สนทนาธรรม ตอนที่ 092
ตอนที่ ๙๒
คุณสุรีย์ จิตที่มีรูปฌานเป็นอารมณ์ ได้แก่จิตระดับใด
ท่านอาจารย์ หมายความถึงจิตที่เป็นรูปฌาน
คุณสุรีย์ จิตที่เป็นรูปฌาน
ท่านอาจารย์ เพราะว่ารูปฌานมีหลายอารมณ์
คุณสุรีย์ ไม่ใช่รูปาวจรจิตนะคะ
ท่านอาจารย์ รูปาวจรจิตคือฌานจิตที่มีรูปเป็นอารมณ์ หรือมีบัญญัติเป็นอารมณ์
คุณสุรีย์ จิตที่มีอรูปา
ท่านอาจารย์ หมายความว่า ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์
คุณสุรีย์ เป็นต่อฌานอีกนิดหนึ่ง นะคะ ต่อจากอีกตัว
ท่านอาจารย์ ฌานที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ค่ะ
คุณสุรีย์ ขอบคุณค่ะ แต่นี่สรุปนะคะ กามาวจรจิตคืออะไร ง่ายๆ กามาวจรจิต
ผู้ฟัง จิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม โดยมีกามเป็นอารมณ์ค่ะ
คุณสุรีย์ โดยมีกามเป็นอารมณ์ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พระอรหันต์มีกามาวจรจิต หรือไม่ เพราะอะไร
ผู้ฟัง มีค่ะ เพราะยังท่องเที่ยวอยู่ในกามภูมิ
คุณสุรีย์ เรียนเชิญท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ พระอรหันต์เห็นไหมคะ
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ ง่ายๆ คือ จิตเห็นของพระอรหันต์ก็เป็นกามาวจรจิต จิตได้ยินของพระอรหันต์ก็เป็นกามาวจรจิต เพราะอะไร เพราะจิตเห็นมีสีเป็นอารมณ์ จิตได้ยินมีเสียงเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงปรมัตถธรรมนะคะ ต้องรู้จริงๆ ว่าจิตนั้นนะคะ มีอะไรเป็นอารมณ์อยู่ในระดับจิตใด ไม่ว่าจะเป็นของพระอรหันต์ หรือของใครก็ตามแต่ จิตใดที่เห็น จะเห็นในนรก เห็นบนสวรรค์ เห็นในรูปพรหม ก็เป็นกามาวจรจิต
พระผู้มีพระภาคก่อนที่จะปรินิพพานก็เห็น จิตเห็นของพระองค์ก็เป็นกามาวจรจิต เป็นจิตระดับที่ไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่รูปฌาน ไม่ใช่อรูปฌาน ขณะนั้นไม่ใช่โลกุตรจิต แต่จิตเห็นของปลาของนก ของคน ของเทพ ของพรหม ทั้งหมดเป็นกามาวจรจิต เพราะเหตุว่ามีกามเป็นอารมณ์
ผู้ฟัง สงสัยคะ ว่าคนที่เป็นรูปพรหมกับอรูปพรหม เขาไม่มีอกุศลจิตเลยหรอคะ
ท่านอาจารย์ ทำไมละคะ เขาเป็นพระอรหันต์ หรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้เป็น
ท่านอาจารย์ เราบอกแล้วไงคะ ผู้ที่ไม่มีกุศลจิต อกุศลจิต คือพระอรหันต์เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม
ผู้ฟัง แล้วอย่างที่เมื่อกี้ หนูตอบไปก็ยังไม่เข้าใจว่า หนังสือบอกมี ๓ ชาติ
ท่านอาจารย์ รูปาวจรกุศลจิตมี เป็นเหตุให้เกิดรูปาวจรวิบาก ทำให้ปฏิสนธิในรูปพรหมภูมิ รูปาวจรกิริยาคือฌานจิตของพระอรหันต์ ซึ่งไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในภูมิใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าพระอรหันต์เมื่อจุติ คือปรินิพพานนะคะ ไม่มีการเกิดอีกเลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชา และจรณะ ไม่ขาดตกบกพร่องทั้งในทางปัญญา และในทางของฌานสมาบัติเลย เหนือกว่าบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นฌานจิตของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชาติกิริยา เป็นกิริยาจิต แต่ชาติของบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่พระอรหันต์นะคะ เป็นกุศลฌาน เพราะฉะนั้นเมื่อบุคคลนั้นตายแล้วก็ฌานกุศลจิต เกิดก่อนจุติ ก็เป็นปัจจัยให้ฌานวิบากซึ่งเป็นผล เกิดในรูปพรหมภูมิ
คุณสุรีย์ เอ่อ คุณหมอตอบถูกแล้วนะคะ ว่า รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต มี ๓ ชาติ คือในขณะซึ่งเขายังได้อยู่ในฌาน
ผู้ฟัง อ่อ อยู่ในฌาน เมื่อเขาไปเกิดแล้วก็มี..
คุณสุรีย์ ขณะที่จิตเป็นฌาน เป็นรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต
ผู้ฟัง แล้วก็รูปาวจรวิบากนี้ก็จะเป็นของพระอรหันต์เท่านั้นไช่ไหมคะอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ค่ะ คือต้องทราบนะคะ ว่ากุศลมีหลายระดับ โดยภูมิ กุศลที่เป็นกามภูมิมี หมายความว่าให้ทาน รักษาศีล พวกนี้นะคะ เป็นกุศลซึ่งเป็นไปใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกุศลระดับกลาง เพราะฉะนั้นเป็นขั้นกามมาวจรกุศล
แต่กุศลที่พ้นจาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นความสงบของจิต ซึ่งสงบปราณีตจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ไม่เกี่ยวกับทาน ไม่เกี่ยวกับศีล ไม่เกี่ยวกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ใดๆ เลยนะคะ เป็นกุศลระดับรูปาวจรกุศลเรียกว่ารูปฌานก็ได้ ถ้าถึงอัปปนาสมาธิ
เพราะฉะนั้นกุศลนี้ ต้องเป็นเหตุให้เกิดผล แต่เขาจะไม่เกิดในกามภูมิ เพราะเหตุว่าจิตสงบถึงระดับขั้นที่พ้นจากกาม ก็จะเกิดในพรหมโลกเป็นพรหมบุคคล เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราไปเที่ยวตั้งให้ใครคนนั้นเป็นพรหม คนนี้เป็นพรหมนะคะ แต่ว่าเมื่อรูปาวจรกุศลจิตเกิดก่อนจุติ คนนั้นจะเกิดในกามภูมิไม่ได้ เกิดในสวรรค์หรือเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้ ต้องเกิดในรูปพรหมภูมิเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นกุศลระดับขั้นที่เป็นอรูปาวจรภูมิ อรูปฌานกุศลเกิดก่อนจุติ ก็เวลาที่จุติจิตดับแล้ว คนนั้นจะไปเกิดเป็นรูปพรหมก็ไม่ได้ต้องเกิดเป็นอรูปพรหมตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นรูปาวจรกุศล หรือฌานกุศลเป็นเหตุให้รูปาวจรวิบากซึ่งเป็นผลทำกิจปฏิสนธิเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลก
แต่ว่าระหว่างที่ยังเป็นมนุษย์นี่ไม่มีสิทธิ์ มีแค่เพียงรูปาวจรกุศลเกิดแต่ยังไม่เป็นพรหมบุคคล ต่อเมื่อตาย และจิตนั้นเกิดก่อนจุติ จึงจะเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลกได้
ผู้ฟัง แล้วพอเกิดเป็นพรหมบุคคลแล้ว เขาก็มีจิตทั้ง ๔ ชาติเขาใช่มั้ยคะอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นปุถุชนก็ต้องครบค่ะ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ยังครบ เว้นพระอรหันต์ไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิตเลย มีแต่วิบากจิต กิริยาจิต
ผู้ฟัง ทำไมอาจารย์บอกว่าพรหมนี่เป็นปุถุชนละคะ
ท่านอาจารย์ ทำไมละคะ ก็ไม่ใช่พระอริยะบุคคลใครก็ตามที่ไม่ใช่พระอริยะบุคคลก็เป็นปุถุชนทั้งนั้น จะเกิดที่ไหนก็ตามแต่คะ เพราะว่าเขาไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ผู้ที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท มีสิทธิ์เท่านั้นที่จะเป็นพระอริยะบุคคล ผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทเกิดที่ไหนก็เป็นปุถุชนทั้งนั้น เรียกว่าพรหมปุถุชน หรือพรหมที่เป็นพระอริยะค่ะ อริยะหรือว่าปุถุชน
คุณสุรีย์ อันนี้คำถามที่จะทวน ที่ท่านอาจารย์จะสอนเมื่อกี้นะคะ ถามคุณหมอว่า พรหมบุคคลมีอกุศลจิตหรือไม่ เพราะอะไร
ผู้ฟัง ก็ต้องมีคะ
คุณสุรีย์ เพราะอะไรคะ
ผู้ฟัง เพราะว่าเขาเป็นปุถุชนคะ ก็คือพรหมบุคคลนี้ก็ยังมีหลายระดับ อาจจะเป็นพรหมปุถุชน หรือว่าเป็นระดับพระโสดาบันจนกระทั่งถึงพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นถ้าเขาเป็นปุถุชนแล้วยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมี
คุณสุรีย์ อันนี้ก็เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์นิดหนึ่งนะคะ ว่าพรหมวิหาร ๔ นี่นะคะ เป็นคำเปรียบเทียบคือพรหมนี่ เราเข้าใจแหละว่าถ้าจิตเธอเป็นรูปาวจรจิต หรืออรูปาวจรจิต เธอก็อยู่ในลักษณะซึ่ง ซึ่งมีอัปนาสมาธิ แต่ที่บอกว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นคำเปรียบเทียบไม่ใช่เป็นของพรหมใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจความหมายของพรหมก่อนนะคะ ซึ่งหมายความถึงผู้ประเสริฐ อาจารย์จะให้ความหมายอื่นไหมคะ
อ.สมพร ความหมายที่ท่านอาจารย์พูดนั้นตรงแล้วนะครับ เพราะว่า แปลว่าประเริฐ พรหมแปลว่าประเสริฐ
คุณสุรีย์ ขอยืมเอาคำมาอุปมาอุปไมยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องขอยืม เพราะเหตุว่าความหมายเป็นอย่างนั้นค่ะ ผู้ประเสริฐก็ประเสริฐได้หลายอย่าง พรหมจรรย์ก็มี
คุณสุรีย์ แต่ไม่ใช่ตัวพรหม แต่ก็ไม่ใช่ตัวพรหม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่พรหมบุคคลค่ะ เป็นพรหมวิหารค่ะ
คุณสุรีย์ ขอบคุณค่ะ
ผู้ฟัง ขอเรียนถามตรงนี้ ต่อจากอาจารย์สุรีย์เลยนะคะ เพราะว่าบังเอิญได้ยินการแสดงธรรมทางวิทยุนะคะ ไม่ใช่ของอาจารย์สุจินต์นะคะ เขาแสดงว่าตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วยังไม่แสดงธรรมจนกระทั่งมีพระพรหม มาอาราธนาขอทูลขอให้ท่านแสดงธรรม ท่านจึงได้แสดงตรงนี้ก็ในคำเทศน์นั้นบอกว่าที่ เขาบอกว่าเป็นพระพรหมมาอาราธนานั่น หมายถึงว่าเป็นพรหมวิหาร ๔ ของพระพุทธเจ้าเอง ไม่ใช่มีพระพรหมอะไรมาขอให้ท่านแสดง
ท่านอาจารย์ คะ อันนี้ไม่ตามพระไตรปิฏก
ผู้ฟัง แสดงว่ามีพระพรหมมาจริงๆ
ท่านอาจารย์ ตามพระไตรปิฏก มีค่ะ
ผู้ฟัง มีท้าวสหัมบดีพรหม มีชื่อด้วย
อ.สมพร พรหมอย่างที่อาจารย์ว่านะ ถูกแล้ว พระพรหมจริงๆ นะครับ ลงมาอาราธนา อันนี้เป็นนิยามธรรม เพราะว่าเพื่อให้เห็นว่าธรรมเป็นของสูงสุด ไม่ใช่ว่าเป็นของง่ายๆ กว่าจะตรัสรู้ก็บำเพ็ญบารมีมามากมาย ให้เห็นความยาก พระองค์ไม่ใช่ว่ามีจิตขาดเมตตา หรือกรุณา แต่พิจารณาถึงธรรมว่าเป็นของลึกซึ้งยากเหลือเกิน ในขณะนั้นพรหมนะ เป็นพระพรหมก็มีความคิดว่า แหมถ้าธรรมนี่พระองคไม่แสดงไม่เผยแพร่ โลกก็จะพินาศ ก็ลงมาอาราธนา
เป็นธรรมนิยามอย่างนั้นเองนะครับ ทุกๆ พระองค์จะต้องเป็นอย่างนั้นเพื่อยกย่องทำให้เห็นว่าธรรมเป็นของสูง ไม่ใช่ของที่ได้มาง่ายๆ นะครับ
ผู้ฟัง คำถามนี้ ก็สืบเนื่องจากเรื่องเกี่ยวกับโลกุตรภูมิที่อาจารย์ อาจารย์กล่าวไว้นะคะ ว่าเป็น อาจารย์พูดว่าไม่มีที่เกิด ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นภูมิที่เกิด อย่างมนุษย์หรือสวรรค์ค่ะ เป็นระดับขั้นของจิต ซึ่งดับสังสารวัฏ
ผู้ฟัง คะ เพราะฉะนั้นก็เป็นระดับขั้น..
ท่านอาจารย์ ไม่จำกัดว่าโลกุตตรจิตนี้ต้องไปเกิดบนสวรรค์ หรือบนพรหมโลก หรือในมนุษย์ เกิดที่ไหนก็ได้ แต่ที่เป็นสุคติภูมิ แต่ก็ต้องเว้นนะคะ ต่อไปศึกษาจะทราบว่าโสตาปัตติมัคไม่เกิดในอรูปพรหมภูมิ
ผู้ฟัง คะ ขอบพระคุณคะ
ผู้ฟัง กราบเรียนถามเลยค่ะ ว่าโลกุตตรจิตนี่คะ มีคำตอบก็คือมีกุศลกับวิบากนะคะและที่ไม่มีก็คือไม่มีชาติกิริยากับอกุศลนะคะ ตอนนี้ชาติอกุศล ไม่มีก็ไม่สงสัย ตอนนี้ชาติกิริยานะคะ
ท่านอาจารย์ คุณบงคิดถึงคน หรือคิดถึงจิต
ผูฟัง ต้องเป็นจิตใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ เวลานี้เรากำลังพูดถึงจิตนะคะ ว่าจิตแต่ละขณะแต่ละขณะนี่ค่ะ เป็นภูมิหรือว่าระดับขั้นไหน เราไม่ได้พูดถึงคนเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงกามาวจรจิต หมายความถึงจิตทุกประเภทที่เป็นไปกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ว่าจะเป็นจิตของใครทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นเวลานี้เอาคนออก แต่ว่ากำลังพูดถึงจิตระดับต่างๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ว่าจิตคะ มีมากมายตั้งแต่ ๘๙ ชนิด และใน ๘๙ ชนิดนี่คะ ก็แบ่งเป็นภูมิต่างๆ เพราะเหตุว่ามีภูมิ หรือระดับขั้นของจิตถึง ๔ ขั้น ขั้นต้นที่สุด คือกามาวจรจิตได้แก่จิตซึ่งเป็นไปใน รูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ มีใครบ้างไหมคะที่ไม่มีกามาวจรจิต
ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แน่ใจนะคะ
ผู้ฟัง แน่ใจค่ะ พระพุทธเจ้ามีไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราพูดถึงจิต ว่าจิตใดก็ตามที่เป็นจิตเห็น ขณะนั้นเป็น กามาวจรจิต จิตได้ยินเป็นกามาวจรจิต จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แม้แต่จิตที่คิดนึกเป็นไปกับเรื่องราวของ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นะคะ ก็เป็นจิตระดับที่เป็นกามาวจรจิต คุณบงมีจิตอะไรนอกจากกามาวจรจิต
ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ใครมีไหมคะ นอกจากกามาวจรจิต มีใครที่มีจิตระดับที่ไม่ใช่กามาวจรจิตบ้าง มีไหมคะ แปลว่าทุกคนที่นี่ ไม่ใช่บุคคลที่ได้ฌาน ขั้นรูปฌาน หรืออรูปฌาน หรือโลกุตตรจิตเกิด จึงกล่าวว่าขณะนี้นะคะ เป็นกามาวจรจิต เพราะว่ากำลังเห็น
ใครก็ตามเป็นพระอรหันต์ เป็นพระโสดาบันเป็น พระสกทาคามี เป็นใครก็ตามแต่ จิตเห็นเกิดขึ้นขณะใด จิตเห็นเป็นกามาวจรจิต เป็นจิตระดับกามภูมิ ก็ไม่มีข้อสงสัยในเรื่อง ภูมิทั้ง ๔ ใช่ไหมคะ ว่าจิต ๘๙ ดวง จำแนกออกเป็น ๔ ภูมิ กามาวจรจิตเป็นโลกุตตรจิตได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นรูปาวจรจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นอรูปาวจรจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ รูปาวจรจิตเป็นกามาวจรจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ รูปาวจรจิตเป็นอรูปาวจรจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้คะ
ท่านอาจารย์ เป็นโลกุตตระจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แสดงว่าจิตนี่นะคะ หนึ่งขณะที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นภูมิหนึ่ง ภูมิใดใน ๔ ภูมิ ซึ่งสับสนปะปนกันไม่ได้เลย เพราะว่าจิตมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป คะ ใครยังสงสัยเรื่องภูมิไหมคะ ถ้าไม่สงสัยจะได้ต่อไปเลย ถ้าสงสัยก็จะได้ ให้หายสงสัย เพราะว่าเราจะไปพร้อมๆ กันทุกคนค่ะ
คุณสุรีย์ ตอนนี้เอาจิตกับคนมาปนกันหน่อยนะคะ ถามคุณบ่งว่า จิตของคุณเป็นจิตระดับขั้นใด
ผู้ฟัง กามาวจรจิตค่ะ
คุณสุรีย์ เป็นกามาวจรจิต เพราะฉะนั้นมีกี่ชาติ
ผู้ฟัง มี ๔ ชาติอะไรบ้าง กุศล อกุศล วิบาก กิริยาค่ะ
คุณสุรีย์ อกุศลจิตคืออะไร
ผู้ฟัง อกุศลจิต คือจิตที่ไม่ดีงามคะ
คุณสุรีย์ ให้ผลเป็นทุกข์ นะค่ะ
ท่านอาจารย์ ถามขยายไปอีกนิดนะคะ อกุศลจิตเป็นจิตที่ไม่ดี เป็นชาติอะไร
ผู้ฟัง เป็นชาติอกุศลค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นวิบากได้ไหม
ผู้ฟัง เป็นไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นกิริยาได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้คะ
ท่านอาจารย์ เป็นกุศลไม่ได้ค่ะ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าจิตใดเป็นอกุศลเกิดขึ้น และดับไป เปลี่ยนชาติไม่ได้ เปลี่ยนภูมิไม่ได้ ถ้าเป็นกามาวจรจิตก็เป็นกามาวจรจิต แต่กามาวจรจิตที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นวิบากคือผลของอกุศล และกุศลก็มี และที่เป็นกิริยาก็มี แต่จิตใดเป็นอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นนะคะ ไม่สับสน
คุณสุรีย์ ขอบพระคุณค่ะ เออ..ที่ว่าอกุศลจิตเป็นจิตที่ไม่ดีงาม ให้ผลเป็นทุกข์ เพราะอกุศลจิตนั้นประกอบด้วยอะไร
ผู้ฟัง ประกอบด้วยหรอคะ
คุณสุรีย์ ที่มีลักษณะ ๔ เขาจะเป็นจิตได้เขาต้องประกอบด้วยอะไร
ผู้ฟัง อ่อ ประกอบด้วยเจตสิก
คุณสุรีย์ เจตสิกที่เป็นอะไรด้วย
ผู้ฟัง เป็นฝ่ายอกุศล
คุณสุรีย์ เป็นฝ่ายอกุศลด้วย
ผู้ฟัง อกุศลเจตสิกประกอบร่วมด้วยค่ะ
คุณสุรีย์ มีอกุศลจิตนะคะ เขามีอกุศลจิตประกอบแล้วนะคะ มีอกุศลเจตสิกประกอบกับจิต อกุศลจิตแล้ว อกุศลเจตสิกได้แก่ โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก เป็นอกุศลเหตุ หรือเป็นอกุศลมูล ถามว่ามูลคือต้นเหตุของอกุศลกรรมทั้งหลายมี ๓ ได้แก่อะไรบ้าง
ผู้ฟัง ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ
คุณสุรีย์ โลภะอะไร ให้พูดให้เต็ม
ผู้ฟัง โลภะเหตุ
คุณสุรีย์ โลภะเหตุ หรือโลภะเจตสิก ถูกไหมคะ ต่อไปคะ แล้วโทสะละ
ผู้ฟัง โทสะเจตสิกหรือโทสะเหตุนะคะ โมหะเจตสิก หรือโมหะเหตุคะ
คุณสุรีย์ หรือโมหะมูลก็ได้ใช่ไหมคะ หรือมูลก็ได้นะคะ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ ขอคั่นนิดหน่อยนะคะ จะได้ไม่ไปเร็วเกินไป เพราะว่าถามแล้วก็ตอบแต่ว่าบางทียังไม่หายสงสัยก็ได้ เชิญคุณวีระถามสัก ๒ - ๓ คำถามสิคะ
คุณวีระ เหตุที่เป็นอกุศลนี้ มีเท่าไหร่นะครับ คุณบุษบง เหตุที่เป็นอกุศลมีเท่าไหร่
ผู้ฟัง มี ๓ คะ
คุณวีระ ครับ โสภณเหตุ ที่..มันไม่ใช่
ท่านอาจารย์ คะ วันนี้เราจะเอาแค่อกุศลเหตุก่อน เพราะกำลังจะพูดถึงอกุศลจิตนะคะ คุณบงค่ะ จิตเป็นเหตุได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เหตุเป็นจิตได้ไหม
ผู้ฟัง เหตุเป็นจิตก็ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แน่ใจนะคะ
ผู้ฟัง แน่ใจค่ะ
ท่านอาจารย์ เหตุต้องเป็นปรมัตถธรรมอะไรคะ
ผู้ฟัง เจตสิกคะ
ท่านอาจารย์ อกุศลเหตุมีเท่าไหร่
ผู้ฟัง มี ๓ ค่ะ
ท่านอาจารย์ เหตุที่เป็นกุศลมีไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ เหตุที่เป็นวิบากมีไหมค่ะ
ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ
คุณวีระ เหตุที่เป็นวิบากมีไหมครับ
ผู้ฟัง ต้องบอกว่ามีเหตุ ๖ นะคะ
คุณวีระ เหตุมีชาติไหมครับ
ผู้ฟัง เหตุมีชาติคะ เพราะฉะนั้น ถ้าเหตุไปเกิดกับชาติใด ก็เป็นชาตินั้น เลยไม่ทราบจะบอกว่า..
ท่านอาจารย์ เหตุที่เป็นวิบากมีไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่มี
คุณวีระ ทำไม เหตุคือจิตหรือเจตสิกครับ
ผู้ฟัง เหตุคือเจตสิกคะ
คุณวีระ เจตสิกที่เกิดกับจิตที่เป็นวิบากมีชาติอะไรครับ
ผู้ฟัง อ๋อ ก็เป็นชาติวิบาก ก็ตอบว่าเหตุมีชาติ
ท่านอาจารย์ เหตุที่เป็นวิบากมีไหมคะ
ผู้ฟัง มีคะ
ท่านอาจารย์ เหตุที่เป็นกิริยามีไหมคะ
ผู้ฟัง มีคะ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ใครไม่มีกุศลบ้าง ค่ะ
ผู้ฟัง มีบ้าง ไม่มีบ้าง
ท่านอาจารย์ ถูกหรือผิดคะ คำตอบว่ามีบ้างไม่มีบ้าง ใครว่าถูกบ้างคะ มีบ้างไม่มีบ้าง ที่ไม่ยกมือหมายความว่าผิดนะคะ หรือไงคะ มีบ้างไม่มีบ้างเพราะอะไรคะ เพราะเห็นมี เห็นไม่ใช่โลภมูลจิต เพราะฉะนั้นมีวิบากจิตที่เห็น มีวิบากจิตที่ได้ยิน แต่ว่าหลังจากที่วิบากจิตดับไปแล้ว แล้วแต่ว่ากุศลจิตจะเกิด หรือว่าอกุศลจิตจะเกิด
เพราะฉะนั้นที่จะตอบว่า ขณะนี้ใครไม่มีกุศล ก็คงจะมีกุศลกันทุกคน แต่ก็ไม่ได้มีแต่กุศลอย่างเดียว วิบากจิตก็มีแน่นอน เพราะว่าจะต้องมีการเห็น การได้ยิน ที่เราจะพ้นไปจากวิบากในวันหนึ่งๆ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเกิดมาก็เป็นผลของกรรม แล้วก็ระหว่างที่ยังไม่จุติคือตายก็จะต้องมีการได้รับผลของกรรม คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเท่านั้นก่อนนะคะ โดยย่อ หลังจากนั้นแล้วไม่ใช่วิบากแล้วค่ะ
เพราะฉะนั้นที่กำลังฟัง หลังจากที่ได้ยินแล้วกุศลจิตเกิด หรืออกุศลจิตเกิด ซึ่งเร็วมากถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะก็ตอบตามตำรา แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะคะ สามารถที่จะรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนก่อนที่จะรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นสภาพธรรมประเภทใด เพราะเหตุว่าต้องเห็นความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรมจริงๆ เสียก่อน
เพราะฉะนั้นคำตอบที่ว่า ไม่ใช่มีแต่กุศลไม่ใช่มีแต่อกุศลนะคะ มีวิบากจิตด้วย และต่อไปก็จะทราบว่ามีกิริยาจิตด้วยเหมือนกัน ครบ ๔ ชาติ สำหรับผู้ที่เป็น เสกขบุคคลหรือเป็นปุถุชนแต่ว่าถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็มีเพียง ๒ ชาติเท่านั้น ไม่มีทั้งกุศลไม่มีทั้งอกุศล
คุณสุรีย์ ถามคุณหมอนะคะ จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ได้กี่ทวาร
ผู้ฟัง ๖ ทวารคะ
คุณสุรีย์ หรือ ๖ ทางนะคะ ได้แก่อะไรบ้าง
ผู้ฟัง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจค่ะ
คุณสุรีย์ เพราะฉะนั้นโลภมูลจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ได้กี่ทวาร
ผู้ฟัง ๖ ทวารค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ ขอถามนิดหนึ่งนะคะ จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ได้ค่ะอาจารย์
ท่านอาจารย์ โลภะเกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารได้ไหม
ผู้ฟัง โลภะ ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้นะคะ จิตชาติไหนเท่านั้น ทำไมล่ะคะ
ผู้ฟัง ขอตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจ
ท่านอาจารย์ นั้นน่ะสิคะ ต้องมีความมั่นใจอย่างมากๆ ทีเดียวนะคะ เวลาศึกษาพระธรรมนี่คะ เพราะว่าพระธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลยค่ะ ธรรมเป็นอย่างไรเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจอย่างมั่นคง
ผู้ฟัง เกิดขึ้นได้ ๖ ทางเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีทวาร หรือไม่มีทาง ก็ไม่น่าจะเกิดได้
ท่านอาจารย์ จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ก่อนอื่นนะคะ จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ไม่พูดถึงทวารเลย ถ้ามีจิตเกิดต้องรู้อารมณ์ ไม่ต้องพูดถึงทาง กำลังนอนหลับสนิท ไม่ได้รู้อารมณ์ทางตาคือไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่ได้คิดนึก คือไม่ฝันด้วย แต่ยังมีจิต
เพราะฉะนั้นจิตขณะนั้นนะคะ ต้องรู้อารมณ์เพราะเหตุว่าเป็นจิต แต่ไม่ได้อาศัยทวาร ๑ ทวารใดใน ๖ ทวารเลย นี่เป็นความเข้าใจซึ่งต้องมั่นคงค่ะ แล้วก็อย่าหลงลืม แล้วก็อย่าสับสน ต้องเข้าใจจริงๆ ตามขั้นคือ จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ไม่ต้องพูดถึงทวาร แต่ว่าเวลาพูดถึงโลภมูลจิต เมื่อกี้นี้ตอบแล้วใช่ไหมคะ ว่าโลภมูลจิตเกิดทางตา คือเห็นเป็นวิบาก หลังจากวิบากจิตที่เห็นดับแล้ว เกิดความติดข้องในสิ่งที่เห็น เป็นโลภมูลจิต
ขณะที่ได้ยิน ต้องได้ยินค่ะ เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมที่ทำให้ โสตปสาทรูปเกิดเป็นกัมมชรูป คือรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน แล้วก็ถึงกาละที่จะต้องรับผลของกรรมก็มีเสียงเกิดปรากฏกระทบกับโสตประสาท จิตได้ยินเกิดขึ้นรับผลของกรรมไม่มีใครยับยั้งได้นะคะ ใครจะได้ยินเสียงอะไร วันไหน ยังไง ไม่มีทางเลยค่ะ
ให้ทราบว่านี่คือธรรมที่เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ให้รู้ว่าไม่ใช่เราที่ได้ยิน แต่เป็นกรรมที่ทำให้มีโสตปสาทรูปเกิด และถึงกาละที่โสตวิญญาณ คือจิตได้ยินเกิดขึ้น เป็นผลของกรรม ๑ กรรมใด ก็จะต้องมีเสียงกระทบกับโสตปสาท แล้ววิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมนะคะ ก็เกิดขึ้นถ้าเป็นเสียงที่ดี ก็เป็นกุศลวิบากจิตคือผลของกรรมดี
ถ้าเป็นเสียงที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจก็เป็นผลของอกุศลกรรม ที่ได้ทำให้จิตที่ได้ยินเสียงที่ไม่ดีเกิดขึ้น เท่านั้นนะคะ ได้ยินเท่านั้นแล้วดับ ต่อจากนั้นกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็เกิดต่อ นี้เป็นเรื่องที่จะต้องแยกชีวิตประจำวันให้เห็นจริงๆ ว่าไม่มีเราเพราะอะไร เพราะมีจิตประเภทต่างๆ แล้วก็ชาติต่างๆ
- สนทนาธรรม ตอนที่ 061
- สนทนาธรรม ตอนที่ 062
- สนทนาธรรม ตอนที่ 063
- สนทนาธรรม ตอนที่ 064
- สนทนาธรรม ตอนที่ 065
- สนทนาธรรม ตอนที่ 066
- สนทนาธรรม ตอนที่ 067
- สนทนาธรรม ตอนที่ 068
- สนทนาธรรม ตอนที่ 069
- สนทนาธรรม ตอนที่ 070
- สนทนาธรรม ตอนที่ 071
- สนทนาธรรม ตอนที่ 072
- สนทนาธรรม ตอนที่ 073
- สนทนาธรรม ตอนที่ 074
- สนทนาธรรม ตอนที่ 075
- สนทนาธรรม ตอนที่ 076
- สนทนาธรรม ตอนที่ 077
- สนทนาธรรม ตอนที่ 078
- สนทนาธรรม ตอนที่ 079
- สนทนาธรรม ตอนที่ 080
- สนทนาธรรม ตอนที่ 081
- สนทนาธรรม ตอนที่ 082
- สนทนาธรรม ตอนที่ 083
- สนทนาธรรม ตอนที่ 084
- สนทนาธรรม ตอนที่ 085
- สนทนาธรรม ตอนที่ 086
- สนทนาธรรม ตอนที่ 087
- สนทนาธรรม ตอนที่ 088
- สนทนาธรรม ตอนที่ 089
- สนทนาธรรม ตอนที่ 090
- สนทนาธรรม ตอนที่ 091
- สนทนาธรรม ตอนที่ 092
- สนทนาธรรม ตอนที่ 093
- สนทนาธรรม ตอนที่ 094
- สนทนาธรรม ตอนที่ 095
- สนทนาธรรม ตอนที่ 096
- สนทนาธรรม ตอนที่ 097
- สนทนาธรรม ตอนที่ 098
- สนทนาธรรม ตอนที่ 099
- สนทนาธรรม ตอนที่ 100
- สนทนาธรรม ตอนที่ 101
- สนทนาธรรม ตอนที่ 102
- สนทนาธรรม ตอนที่ 103
- สนทนาธรรม ตอนที่ 104
- สนทนาธรรม ตอนที่ 105
- สนทนาธรรม ตอนที่ 106
- สนทนาธรรม ตอนที่ 107
- สนทนาธรรม ตอนที่ 108
- สนทนาธรรม ตอนที่ 109
- สนทนาธรรม ตอนที่ 110
- สนทนาธรรม ตอนที่ 111
- สนทนาธรรม ตอนที่ 112
- สนทนาธรรม ตอนที่ 113
- สนทนาธรรม ตอนที่ 114
- สนทนาธรรม ตอนที่ 115
- สนทนาธรรม ตอนที่ 116
- สนทนาธรรม ตอนที่ 117
- สนทนาธรรม ตอนที่ 118
- สนทนาธรรม ตอนที่ 119
- สนทนาธรรม ตอนที่ 120