สนทนาธรรม ตอนที่ 096


    ตอนที่ ๙๖


    ท่านอาจารย์ จริงค่ะ บางคน มีกุศลจิต แต่ว่าอ่อนมาก น้อยมาก เพราะว่าไม่มีความรู้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีพระปัญญาคุณอย่างไร หรือว่า ธรรมทั้งหลายที่ได้ฟังเนี่ย ต้องเป็นสิ่งที่ศึกษา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประมาทว่า ไม่เรียนก็เข้าใจได้ หรือไม่ประมาทว่า ไม่ลึกซึ้งอะไร อะไรๆ ก็ถูกทั้งหมด อย่างนี้แสดงให้เห็นว่า เราประมาทจริงๆ นะคะ เราไม่สามารถที่จะแยกพระปัญญาคุณ ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาจนกระทั่งสามารถที่จะให้ทุกคนที่ศึกษา และประพฤติปฏิบัติตามอย่างละเอียดอย่างถูกต้อง สามารถที่จะรู้แจ้งสัจธรรมได้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็น่าที่จะคิดว่า การที่แต่ละคนเนี่ย มีพระพุทธรูป สำหรับระลึกถึงพระคุณซึ่งทุกบ้านมี ที่บ้านดิฉันก็มี บนหัวนอนก็มี สำหรับระลึกถึงพระพุทธคุณ แล้วก็จะได้มีโอกาสที่จะเช็ดถูปัดกวาดอะไร ก็เป็นกุศลจิตอีกอย่าง หนึ่ง ก็แล้วแต่ศรัทธาหรือว่าการสะสมมา แต่ไม่ใช่สำหรับติดค่ะ นี้แสดงให้เห็นว่าเราต้องมีความเข้าใจจริงๆ นะคะ ถึงไม่ใช่พระพุทธรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องสร้าง ต้องเสียเงิน เพียงต้นโพธิ์เนี่ย ก็ทำให้เราเกิดกุศลจิตได้ ถ้าเรามีปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะทิ้งนะคะ การที่มีศีลพตปรามาส ในเรื่องพระพุทธรูป ก็จะเป็นความเห็นถูกที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะแต่ละคนก็มีชีวิตที่สั้นมาก และจะไม่เป็นคนได้อีกต่อไป ต่อจะให้ใครสรรเสริญ ใครจะติเตียนยังไงก็หมดความเป็นคนนี้แล้ว เป็นคนอื่นต่อไปแล้วไม่ต้องมากังวลห่วงใย

    ผู้ฟัง ครับ คือมันยากจริง

    ท่านอาจารย์ แต่ธรรม ไม่ใช่เพื่อใครรักใครชังนะคะ คือความจริงค่ะ

    ผู้ฟัง ครับ อย่างที่เคยอ่านในพระสูตรว่า คนนึงเขาเห็นท่อนอ้อยดี ก็เอาท่อนอ้อยไป พอเข้าไปเจอทองก็ยังเอาท่อนอ้อยไปอีก เดี๋ยวทองก็เอาไปด้วยอย่างเงี้ย ผมก็ว่าผมก็ยังเป็นลักษณะอย่างนั้นอยู่

    ท่านอาจารย์ อ้อยก็มีประโยชน์ ทองก็มีประโยชน์ อ้อยกับทองก็เอาไปสิค่ะ แต่ความเห็นผิดไม่ควรจะเอาไป

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณครับ

    ผู้ฟัง ไม่รู้ว่าจะบอกให้ท่านผู้ฟังยังไงว่า การที่เราจะสังเกตให้เห็นว่ารูป ขณะรูปกำลังกระทบตานั้นเนี่ย สามารถที่จะประจักษ์แจ้ง การเกิดของรูปที่กระทบตานั้นได้ ปัจจุบันนี้ถ้าหากว่ามีความสงบจริงๆ แล้ว น่าจะสามารถที่จะเห็นได้ รู้ได้ ประจักษ์แจ้งได้ ผมก็มีความเห็นในเรื่องรูปแค่นี้ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ถามนิดนึงนะคะ เพราะว่าได้ยินคุณประสงค์พูดถึงเรื่องว่ารูปปรมัตถ์เนี่ย ปรากฏยาก

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว กำลังปรากฏยาก หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ สีสันวัณณะ ขณะนี้กำลังปรากฏอย่างเนี้ยค่ะ ยากไหมคะ การปรากฏของสีสันวรรณะ ยากหรือเปล่า

    ผู้ฟัง การปรากฏของสีสัน

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ที่กำลังปรากฏนี่ ยาก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าสีอย่างเดียวปรากฎนี่ สามารถที่จะ

    ท่านอาจารย์ พูดถึงเวลานี้นะคะ ที่คุณประสงค์บอกว่า ปรมัตถธรรมปรากฏยากเวลานี้ค่ะ สิ่งที่กำลังปรากฏเนี่ย เป็นธรรมเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตานี่ เป็นตัวปรมัตถ์ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คนเนี่ยจะไปแสวงหา จะไปทำอย่างอื่นนะคะ แทนที่จะฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏเนี่ยให้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะทำให้มีการระลึกได้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ไม่สามารถเลยที่จะมีการระลึกได้ถูกต้อง ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปัญญาจะต้องรู้คือสิ่งที่กำลังปรากฏนี้เอง ที่ปัญญาจะต้องค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น เพราะฉะนั้นที่บอกว่าปรมัตถธรรมปรากฏยาก หมายความว่ายังไงคะ เพราะเหตุว่าขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ปรากฏยากรึเปล่า

    ผู้ฟัง โดยความหมาย ถ้าปัจจุบันนี้ ถ้ามองเห็น มองเห็นในรูปปรมัตถ์ โดยที่เรายังไม่เข้าใจนะครับ ไม่สามารถที่จะใช้ภาษาได้ อย่างถูกต้อง สมมุติว่าผมเห็นสีเหลือง ผมก็จะบอกว่าเป็นสีเหลือง บอกไปเป็นความหมายไปเลยครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉันนั้นรูปนะคะ เขาไม่เกี่ยวข้องเลยค่ะรูปปรากฏเป็นของธรรมดาธรรมชาติ จะไม่ให้รูปปรากฏก็ไม่ได้ แต่รูปจะปรากฏเฉพาะกับนามธรรม รูปในป่า ไม่มีใครไปเห็น รูปก็ยังคงเป็นรูปแต่ไม่ปรากฏ แต่ขณะนี้นะคะ รูปกำลังปรากฏกับจิตเห็นแน่นอนที่สุดคือ ต้องมีจิตเห็น ถ้าไม่มีจิตเห็นคือใครสักคนหนึ่ง ตาบอด สีสันวรรณะขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นนี่เป็นเรื่องของปรมัตถธรรมนะคะ แต่ว่าความไม่รู้ต่างหาก ทั้งๆ ที่ปรมัตถธรรมเป็นปรมัตถธรรม แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นการฟังให้เข้าใจ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการฟังนะคะ ใครจะคิดได้ ว่าขณะนี้ไม่ใช่ตัวตนไม่มีใครเลย แต่มีปรมัตถธรรมทางตา กำลังปรากฏอย่างหนึ่ง ทางหูกำลังปรากฏอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ทุกคนนะคะ ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ต้องฟังพระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ ถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรมเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครไปเปลี่ยนปรมัตถธรรมได้ แต่ความรู้กับความไม่รู้นั้น ต่างกันก่อนฟังธรรมเป็นความไม่รู้เรื่องปรมัตถธรรม ตัวปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏแต่เมื่อฟังธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าสติจะมีการระลึกแล้วก็ค่อยๆ รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ตรงตามที่เคยได้ฟัง นี่คือการอบรมเจริญปัญญา แต่ไม่ใช่ว่าปรมัตถธรรมปรากฏยาก แต่ความรู้ความเข้าใจยาก ที่จะต้องค่อยๆ อบรมไป แต่ปรมัตถธรรมไม่เกี่ยวกับใครเลยคะ เสียงก็เป็นเสียงใครจะได้ยิน หรือไม่ได้ยินเสียงก็เกิดขึ้น แต่ว่าเวลาจิตได้ยินก็เป็นจิตได้ยินเสียงเป็นของธรรมดาแต่ปัญญาที่จะรู้ถูกไม่ใช่รู้อย่างอื่น รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมให้รู้ว่า ความจริงแล้วไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการเห็นปรมัตถ์ จากที่ผมพูดไปเมื่อกี้ว่า

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรม ที่ว่า ปรมัตถธรรมเกิดยาก ไม่ใช่ปรมัตถธรรมเกิดยากความรู้ความเข้าใจปรมัตถธรรมต่างหากที่ยาก เพราะเหตุว่าเมื่อมีปรมัตถธรรม ที่ปรากฏก็แสดงว่า มีเหตุปัจจัยให้ปรมัตถธรรมนั้นปรากฏ เป็นของธรรมดาใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้

    ผู้ฟัง คุณประสงค์เห็นด้วยกับที่อาจารย์พูดมั้ย คือที่พูดว่า ปรมัตถธรรมปรากฏยาก หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงอะไรเนี่ย มันไม่ได้ปรากฏยากเลย มันมีอยู่ตลอดเวลาครับ ที่ยากนั่น คือเราไม่รู้ขาดตัวเนี่ยครับ

    ผู้ฟัง ครับ ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้บังอยู่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ความไม่รู้คือเราไม่รู้ว่านี่เป็นปรมัตถธรรม เราก็เลยไปเหมาว่าปรมัตถธรรมปรากฏยาก มันไม่ยากครับ มันปรากฏอยู่ตลอดเวลาที่ยากนะ คือเราไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องอบรมอันเนี้ย ให้ปรากฏให้เกิดขึ้นให้ได้ครับ อบรมไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไม่ใช่ไปนั่งให้คิดเอานะ ต้องฟังจนศึกษาตามแนวทางที่อาจารย์ ช่วยแนะพวกเราอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่า มันปรากฏยาก ต้องไปนั่งที่เงียบๆ ไปนั่งคนเดียวที่โดดเดี่ยว แล้วก็หาเพราะมันยาก ต้องหาให้เจอ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น มีอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะยืนจะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะพูด จะคิดจะสนทนา จะอะไร ขณะนี้ก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา ที่มันยากนะคือความรู้ความเข้าใจเนี่ย นี่แหละมันยาก เพราะฉะนั้นเราต้องมาศึกษามาเรียนกันเพื่อจะให้เกิดอันนี้ขึ้นมา จะได้รู้ของจริงที่มันปรากฏอยู่ ปรากฏให้รู้ก็ไม่รู้ เนี่ยมันยากอย่างงี้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมปรากฏยากนะครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เชิญคุณไพศาล ค่ะ

    ผู้ฟัง มีคำถาม คำ สองคำ คำว่ารู้ กับ คำว่าคิด อยู่นะฮะ คิดว่าสิ่งที่รูนี่ อะไรรู้ และสิ่งที่คิดนี่ คืออะไรคิดเพราะว่า มีคำถาม ผมไม่ทราบคุณผู้หญิงกำลังบอกว่า ในขณะที่คุณผู้หญิงคน หนึ่ง ได้ยินเสียงอาจารย์พูด แล้วก็ ในขณะที่ตากำลังมองอยู่ แล้วอาจารย์พยายาม บอกว่าอยากให้แยกความรู้กับความคิดออกจากกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะคะ แต่ให้เข้าใจตามความเป็นจริงค่ะ คือคำถามของคุณบุษบงเนี่ย ถามว่า ขณะที่ได้ยินเสียงนี่ สีที่จะกระทบตาบ้างมั้ย มีความสงสัยอย่างนั้น นี่คือความคิดใช่ไหมคะเรื่องเสียง เรื่องตาเรืองสี ที่จะกระทบทั้งหมด นี้เป็นความคิด เพราะว่าถ้าไม่ใช่ความคิด คือสภาพธรรมกำลังปรากฏให้เห็น ขณะที่จิตเห็นเนี่ยไม่ได้คิดค่ะ เพียงเห็นคิดอะไร ยังไม่ทันจะคิดแต่เห็นแล้ว เหมือนกับทางหูนะคะ เสียงกระทบ ได้ยิน ยังไม่ได้คิดเลย ต้องให้ทราบจริงๆ ว่าได้ยินไม่ใช่คิด ถึงความหมายของคำ หรือเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าเราเนี่ย ไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักโลก เพราะเหตุว่าเกิดมาก็เป็นธรรมแต่เพราะความไม่รู้จึงเป็นเราไปหมด คือจิตเกิด ปฏิสนธิจิตก็เป็นเราเกิด ขณะที่ไม่เห็นไม่ได้ยิน กำลังหลับสนิท ก็ไม่ใช่เราอีก แต่เป็นจิตที่ทำกิจภวังค์ และเวลาที่จิตเกิดขึ้นไม่ใช่ภวังค์แล้ว เห็นแล้ว นี่พูดอย่างย่อ ไม่พูดถึงวิถีจิต เพราะเหตุว่าถ้าอ่านในพระสูตรนั้น จะเห็นได้ว่าต่างกับพระอภิธรรมที่ว่า ไม่แสดงวาระของจิต ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชนจิต สัมปฏิฉันนจิต สันตีรณจิต โดยพระสูตรจะไม่มีเลยแต่ว่า ผู้ที่ฟังเนี่ยสามารถจะพิจารณาเข้าใจสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ เพราะจริงๆ แล้วนะคะ ไม่ใช่มีจิตเห็นเท่านั้นนะคะ ภวังคจิตก็มี ปัญจทวาราวัชชนจิตก็มี สัมปฏิฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพนะ มีหมด แต่ว่าไม่ได้ปรากฏ แต่ว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้นะคะ ที่จะต้องรู้ว่า เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ใช้คำว่าอนัตตา พระพุทธศาสนาใช้คำว่าธรรมซึ่งต่างกับศาสนาอื่นศาสนาอื่นจะไม่พูดเรื่องปรมัตถธรรม หรือธรรม เพราะไม่รู้จริงในลักษณะของธรรม แต่ผู้ที่รู้จริง รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละชนิด เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ ว่าธรรมต่างกันเป็น สอง อย่าง ฟังไปอย่างเนี่ย เหมือนกับเรื่องง่ายนะคะ แต่ผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้าต้องประจักษ์แจ้งลักษณะที่ต่างกัน ของสภาพธรรม สอง อย่าง คือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ ไม่ได้ใช้คำว่าคิด แล้วก็สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทีนี้ เราลองคิดถึงคำว่ารู้ รู้ที่นี่คือรู้อะไร โต๊ะ เก้าอี้ รู้มั้ย

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะโต๊ะรู้มั้ยค่ะ โต๊ะเห็นมั้ย เพราะฉะนั้น เห็นเป็นสภาพรู้ใช่มั้ย

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ เนี่ยค่ะคือ กว่าเราจะเข้าใจถึงลักษณะที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างเลยสีสันวรรณะปรากฏ มีลักษณะของสัสันปรากฏให้จิตรู้ค่ะ เพราะฉะนั้น มีธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุรู้สามารถที่จะเห็น ธาตุรู้เนี่ย เห็น คือรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เราใช้คำว่ารู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นปัญญา หรือไม่ได้หมายความว่าเป็นคิดนึก รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่ากำลังเห็น ขณะนี้ที่กำลังเห็นเนี่ย รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะกำลังเห็น นั่นคือนามธรรม แต่รูปธรรม ไม่รู้อะไรเลยขณะที่เสียงปรากฏก็มีสภาพที่รู้ว่ามีเสียง รู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏ เพราะว่าเป็นสภาพรู้จึงรู้เสียงที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นเป็นนามธรรมที่รู้ แต่เสียงไม่ใช่สภาพรู้ สองอย่างเนี้ยค่ะ ถ้าประจักษ์แจ้งเมื่อไหร่เมื่อนั้น เราจะไม่มีเลยเพราะเหตุว่า เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรมทั้งหมด แต่ต้องอาศัยการฟังก่อนนะคะเพราะฉะนั้นคำถามของคุณบุษบงเมื่อกี้นี้นะคะ ก็คือว่าลืมไปว่าจิตเนี่ย เกิดขึ้นทีละ หนึ่ง ขณะ ถ้าขณะที่กำลังเห็นนะคะ ไม่ได้คิดวุ่นวายไปถือว่าจะมีสีกระทบตามั้ย อะไรเลย เพราะขณะนั้นกำลังมีจิตเห็น เกิดแล้วดับ และจิตเกิดดับเร็วมากคะขณะนี้ไม่มีการที่จะประมาณนับได้เลยเพราะว่าเสมือนเห็นด้วย ได้ยินด้วย คิดนึกด้วย รู้เรื่องราวต่างๆ ด้วย บางคนทั้งๆ ที่กำลังฟังขณะนี้ยังคิดเรื่องอื่นเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ตาก็เห็นไป ใจก็คิดไป แต่ต้องเป็นจิตทีละ หนึ่ง ขณะ ซึ่งจะต้องรู้อารมณ์ทีละอย่าง เพราะฉะนั้นย่อ ตัวเรา และโลกลงเหลือ จิต หนึ่ง ขณะ นั่นคือจะรู้ได้ว่า ไม่มีตัวตน แต่ถ้าตราบใดยังไม่ประจักษ์ลักษณะที่เป็นเพียงนามธรรม หรือนามธาตุที่เกิดขึ้น แล้วรู้สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ขณะนั้นก็ต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างรวมปนเปจนกระทั่งเป็นโลกที่กว้างใหญ่ และก็มีเรามีเขามีทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วนะคะ ถ้าเพียงเข้าใจลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้จริงๆ ค่ะ ว่าไม่มีรูปร่างเลย แต่รู้ อย่างที่เคยพูดว่า ปรมัตถธรรมมี ๔ จริง คือ หนึ่ง จิตแน่นอนเจตสิกเกิดกับจิต เช่นความรู้สึกต่างๆ ความจำ หรือความโลภ หรือความมานะ ความสำคัญตนพวกนี้เป็นเจตสิกไม่ใช่จิต เพราะเหตุเกิดกับจิตซึ่งจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ และสภาพธรรมอีกอย่างนึงคือรูป ถ้าเอารูปออกไปหมด ไม่มีเลย ถ้าสมมุตินะคะ อย่างในอรูปพรหมภูมิเนี่ย ไม่มีรูปเลย แต่ว่าเพราะภูมินี้มีรูป เพราะฉะนั้นจิตก็ต้องเห็นรูป จิตก็ต้องได้ยินรูป จิตก็ต้องได้กลิ่นรูป จิตก็ต้องลิ้มรสรูป จิตก็ต้องกระทบสัมผัสรูป จิตก็ต้องคิดนึก แต่เรื่องราวของรูปเท่านั้น ในภูมินี้ แต่ถ้าเอารูปออกไปหมด แล้วก็เอาเจตสิกออกไปหมดเลย มีจิตอย่างเดียวซึ่งเป็นธาตุรู้ เมื่อนั้นเราถึงจะรู้จริงๆ ค่ะว่าลักษณะของธาตุรู้เนี่ยโดยการประจักษ์แจ้งเป็นอย่างนี้ คือเป็นแต่เพียงธาตุที่รู้ แล้วก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ขณะนั้นไม่มีเรา เพราะเหตุมีธาตุที่รู้ เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นก็ต้องค่อยๆ เข้าใจไปนะคะ เรื่อยๆ แล้วก็พิจารณาไป แล้วก็พิสูจน์ได้ หายสงสัย หรือยังค่ะ คำถามเมื่อกี้นี้ค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการสนทนาธรรมนะคะ เพราะเหตุไม่ใช่การบรรยายค่ะ เป็นการที่เราอ่านมาบ้าง ฟังมาบ้าง พิจารณามาบ้าง และก็เราก็สงสัยตอนไหน อยากจะเข้าใจตอนไหน เราก็สนทนากันเรื่องนั้น

    ผู้ฟัง เรียนถามค่ะ เมื่อสักครู่นี้ ที่คุณประสงค์พูดว่า เวลาเห็น หรือได้ยินเนี่ยนะคะ สภาพที่ปรากฏนั้น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าทุกย่างที่เห็นนี้ ก็จะเป็นบัญญัติไปหมดแล้ว อย่างเช่นเห็นไมโครโฟน เห็นอาจารย์ทุกอย่างนี่เป็นบัญญัติ แต่ไม่ใช่เป็นปรมัตถ์ อย่างนั้นใช่ไหมคะ ซึ่งอันนี้ก็คิดว่า ตัวดิฉันเองก็เป็นนะคะ คือพอมองปั๊บก็เป็นบัญญัติไปเรียบร้อย

    ท่านอาจารย์ คงไม่ใช่คุณพันทิพา กับคุณประสงค์ สอง คนนะคะ หมดเลยค่ะทุกคน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเห็นเป็นท่านพระอานนท์เห็นเป็นท่านพระมหาโมคคัลลานะ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจให้ถูกค่ะ ว่าจิตเป็นสภาพรู้ ซึ่งไม่ใช่ปัญญาเจตสิก ลักษณะของเขารู้อย่างเดียว เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งในลักษณะของอารมณ์ ซึ่งเจตสิกแต่ละอย่างจะทำหน้าที่ของจิตไม่ได้ จิตต้องเป็นใหญ่ในการรู้เฉพาะอารมณ์คือลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่เข้าใจความถูกต้องความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นเป็นแต่เพียงว่า ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ จิตเป็นประธานเป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์

    ผู้ฟัง ค่ะ แต่ทีนี้ถ้าสมมติว่าเราไม่สามารถที่จะพิจารณารูปปรมัตถ์เหล่านั้นได้ แต่ในขณะที่เรารู้สึกตัวขึ้นมาว่า อ๋อนี่เรากำลังรู้บัญญัตินะ นั่นก็คือสภาพธรรมที่เราพิจารณาได้เหมือนกันใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ใครนะคะ ที่กำลังคิดอย่างนั้น

    ผู้ฟัง จิตค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คุณพันทิพา เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าไม่มีตัวตน ต้องรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม

    ผู้ฟัง ที่ดิฉันฟังว่าคุณบอกว่าปรมัตถธรรมเห็นยากนะคะ ดิฉันเข้าใจว่า ที่เห็นยากนั้น คือลักษณะ หรือสภาพธรรมของปรมัตถ์ ที่เราเห็นยาก

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วนะคะ ปรมัตถธรรมต้องมีลักษณะปรากฏ อย่างเสียงนะคะ ลักษณะของเขาก็คือกระทบหู และก็ดัง ถ้าเงียบๆ อย่างเงี้ยมีใครบอกว่าได้ยินบ้างมั้ยค่ะ จนกว่าจะมีเสียงกระทบแล้วก็มีลักษณะที่ดังปรากฏนะคะ เราก็เรียกว่าขณะนั้น เราสมมติบัญญัติว่า เสียง ใช้คำว่าเสียง แต่ความจริงเป็นปรมัตถธรรม นี้ความยากอยู่ตรงปัญญาค่ะ ไม่รู้ความจริงว่านี่ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ ทุกคนเกิดมามีตาเห็น ต้องเห็น มีหูก็ต้องได้ยิน เป็นสิ่งซึ่งมีด้วยความไม่รู้เพราะมีความไม่รู้ทั้งๆ ที่สิ่ง เนี่ยค่ะ ปรากฏนะคะ ก็ยังไปเห็นผิดไปได้โดยเป็นเราที่กำลังเห็น แต่ว่าจริงๆ แล้วเป็นจิตที่เห็น เพราะฉะนั้นจิตมี ทำหน้าที่ของจิต เจตสิกมี ทำหน้าที่ของเจตสิก รูปมีลักษณะต่างๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะของปรมัตถธรรมไม่ได้เลย ใครจะรู้ หรือไม่รู้ ก็เปลี่ยนลักษณะของปรมัตถธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตานะคะ ชาติก่อนผิดจากชาตินี้มั้ยค่ะ ไปปรากฏทางหู หรือเปล่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องปรากฏทางตา เสียงจะไปปรากฏทางตาก็ไม่ได้ เสียงก็ต้องปรากฏทางหูเป็นลักษณะของเสียงที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็เป็นจริงมาเนิ่นนานแสนนานแต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ ว่าไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นปรมัตถธรรมต่างๆ เพราะฉะนั้นที่ยาก คือความรู้ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วสภาพธรรมต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย

    ผู้ฟัง คือเมื่อกี้ ที่คุณพันทิพาว่า จิตรู้ว่า นี้เห็นเป็นไมโครโฟนนะ ถ้าหากว่าคุณพันทิพาเนี่ย ไม่ได้ศึกษาเรื่องปรมัตถธรรมแล้ว พูดว่าตัวของเขาเองเป็นคนเห็นไมโครโฟน แต่จากการศึกษาเนี่ย เรารู้แล้วครับ ตามความเป็นจริงเนี่ย เป็นอย่างไร เขาถึงตอบว่าอันนี้เป็นจิตเห็น ซึ่งทำหน้าที่เห็นอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจากการศึกษาเล็กๆ น้อยอย่างนี้ ก็จะน้อมนำชักนำให้เรารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ที่ว่าเราเห็นไมโครโฟนไม่ใช่หรอกครับ เป็นเรื่องของจิตที่เห็น ฉันใดก็ฉันนั้นนะฮะ ถ้าหากว่าเราฟังแล้วเนี่ย เราอยากเข้าใจแต่จริงๆ แล้วเข้าใจได้มั้ย จนกว่าวันใดวันหนึ่ง เราเริ่มรู้สึกตัวว่า วันนี้เราเข้าใจมานิดนึง เราก็เริ่มติดตามรู้เข้าไปทีละเล็กทีละน้อย ผมก็ฝากไว้ให้ผู้ร่วมสนทนาเนี่ย ให้มันพิจารณาลักษณะเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้เล็กๆ นิดๆ หน่อยๆ ให้ละเอียดมากขึ้นๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ เราก็จะเริ่มรู้ตามความเป็นจริงว่า ชีวิตของเราเนี่ย แท้ที่จริงแล้วมีอะไรในชีวิตประจำวันของเรา มีแต่จิต เจตสิก รูปนะครับ ซึ่งเป็นจริงในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของจิตจริงๆ นะคะ ก็ยังต้องเป็นความรู้ขั้นปริยัติ คือรู้ว่ามีจิต เวลานี้ทุกคนก็รู้ว่ามีจิต แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของจิตจริงๆ เพียงแต่รู้จากการฟัง การเข้าใจ และเป็นจิต ที่คิดนึกเป็นจิต ที่เห็นนี่เป็นจิตที่ได้ยินเป็นจิต นี่คือความต่างกันของความรู้ขั้นปริยัติ แล้วก็จะต้องถึงขั้นปฏิบัติ และต้องถึงขั้นปฏิเวธนี้แสดงให้เห็นถึงว่าต้องตรงกัน คือสภาพธรรมที่มีจริง ที่เราเริ่มเข้าใจเนี่ย เป็นขั้นปริยัติ ตราบใดที่สติยังไม่ระลึก ก็เป็นการรู้เรื่องของจิต เรื่องของเจตสิก เรื่องของรูป

    ผู้ฟัง ค่ะ กราบเรียนถามท่านอาจารย์นะคะ คือว่า ถ้าเรารู้ ถ้าเราเห็นนะคะ เราก็รู้ว่า เราเห็นไมโครโฟนเราเห็นถ้วยแก้ว เห็นอะไรเนี่ย ก็เป็นธรรมดาใช่ไหมคะ ทีนี้ถ้าไม่พิจารณาตามการศึกษาตามปริยัติว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเนี้ย ไม่เห็นเป็นไมโครโฟน ไม่เห็นถ้วยแก้วเนี่ย มันก็

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ สิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นอะไรไม่ได้ รู้อะไรไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เพียงปรากฏ นี้ต้องเข้าใจนะคะ สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏค่ะ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง อันนี้ เราจะรู้ตามปริยัติเท่านั้นเองใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เราก็ลองพิจารณาว่าจริง หรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่ฟังธรรม มีธรรมปรากฏให้พิสูจน์ ยืนยันความเข้าใจของเราว่า ความเข้าใจของเรา ระดับไหน ระดับที่ขั้นฟัง แล้วรู้ว่าจริง มีสิ่งที่กำลังปรากฏแน่นอน

    ผู้ฟัง คือตอนนี้นะคะ ก็เข้าใจตามขั้นปริยัติว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเนี่ย จะไม่มีรูปร่างสัณฐาน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่มีรูปร่างสันฐานค่ะ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นคะ รูปร่างสัณฐานนั้น ใครคิดต่างหาก

    ผู้ฟัง ค่ะ ก็จะไม่เข้าใจลึก หรือว่า ไม่เห็นชัดไปกว่านั้น เพราะว่าเมื่อก่อนนี้นะคะ ได้มาเรียนปริยัติเนี่ย หรือว่ามาศึกษาที่นี่ ก็ทราบว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา คือไม่ใส่ใจในรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้นเวลาที่ เห็นปั๊บก็จะบอก เนี่ยคือสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เมื่อประมาณ สอง เดือนที่แล้วเนี่ย มาฟังท่านอาจารย์ ได้เรียนถามเกี่ยวกับเรื่องเสียงแล้วก็ เรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา ท่านอาจารย์ บอกว่าให้เห็นตามที่เห็น ก็เอาไปพิจารณาก็ปรากฏว่า ก็มีรูปร่างสัณฐานก็เป็นสิ่งที่เราเห็นจริงๆ ตามนั้น ทีนี้ก็มาคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเนี่ยสิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ทุกคนก็คอยว่าเมื่อไหร่นะคะ อดทนพอไหมคะ ฟังแล้วก็เมื่อไหร่แสดงว่ามีความหวังเต็มที่ซึ่งเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้าแน่นอน

    ผู้ฟัง อย่างนั้นเราก็ต้องพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจ ข้อสำคัญที่สุดคือเข้าใจ อย่างเมื่อกี้เนี่ยค่ะ เรื่องรูปร่างสัณฐาน สภาพธรรมไม่รู้อะไรเลย จะเป็นยังไง ไม่รู้เรื่องทั้งสิ้นนะคะ สีเป็นสิ่งที่ปราก ฏ สีก็ไม่รู้ว่าเป็นสี และสีก็ไม่รู้ว่ามีจิตเห็น และสีก็ไม่รู้ว่าสีปรากฏ หรือไม่ปรากฏ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้ข้อสำคัญก็คือว่า หลังจากเห็นแล้วเนี่ย มีสัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิตเห็น สืบต่อไปแต่ละขณะๆ จนเป็นความทรงจำ ในสีสันวรรณะ เมื่อมีความทรงจำในสีสันวรรณะนะคะ ก็มีการเห็น สีสันวรรณะ ซึ่งต่างเป็นสัณฐานต่างๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 11
    22 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ