงนะคะ คือว่าใครจะไปรู้ใจใครได้ใครจะไปรู้ว่าขณะนี้มีความเข้าใจระดับไหนแต่ว่าคนนั้นก็เป็นผู้ที่ตรง และก็สามารถที่จะรู้ด้วยว่าขณะไหนหลงลืมสติขนาดไหนมีสติ หรือแม้สติเกิดแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนออกจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าสภาพธรรมไม่เปลี่ยนแต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนที่จะเพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนั้น

    ผู้ฟัง ความหมายของขันธ์ที่มีอยู่ ๑๑ อย่างที่ว่าอดีตอนาคตปัจจุบัน ภายในภายนอก อันอดีตนี้จะหมายถึงขันธ์ไหนที่ล่วงมาแล้วหมายถึงขันธ์ทั้ง ๕ ในอัตภาพที่ล่วงมาแล้ว หรือเปล่าได้ไหมอาจารย์

    อ. สมพร อัตภาพที่ล่วงไปแล้วต้องเป็นอดีตอัทธาแต่ที่กล่าวนี้ปัจจุบัน ปัจจุบันหมายความว่าขันธ์กำลังเกิดเนี่ยมันดับไปแล้วทั้งหมดเนี่ยเป็นอดีตที่ดับไปแล้วทั้งหมดจะเป็นรูป จะเป็นนามที่ดับไปแล้วทั้งหมดเป็นอดีต แล้วไม่ได้กล่าวอดีตนั้นยาวนาน และอดีตไกล กล่าวเพียงว่าขันธ์ที่ดับไปแล้วนั้นเป็นอดีต อดีตนะครับ อดีตขันธ์ ทั้งหมดมี ๑๑ อย่างใช่ไหมฮะ

    อ.นิภัทร อย่างอดีตนี้ก็อย่างงั้นก็ก็ตรงกับในที่อาจารย์ว่าปัจจุบันอัทธาได้ไหม ที่ว่ามันค้างยาวนานมาถึงตั้งแต่

    อ.สมพร เราก็ต้องพูดถึงว่าการพูดเนี่ยพูดถึง การเจริญวิปัสสนาขณะนี้พูดถึงการเจริญวิปัสสนาโดยตรงก็ต้องเอาปัจจุบันสันติกับปัจจุบันขณะ

    อ.นิภัทร ปัจจุบันอัทธาไม่ได้ใช่ไหม

    อ.สมพร ปัจจุบันอัทธาเป็นการคิดนึกเอานะครับ เพื่อให้จิตเราสังเวชเกิดความสลดใจ ว่าคนเกิดแล้วก็ต้องแก่แล้วก็ต้องแก่เจ็บตายอะไรนี้เป็นของธรรมดา เมื่อเกิดความสลดใจมีความเพียรขยันเพื่อจะให้เป็นที่พึ่งแก่ตนได้อาศัยปัจจุบันอัทธาพิจารณามันเป็นส่วนมากเป็นสมมติ

    ท่านอาจารย์ ที่จริงข้อความที่คุณสรีสนใจนะฮะมีกล่าวไว้ในอรรถกถาแต่ที่นี่ต้องทราบค่ะว่าจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมเนี่ยเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏมิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นเรื่องชื่อทั้งหมด เช่นขันธ์ และก็อัทธาอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ก่อนนั้นนะคะ หมายความว่าจะต้องรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ และภายหลังก็จะเข้าใจอรรถของคำว่าขันธ์ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วนะคะ การศึกษาทั้งหมดการฟังทั้งหมด ก็เพื่อให้รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏจะโดยภาษาอะไรก็ได้ ชาติก่อนนะคะ เราก็อาจจะเคยเข้าใจพระธรรมโดยฟังภาษามคธคือภาษาบาลี อาจจะจากพระวิหารเชตวันเวฬุวัน หรือที่หนึ่งที่ใดก็ได้ แต่พอถึงชาตินี้ใครพูดภาษาบาลีด้วยเราไม่เข้าใจเลยแต่ว่าเราสามารถจะเข้าใจธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ด้วยภาษาไทย หรือว่าที่นี่ไม่ใช่คนไทยนะคะ ก็ใช้ภาษาอื่นที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรม เพราะฉะนั้นจุดประสงค์เนี่ยไม่ใช่เพื่อเราจะพยายามไปอ่านคำที่มีอยู่โดยที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เมื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทุกอย่างที่มีอยู่ในอรรถกถา หรือพระไตรปิฎกก็คือความจริง ซึ่งเราได้ประจักษ์ด้วยตัวเองว่าที่ใช้คำนั้นอย่างนั้นในภาษานั้นก็คือลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง เช่นคำว่าอดีตปัจจุบันอนาคตถ้าพูดลอยๆ นะคะ ขณะนี้ทุกคนลอยหมดไม่รู้ว่าอะไรอดีตอะไรปัจจุบันอะไรอนาคต และถ้าจะยกตัวอย่างเพียงความเมื่อย เมื่อยเวลานี้มีหรือเปล่า แต่ว่าสิ่งอื่นมี เพราะฉะนั้นก็จะงงไปหมดเลยนะคะ และนี่เป็นขันธ์หรือเปล่านั้นเป็นขันธ์หรือเปล่าเพราะว่าเราเอาคำภาษาบาลีมาคิดแต่ว่าที่ถูกแล้วนะคะ เราจะต้องฟังพระธรรม ไม่ว่าชาติไหนก็ตามภาษาไหนก็ตามเกิดเป็นใครก็ตามให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นเราอาจจะยุติเรื่องของขันธ์ ๑๑ อย่างเอาไว้ก่อนนะคะ จนกว่าจะรู้ขณะนี้ที่กำลังปรากฏขณะนี้ค่ะเป็นขันธ์อะไรบ้างเพราะเหตุว่าคำว่าขันธ์เนี่ยส่วนใหญ่นะคะ ถ้าคนที่เคยเข้าวัดก็จะคล่องปากคือ ๑ รูปขันธ์ ๒ เวทนาขันธ์ ๓ สัญญาขันธ์ ๔ สังขารขันธ์ ๕ วิญญาณขันธ์ แต่ถ้าคนที่ไม่เคยเข้าวัดเลยนะคะ แม้แต่รูปขันธ์ก็ไม่รู้ว่าอะไรรูปโต๊ะรูปเก้าอี้ หรือรูปอะไรก็ไม่รู้ เวทนาก็คิดว่าสงสารจริงเป็นขันธ์หนึ่ง ไปแล้วสัญญาก็ยิ่งแย่ใหญ่เลยนะคะ เพราะว่าเรามักจะพูดถึงสัญญากันไว้ หรืออะไรอย่างนั้น และสังขารขันธ์ก็ไม่ทราบวิญญาณขันธ์ก็ไม่ทราบเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็จะถามกันว่าวิญญาณมีจริงไหม วิญญาณอยู่ที่ไหนนี่แสดงว่าธรรม ขอให้ศึกษาตามลำดับจริงๆ แล้วก็ไม่ว่าจะผ่านคำไหนยังไงก็ตามขอให้เข้าใจเฉพาะคำนั้นให้ชัดเจนก่อนนะคะ อย่าเพิ่งก้าวไปไกลเพราะว่าถ้าเราจะฟังเผินๆ นะคะ เดี๋ยวขันธ์เดี๋ยวปฎิจสมุปบาทเดี๋ยวอริยสัจ เดี๋ยวโพชฌงค์เดียวอายตนะมากมาย แต่ว่ายังไงยังไงก็ตามค่ะอย่าลืมว่าเราต้องตั้งต้นจากพื้นฐานคือให้ทราบว่าขณะนี้สภาพธรรมที่มีจริงๆ อันนี้ก็ได้ทราบจากท่านที่มาวันนี้ค่ะถามว่าเคยฟังไหมคะไม่เคยเลยอ่านหนังสือของมูลนิธิ หรือยังคะก็ไม่ได้อ่านเลย แสดงว่าถ้าฟังเรื่องขันธ์แบบนี้คนนั้นจะไม่สามารถเข้าใจได้เลย แต่คนที่ฟังแล้วอ่านแล้วก็ยังสามารถที่จะฟังอีกแล้วก็เข้าใจอีก เพราะว่าการฟังพระธรรมเนี่ยถ้าสังเกตุดูในพระไตรปิฏกจะเห็นได้ว่าแสดงกับบุคคลต่างๆ ในพระสูตร แล้วแต่ ความสามารถที่บุคคลนั้นสามารถที่จะเข้าใจได้แต่ว่าเมื่อฟังแล้วนี่ค่ะเกิดความเข้าใจได้ทันทีนั่นคือประโยชน์ของธรรมเข้าใจทันทีก็คือว่ารู้ว่าธรรมไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นเรายังไม่ไปถึงขันธ์แค่นี้ค่ะแค่ว่าธรรมเนี่ยไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลแต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าก่อนนี้มีตัวตนเยอะ หรือว่าฟังแล้วก็ยังมีตัวตนอีก ก็แสดงให้เห็นว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังยังไม่สามารถที่จะไถ่ถอนความที่เราเคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นเราจะฟังธรรมแบบไหน แบบที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ นะคะ แล้วชื่อก็ค่อยๆ ติดตามมาในภายหลังแต่ถ้าเอาชื่อขึ้นมาก่อนเนี่ยเราก็จะมีแต่เรื่องคำแล้วก็เรื่องชื่อแต่ไม่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบสำหรับคนที่อาจจะมาใหม่หรืออาจจะคนเก่าก็จะได้ทบทวนไปเพราะว่าสังเกตดูก็ทุกครั้งค่ะก็จะมีคนใหม่ และพื้นความรู้ที่จากการฟัง หรือว่าการอ่านเนี่ยไม่เท่ากัน แต่ว่าขอให้ทราบว่าจะพูดเรื่องขันธ์ ๑๑ กองหรือจะพูดเรื่องอายตนะจะพูดเรื่องอริยสัจจะพูดอะไรทั้งหมดนะคะ ไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงๆ ๔ อย่าง ที่ใช้คำว่าปรมัตถ์ธรรมสิ่งที่มีจริงคือธรรม ปรมัตถ์ธรรมก็คือว่าธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดถึงเรื่องโลกพระจันทร์ แล้วเราก็อ่านวิทยาศาสตร์ดูหนังสือพิมพ์อะไรขนาดนั้นไม่ได้ทำให้เราเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ว่าเราเพียงแต่เข้าใจเรื่องแล้วก็จำเรื่องต่างๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจธรรมที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าปรมัตถ์ธรรม อันนี้คุณสุรีย์ก็คงจะช่วยบอกได้ใช่ไหมคะว่าปรมัตถธรรม ๔ มีอะไรบ้างปรมัตถธรรม ๔ ค่ะคือขอให้ตั้งต้นไปพร้อมๆ กันนะคะ แล้วก็เดี๋ยวจะอธิบายอาจจะเข้าไปที่เรื่องขันธ์ก็ได้แต่ขอปูพื้นไว้หน่อยนึงค่ะ

    ผู้ฟัง ที่พูดถึงประสบการณ์ของตัวเองนะคะ คือในขณะซึ่งศึกษาธรรมเนี่ยถ้าไปศึกษาว่าไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคลเนี่ยก็ได้แต่ท่อง

    ท่านอาจารย์ ไม่จริงค่ะ

    ผู้ฟัง แต่จะยังไม่ไม่เข้าถึงตรงนั้นค่ะอาจารย์

    ท่านอาจารย์ นี้ไม่ต้องท่องนี้เข้าใจค่ะ

    ผู้ฟัง ไม่ยังไม่แทงตลอดว่าอันนี้มันไม่ใช่สัตว์บุคคล

    ท่านอาจารย์ แทงตลอดยังไม่ได้แต่เริ่มเข้าใจ สำคัญที่สุดคือเริ่มเข้าใจว่าแต่ก่อนนี้เราไม่เคยเข้าใจเรื่องไม่มีตัวตนว่าหมายความถึงอะไรที่มีคนบอกว่าถ้าอย่างงั้นมีคนมาตีเราจะทำยังไงไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง แต่มันก็ยังเป็นตัวตนนะอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เป็นตัวตนนี้เป็นแน่นะคะ แต่ให้ทราบว่าจะไม่เป็นต่อเมื่อความเข้าใจของเราเนี่ยค่อยๆ เพิ่มขึ้นต้องใช้คำว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้น จะไม่มีตัวตนทันทีไม่ได้ และจะเพิ่มขึ้นโดยวิธีไหนถ้าไม่ฟังค่ะแล้วถ้าไม่อ่านถ้าไม่สนทนาธรรม เพราะฉะนั้นเราจะไม่เอาชื่อต่างๆ มากมายแต่จะเอาเข้าใจสภาพธรรมไปพร้อมๆ กันอย่างสั้นๆ เป็นพื้นก่อน และอาจจะไปถึงเรื่องของขันธ์เรื่องอะไรก็ได้ทีละเล็กทีละน้อยแต่สำหรับคนใหม่ขอให้ฟังตอนนี้ก่อนนะคะ แล้วก็ไม่เข้าใจถามเพราะเหตุว่า ถ้าฟังไปแล้วไม่เข้าใจตลอดหมด ๓ ๔ ชั่วโมงนี้ก็น่าเสียดายใช่ไหมคะ คุณสุรีย์ช่วยตอบค่ะว่าปรมัตถ์ธรรม ๔ มีอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ก็มีจิตเจตสิกรูปนิพพาน

    ท่านอาจารย์ ค่ะไม่มีใครไม่ได้ใช่ไหมคะจิต เจตสิกรูปนิพพานชื่อใหม่จริงๆ สำหรับเจตสิกสำหรับนิพพานชินหูแต่ไม่รู้จักเจตสิกก็ใหม่ เพราะฉะนั้นอย่าง หนึ่ง ที่เคยได้ยินได้ฟังคือรูปแต่รูปที่ฟังนะคะ ไม่ใช่รูปที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล นี่แสดงให้เห็นว่านะคะ ขอให้ตั้งต้นจริงๆ ว่ารูปคืออะไร นี้จาก ๔ นะคะ จิตเจตสิกรูปนิพพาน

    ผู้ฟัง ตัวไม่รู้ตัวถูกรู้

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งหมดทั้งสิ้น ที่ตัวคุณสุรีย์มีรูปมั้ยคะ

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นี่รูปรู้อะไรมั้ยคะ

    ผู้ฟัง ไม่รู้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ รูปเมื่อยไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่เมื่อยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เมื่อยไม่ใช่รูปใช่ไหมคะคือเมื่อฟังธรรมอะไรขอให้ตายตัวเพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้นั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ถ้ารูปหมายความถึงสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เราก็ต้องสามารถแยกออกมาได้ว่ารูปธรรมมีแต่ไม่ใช่สภาพรู้ส่วนจิตเจตสิกไม่ใช่รูปเป็นนามธรรม แต่ว่าเราจะต้องเข้าใจว่าจิตคืออะไรจริงๆ เจตสิกคืออะไรจริงๆ จิตคือสภาพที่รู้สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ขณะนี้อะไรไม่มีจิตบ้าง

    ผู้ฟัง รูปไม่มีจิต

    ท่านอาจารย์ ถูกไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็ใช่

    ท่านอาจารย์ รูปที่ตัวคุณสุรีย์มีจิตไหม

    ผู้ฟัง รูปไม่มีจิต รูปคือตัวไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ทีนี้คำถามนะคะ เมื่อกี้คุณสุรีย์บอกว่ารูปไม่มีจิตใช่ไหมคะทีนี้รูปที่ตัวคุณสุรีย์เนี่ย

    ผู้ฟัง ปสาทรูปมีค่ะ

    ท่านอาารย์ นี่ก็เป็นเรื่องที่มันก็ค่อยๆ ไกลออกไปแต่ว่าต้องด้วยความเข้าใจจริงๆ นะคะ ก่อนอื่นคือรูปไม่ใช่สภาพรู้ทั้งสิ้นแยกขาดออกจากนามธรรมส่วนจิตนั้นเป็นสภาพรู้ ที่รูปมี ๒ อย่างค่ะรูปที่มีใจครองกับรูปที่ไม่มีใจครองโดยสำนวนของพระสูตรนะคะ เราจะใช้คำนี้ว่ารูปที่ไม่มีใจครอง เช่นอะไรบ้างคะ

    ผู้ฟัง รูปที่มีใจครอง

    ท่านอาารย์ รูปที่ไม่มีใจครอง

    ผู้ฟัง ต้นไม้

    ท่านอาารย์ แล้วรูปที่มีใจครองล่ะคะ

    ผู้ฟัง คน

    ท่านอาารย์ เท่านั้นหรือคะ

    ผู้ฟัง สัตว์

    ท่านอาารย์ เท่านั้นหรือค่ะ

    ผู้ฟัง คนสัตว์ก็มี ๒ อย่างสิ่งของมันไม่มีไม่มีไม่มีใจครอง

    ท่านอาารย์ ไม่ว่าจะเป็นเทวดาพรหมอินทร์ที่ไหนก็ตามแต่นะคะ ขณะนั้นที่เราใช้คำว่าสัตว์นี่ยหมายความว่าต้องมีนามธรรมด้วยไม่ใช่มีแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่ว่าคุณสุรีย์จะเรียกปลาเรียกสุนัขเรียกนกเรียกเช้างเรียกอะไรก็ตามแต่นะคะ ไม่ได้มีแต่รูปแต่มีนามธรรมด้วยแต่ว่านามธรรมนั้นแยกขาดจากรูปธรรมโดยเด็ดขาด นี่คือการที่พยายามจะให้เห็นความจริงว่าไม่ใช่ตัวตนไม่มีเราเพราะเหตุว่าที่เคยเป็นเรานะคะ ก็คือสภาพธรรม ๒ อย่างคือนามธรรมกับรูปธรรมแต่ขณะใดก็ตามที่รู้จริงๆ นะคะ ว่านามธรรมเป็นนามธรรมใช้คำว่ารู้จริงๆ ว่านามธรรมเป็นนามธรรม รูปธรรมเป็นรูปธรรมทั้ง ๒ อย่างแยกขาดจากกันก็จะไม่มีเรา แต่เมื่อเกิดปะปนรวมกันอยู่นะคะ ไม่ว่าจะทางตาเห็นทางหูได้ยินทางจมูกได้กลิ่นทางลิ้นลิ้มรสทางกายกระทบสัมผัสก็ปรากฏว่ามีเราที่กำลังรู้สิ่ง หนึ่ง สิ่งใด เพราะฉะนั้นกว่าเราจะถึงความไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ก็คือว่าต้องเข้าใจเรื่องของจิตเจตสิกรูปส่วนนิพพานนั้นก็อีกไกลมากทีเดียวคือถ้าไม่เข้าใจเรื่องของจิตเจตสิกรูปนิพพานไม่ต้องกล่าวถึง เป็นแต่เพียงชื่อเท่านั้นเองสำหรับผู้ที่ได้รู้แจ้งแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็คือว่าให้เราเข้าใจลักษณะที่ต่างกันของ จิตเจตสิกรูปคือจิตเจตสิกเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้ และรูปเป็นรูปธรรมอันนี้ก็ทวนนิดหน่อยนะคะ ไม่ทราบมีข้อสงสัยอะไร หรือเปล่าคะ ถ้าสงสัยก็ถามได้ค่ะเชิญเลยค่ะ

    ผู้ฟัง ข้อที่ ๒ นะคะ เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เชิญอาจารย์ค่ะเจตสิก

    อ.สมพร เจตสิกนี้มันมาจากเจ-ตะ-กะ-สิก หมายถึงวิภัตติปัจจัยแปลว่าในเจตสิกอันนี้ก็มีตัว กอ ลงอีกตัวนึง มาเป็นเจตสิก เจ-ตะ-สิก-กะ, เจ-ตะ-สิก-กัง แปลว่าเกิดในจิต ธรรมชาติที่เกิดในจิตเนี่ยเป็นอะไรไม่ใช่จิตนะครับ แต่ว่าเกิดในจิต

    ผู้ฟัง เช่นเช่นอะไรคะยกตัวอย่างค่ะเช่นตัวอย่าง

    อ.สมพร ตัวอย่างนะครับ เช่นจิตกำลังโกรธ นะฮะโกรธไม่ใช่จิต จิตเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์เท่านั้นเองโกรธนั้นเป็นเจตสิก กำลังโกรธนี้นะฮะโกรธเนี่ยเป็นใครโกรธก็แล้วแต่จิตกำลังโกรธเนี่ยธรรมชาติที่รู้อารมณ์เนี่ยรู้นะเป็นจิตแต่โกรธนั้นไม่ใช่จิตเป็นเจตสิกเกิดร่วมกับจิตจึงเรียกว่าเจตสิกเกิดในจิตอาศัยจิตเกิดไม่มีจิตก็เกิดไม่ได้ เจตสิกเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ขอบคุณค่ะ

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าจิตกับเจตสิกต้องเกิดร่วมกันนะคะ แยกกันไม่ได้เลยที่ในที่มีจิตที่นั่นต้องมีเจตสิกแต่ว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้เห็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง ขณะนี้หรือคะ เห็นสมาชิกค่ะ

    ท่านอาจารย์ คิดใช่ไหมว่าเป็นสมาชิกแต่เห็นจริงๆ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นรูปหน้าคนนะคะ

    ท่านอาจารย์ เห็นรูปหน้าคน นี้เห็นไหมคะว่าถ้าไม่ศึกษาจริงๆ เนี่ยเราจะไม่รู้เลยว่าอนัตตาคืออย่างไร เพราะว่าถ้ารูปหน้าคนก็เป็นอัตตาแล้วเป็นคนแล้ว กว่าเราจะรู้จริงๆ ว่าไม่มีตัวตนเนี่ยต้องฟังนานนะคะ แม้แต่คำถามที่ว่าเห็นอะไรเนี่ยคุณสุรีย์ช่วยตอบหน่อยสิคะ

    ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ยังมีคนอยู่ใช่ไหม ยังมีเสาอยู่ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ค่ะยังมีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะถึง

    ผู้ฟัง คือไม่มีชื่อนะลบชื่อออกหมดเลยลืมชื่อไปหมดอะไรที่มันปรากฏทางตาเรียกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา อันนั้นมันจะไปได้ไปได้เร็วนะฮะ

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง อันนี้ยังไม่เข้าใจนะคะ

    ผู้ฟัง สิ่งที่คุณเห็นมันปรากฏทางตาคุณใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตานั่นแหละมันเยอะแยะถ้าเผื่อคุณไปจำแนกชื่อเนี่ยคุณจะคิดไม่ออกเลยนะคะ เพราะฉะนั้นลบชื่อออกให้หมดอาจารย์ถามว่าเห็นอะไรก็ตอบอาจารย์ว่าสิ่งที่ปรากฏทางการซึ่งรวมทุกอย่างในห้องนี้แทนที่จำแนกเป็น๑๐๐ อย่างที่คุณพูดมาเดี่ยวๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั่นก็คือรวมทั้งหมดไม่มีอะไรผิดแล้วก็ไม่มีอะไรถูกมันเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ใช่ไหมค่ะเป็นสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง คุณสุรีย์ครับแต่เห็นทีไรเห็นเป็นคุณสุรีย์ทุกที

    ผู้ฟัง ก็ยังต้องค่อยๆ เป็น อย่างวันนี้วันแรกใช่ไหมค่ะที่มา เพราะฉะนั้นอันนี้ถูกต้องคุณยังเป็นอย่างนั้นอยู่ต่อไปวันที่๑๐๐ มาคูณอาจจะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ คนเก่าๆ ล่ะคะ

    ผู้ฟัง คนเก่าๆ ก็ยังเป็นอาจารย์อยู่

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่ายากแสนยากที่จะเข้าใจพระธรรมค่ะไม่ใช่ว่าบอกปุ๊บรู้ปั๊บละได้ทันที

    อ.นิภัทร พระพุทธองค์คงทรงประสงค์ให้เราแยกว่า ทางตานะหน้าที่ของเขาโดยเฉพาะแท้นั้นคืออะไร ทางตาคือเห็นอย่างเดียวเห็นอย่างเดียวเห็นอะไรก็เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างเดียวยังไม่มีอะไรทั้งนั้นส่วนที่มีอะไร เป็นเรื่องของใจ อย่างพระพุทธองค์ท่านตรัสชื่อพระอานนท์ได้พระสารีบุตรได้พระโมคลานะได้ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธองค์ท่านเห็นอะไรเห็นแต่สิ่งที่ปรากฏทางตาเฉยๆ จะไม่เห็นพระอานนท์เห็นพระสารีบุตรพระโมคลานะ พระสารีบุตรโมคลานะมีปรากฏทางใจทางอีกทวารหนึ่ง นะฮะมันมีอยู่ ๖ ทวารใช่ไหมครับ ทางตาเนี่ยเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจะไม่มีคนไม่มีสัตว์ไม่มีสิ่งของไม่มีไมโครโฟนไม่มีอะไรทั้งสิ้นเฉพาะทางต่างๆ นะฮะ

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้คุณนิภัทรถามคุณประทีปใช่ไหมคะว่าเมื่อเห็นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นไมโครโฟนโต๊ะพวกนี้มันมาจากไหนลองคิดถึงเด็กเล็กๆ นะคะ เขาสามารถจะรู้ได้ไหมเห็นได้แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นไมโครโฟนใช่ไหมคะเด็กที่เพิ่งเกิด มีตาก็เห็นแต่ว่ายังไม่สามารถที่จะรู้ความหมายของสิ่งที่เห็น เหมือนอย่างเราซึ่งค่อยๆ โตขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนะคะ แล้วก็ถูกสอนโดยสัญญาความจำจากสิ่งที่เราเห็นยังเด็กก็คงจะเห็นหน้าแม่ใช่ไหมคะแล้วก็จำไว้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 11
    5 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ