สนทนาธรรม ตอนที่ 064
ตอนที่ ๖๔
ผู้ฟัง จิตเป็นประธานในการรู้อะไรต่ออะไร
ท่านอาจารย์ รู้แจ้งลักษณะที่ต่างกันของอารมณ์
ผู้ฟัง อารมณ์นี้ก็คือเจตสิก
ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ จิตสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง จิตรู้จิตก็ได้ รู้เจตสิกก็ได้ รู้รูปก็ได้ รู้นิพพานก็ได้ รู้บัญญัติก็ได้รู้ได้ทุกอย่าง
ผู้ฟัง แต่อาจารย์พยายามให้เราแยกว่าให้รู้จิตเจตสิกไม่ใช่หรือ ให้เราแยก
ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจลักษณะของจิต ให้เข้าใจลักษณะของเจตสิก เพราะเวลานี้ไม่ใช่คุณสุพรรณี แต่เป็นจิตเจตสิก และรูปซึ่งกำลังเกิดดับ แต่เมื่อไม่เข้าใจจึงคิดว่าเป็นตัวเรา หรือว่าเป็นคนหนึ่งคนใด แต่เราจะต้องเข้าใจลักษณะแท้ๆ ที่เป็นปรมัตถธรรมว่าไม่มีคนไม่มีสัตว์ แต่มีปรมัตถ์ธรรมคือจิต เจตสิก รูป
ผู้ฟัง อาจารย์กล่าวว่าที่เราได้ยินได้เห็นเรื่องราวเป็นวิบากทั้งสิ้น แต่เราฟังธรรมนี้เป็นวิบาก แต่ถ้าเราเผลอง่วงหลับไปเราก็ไม่ได้ยิน นี่เป็นวิบากหรือเป็นกรรม
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ขณะนี้ มีทั้งจิตที่เป็นผล และจิตที่เป็นเหตุ ซึ่งต้องแยกกัน ขณะที่กำลังเห็น เฉพาะเห็น เรายังไม่พูดถึงสัมปฎิฉันนะ สันตีรณะ เพราะเป็นเรื่องละเอียด แยกหยาบๆ ว่าเห็นต้องเป็นผลของกรรม เป็นจิตประเภทวิบาก แต่เมื่อเห็นแล้วเป็นกุศล หรืออกุศล เช่นเดียวกับทางหูที่ได้ยิน เป็นวิบาก เพราะว่ามีคนกี่คนที่จะได้ยิน แต่ว่าคนที่ได้สะสมบุญมาแล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังเสียงซึ่งจะทำให้เข้าใจธรรมได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาทำให้มีโอกาสได้ฟังเรื่องราวของธรรม แต่เมื่อได้ยินแล้วเป็นกุศล หรืออกุศล อีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องแยกว่าช่วงขณะที่เพียงเห็นเพียงได้ยิน เพียงได้กลิ่น พียงลิ้มรส เพียงรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนั้นเป็นวิบาก แต่หลังจากนั้นแล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
ผู้ฟัง ตรงนี้เข้าใจ คำถามผมอยู่ที่ว่า อาจารย์พูดต่อไปว่า หลังจากได้ยินแล้วง่วงแล้วหลับ อาการง่วงแล้วหลับ หรือไม่หลับ แต่เราเผลอสติไป นี่เป็นวิบากหรือเป็นกรรม
ท่านอาจารย์ เป็นวิบาก เพราะเหตุว่าเกิดมา เป็นผลของกรรมไม่ใช่ตัวกรรม ขณะจิตที่ปฏิสนธิเป็นผลของกรรมหนึ่ง แล้วกรรมนี้ก็จะทำให้เมื่อปฏิสนธิจิตซึ่งเกิดแล้วต้องดับอย่างเร็วมาก แต่ว่าเป็นปัจจัยให้ภวังคจิตเกิดสืบต่อ ที่เราใช้คำว่าภวังคจิตหมายความถึงจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิ เหมือนกับปฏิสนธิทุกอย่างแต่ไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ เพราะเหตุว่ากิจปฏิสนธิจะเป็นกิจเดียวต่อจากจุติจิตของชาติก่อนเท่านั้นที่ทำปฏิสนธิกิจ แต่เมื่อปฏิสนธิจิตทำปฏิสนธิกิจดับแล้ว กรรมทำให้จิตที่เกิดสืบต่อดำรงภพชาติซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าภวังคจิต โดยทำภวังคกิจ เพราะเหตุว่าจิตทุกดวงต้องมีกิจ ค่อยๆ เรียนกิจของจิต เพราะฉะนั้นตราบใดที่กำลังเป็นภวังค์เป็นวิบาก เพราะว่ากรรมจะต้องทำให้ไม่จุติ แต่ทำให้ภวังค์สืบต่อดำรงภพชาตินี้ไว้ นี้ขณะหนึ่ง และนอกจากนั้นกรรมก็ยังทำให้มีจักขุปสาท โสตปสาท ชิวหาปสาท ฆานปสาท กายปสาท เป็นทางที่จะรับผลของกรรม ซึ่งวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมจะเกิดได้ต่อเมื่อมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายปสาท เพราะถ้าไม่มีพวกนี้แล้ว เช่นโต๊ะนี้ไม่มีกรรม ไม่ต้องรับผลของกรรม แต่ผู้ที่ได้กระทำกรรมมาแล้วก็จะทำให้เกิดรูปเหล่านี้ สำหรับเวลาที่กรรมใดให้ผล ถ้าเป็นกุศลกรรมให้ผลเห็นดี ถ้าเป็นกุศลกรรมให้ผลได้ยินเสียงดี เพราะฉะนั้นแม้แต่การตื่น หรือการหลับ ก็เป็นผลของกรรม วิบากคือผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว วันนี้อาหารอร่อย เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นวิบาก
ท่านอาจารย์ แน่นอนเป็นผลของอดีตกรรมที่ทำแล้ว ไม่ใช่ว่าใครจะไปอยากได้แล้วก็ไม่มีกุศลกรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้ว ให้ทราบไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นต้องแยก คือชีวิตประจำวันของเราเป็นความจริง เวลาที่รับประทานอาหารอร่อย กำลังอร่อย จิตเป็นอะไร ทุกคนเป็นผู้ตรง เป็นโลภะก็ต้องเป็นโลภะ เพราะไม่ใช่เรา แต่เมื่อมีปัจจัยที่โลภะจะเกิดก็เกิดถ้ามีปัจจัยที่โทสะจะเกิด ก็เป็นโทสะ คือเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แทนที่เราจะไปทรมานตัว พยายามที่จะกดหรือว่าบีบ คิดว่าไม่มีโลภะ ไม่ให้โลภะเกิด ขณะนั้นไม่ใช่ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะเหตุว่าในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิดใครคิดว่าจะชนะกิเลสเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ใครคิดว่าจะดับกิเลสให้หมดโดยปัญญาไม่เกิดก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป และผู้ที่ทรมานตัวอย่างมากก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะทำให้กิเลสหมดได้ ยากยิ่งเสียกว่าการทรมานใดๆ ทั้งสิ้นที่คนในยุคนี้กำลังทำอยู่ เพราะบางคนอาจจะคิดว่าเขาชนะที่เขาไม่รับประทานอาหารอร่อยเช่นทุเรียน เขาบอกเขาไม่ทานเลยเพราะเหตุว่าราคาแพง แล้วเขาก็ติดมากด้วยถ้าเขารับประทานต่อไป เพราะฉะนั้นเขาไม่รับประทานทุเรียน แต่เขาไม่ได้หมดกิเลสเพราะการไม่รับประทานทุเรียน จะไม่หมดกิเลสได้ด้วยอะไรทั้งสิ้นถ้าปัญญาไม่เกิด เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าอาหารอร่อย สติเกิดได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงขณะใดขณะนั้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเพียงนามธรรม หรือเป็นเพียงแต่รูปธรรมหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตนไม่ได้ ขณะนั้นจะเป็นการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ใครเป็นผู้ที่มีพลังมีกำลังสามารถที่จะทำอะไรกับกิเลสโดยเฉพาะคือโลภะได้นอกจากปัญญา
เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ ทุกคนก็อบรมเจริญปัญญาคือเมื่อโลภะเกิดไม่ใช่อยากจะไม่ให้มีโลภะ แต่เมื่อโลภะเกิดเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ศึกษาแล้วว่าเป็นปรมัตถธรรม แล้วก็เป็นอกุศล เป็นจิตชนิดหนึ่ง แล้วสภาพของโลภะเป็นเจตสิกซึ่งติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ใช่โลภะเฉพาะตอนรับประทานทุเรียน หรือว่าของอร่อย แต่อย่าลืมว่า โลภะเกิดตั้งแต่ลืมตา เพราะฉะนั้นต้องมีปัญญาจริงๆ รู้ความจริงถึงจะสามารถค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ แต่ว่าอย่าคิดว่าเราจะต้องไปทำวิธีอื่น ถ้าขณะใดที่ได้รับสิ่งที่ดีทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ทราบว่าขณะนั้นเป็นวิบาก เป็นจิตประเภทหนึ่ง แต่ว่าหลังจากที่ได้รับสิ่งที่ดีน่าพอใจแล้ว กุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิด เป็นผู้ตรง ธรรมนี้ต้องเป็นผู้ตรงถ้าเป็นอกุศลก็คืออกุศล อาหารอร่อยเมื่อครู่นี้ดับหมดหรือยัง ความรู้สึกอร่อยดับหมดหรือยัง ก็หมดแล้ว กำลังเห็นนี้ไม่ใช่รสอร่อย เพราะฉะนั้นก็เป็นจิตซึ่งเกิดดับจากขณะนั้นมาสู่ขณะนี้ แล้วแต่ว่าปัญญาจะมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละขณะเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เป็นการสะสมที่จะรู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ต้องกลัวใช่ไหม ใครจะได้รับผลของกุศลวิบากนั้นคือผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเป็นสิ่งที่ดีเป็นวิบากที่ดีก็เป็นผลของกุศลกรรม และขณะนี้กำลังเป็นกุศลกรรม เพราะฉะนั้นผลที่จะได้รับเป็นกุศลวิบาก จะกลัวอีกหรือไม่ ไม่ต้องกลัวเลย เป็นของธรรมดาที่เรียกว่าตามเหตุตามปัจจัย แต่ข้อสำคัญก็คือ ให้มีปัญญารู้ความจริง ซึ่งการที่จะรู้ความจริงได้ก็ต้องค่อยๆ สะสม
ผู้ฟัง คนที่ได้รับวิบาก ในชาตินี้ก็หมายถึงว่าเป็นอดีตกรรมจากชาติก่อน ไม่มีการเปลี่ยนได้เลยหรือ เช่นว่า วิบากว่าเราไม่ดี เรารีบทำบุญให้มากขึ้น เพื่อที่กรรมปัจจุบันจะได้ทำให้วิบากเราอาจจะเปลี่ยน แทนที่จะรับผลไม่ดี อาจจะเปลี่ยนไปแบบคล้ายๆ สะเดาะเคราะห์ มีหรือไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ชาติก่อน หมายความถึงเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วชาติไหนไม่ทราบ เพราะเหตุว่าการให้ผลของกรรมเป็นในปัจจุบันชาตินี้ก็ได้ หรือว่าชาติหน้าถัดจากชาติที่ทำนี้ก็ได้ หรือว่าชาติต่อๆ ไปโน่นก็ได้
ผู้ฟัง แต่มีความรู้สึกว่า อโหสิกรรม อย่างพวกเรากรรมไม่ดี เรารีบทำบุญให้ ก็กลายเป็นอโหสิกรรมได้ ก็เปลี่ยนวิบากได้
ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด ก็คือว่ากรรมป็นสภาพที่ปกปิด คือขณะที่กำลังทำกรรม ก็ไม่ทราบว่ากรรมนี้จะให้ผลเมื่อใด ในลักษณะใด และในขณะที่ได้รับผลของกรรมคือวิบาก เช่นเดี๋ยวนี้กำลังเห็น กำลังได้ยิน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าเป็นผลของกรรมอะไรในชาติไหน ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเป็นผลของกุศลกรรมเพราะเหตุว่าเป็นกุศลวิบากที่กำลังเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสที่ดีแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นผลของกุศลประเภทไหน ทาน หรือ ศีล หรือว่าความสงบของจิตรึการอบรมเจริญปัญญา เมื่อไม่สามารถจะบอกได้ เพราะฉะนั้นกรรมก็จึงเป็นสภาพที่ปกปิด เมื่อปกปิดแล้วเราจะมาคิดได้อย่างไรว่าเราไปสะเดาะเคราะห์หมด หรือว่าเพราะอะไร ก็เป็นเรื่องความคิดเท่านั้น
ผู้ฟัง คำว่าสะเดาะเคราะห์ ก็จะเข้าใจผิดยึดถือกันว่าสะเดาะเคราะห์ได้ จริงๆ คือสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วลบล้างกันไม่ได้ แต่จะทำให้กรรมดีนั้นก้าวหน้าไป แล้วกรรมชั่วจะไม่สนองก็เป็นไปได้ใช่ไหม เปรียบเสมือนหนึ่งเนื้อสมันวิ่งหนีสุนัขล่าเนื้อทำนองนั้น
ท่านอาจารย์ พวกเราทุกคนที่นี่ไม่อยู่ในสภาวะที่จะบอกได้เลยสักคนเดียว เพราะเหตุว่ากรรมเป็นเหตุจะต้องเกิดผล แต่จะบอกได้ไหมว่าทำอย่างนี้ และผลนั้นจะเกิดเมื่อใด อย่างไร
ผู้ฟัง บอกไม่ได้ แต่ว่าจะใช้คำพูดสะเดาะเคราะห์นั้นได้หรือไม่
ท่านอาจารย์ สะเดาะเคราะห์ก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องของกรรมกับผลของกรรม มีหน้าที่อย่างเดียวคือทำกรรมดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลจะเกิดเมื่อใดก็ไม่รู้ แต่ต้องมีผล และที่กำลังได้รับผลในขณะนี้ก็เป็นผลของกรรมของตนเองที่ได้กระทำแล้วไม่ใช่คนอื่นมาช่วยได้ หรือว่าไม่ใช่เราจะคิดว่าทำอย่างนี้ เราจะช่วยกรรมอย่างนั้นเพราะว่ากรรมทำแล้วเมื่อทำแล้วจะไปแก้คืนได้อย่างไร สิ่งที่เสร็จแล้ว นอกจากกรรมใหม่ทำ ถ้าเป็นกุศลกรรม ผลของกุศลกรรมต้องเกิด แต่เมื่อใดไม่ทราบ เพราะฉะนั้นไม่สมควรพยากรณ์ที่จะไปบอกว่านี่เป็นผลของกรรมนั้น หรือว่าทำอย่างนี้แล้วจะให้ผลดีอย่างนั้น เราบอกไม่ได้เพราะเหตุว่าจะให้ผลเมื่อใดก็ไม่รู้ ให้ผลในลักษณะไหนก็ไม่รู้ ทราบแต่เพียงเหตุใหญ่ๆ ว่าเมื่อเป็นกรรมดีก็ต้องให้ผลที่ดี ถ้าเป็นกรรมไม่ดีก็ให้ผลที่ไม่ดี
อ.นิภัทร ในทีฆนิกาย สุปิยปริพาชกกล่าวตำหนิพระพุทธเจ้า แต่ลูกศิษย์ของท่านชื่อพรหมทัตมานพ กล่าวตรงกันข้ามกับอาจารย์ พรหมทัตมานพนอกจากสรรเสริญพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็พูดถึงเรื่องกรรมว่า เราจะต้องไปด้วยกรรมของของเรา เราจะไม่สามารถไปด้วยกรรมของบิดาของเรา เราจะไม่สามารถไปด้วยกรรมของมารดาหรือพี่น้องของเรา ข้อความเหล่านี้นี้ก็แสดงว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน ก็ขอบอกว่า คำว่าสะเดาะเคราะห์ไม่มีในพระไตรปิฎก
อ.สมพร ในพระพุทธศาสนาถือกรรมเป็นใหญ่ เมื่อกรรมใดได้โอกาส กรรมนั้นก็ให้ผล กุศลกรรม อกุศลกรรม ทั้ง ๒ เราก็ทำมามากมาย ท่านบอกว่ากรรมใดได้โอกาสกรรมนั้นก็ให้ผลก่อน บางทีก็ให้ผลสลับกันไป เราพิจารณาดูกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่นเราไปเที่ยวตลาด เดี๋ยวเราก็เห็นสิ่งที่ชอบใจ แล้วก็เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ เกิดอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ชอบใจนานๆ เช่นเกิดเป็นเทวดาเห็นอะไรก็ชอบใจไปหมดเลย บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจเป็นเวลานานๆ เช่นเกิดในนรกมีแต่สิ่งที่ไม่ชอบใจทั้งสิ้นเลย ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ได้กลิ่น สารพัดอย่าง แต่ภูมิมนุษย์ไม่ใช่นรก ไม่ใช่สวรรค ก็เป็นอันว่าผลของกรรมให้ผลสลับกันอย่างรวดเร็ว เห็นดี เห็นไม่ดี ฟังเสียงเพราะ เสียงไม่เพราะ แล้วแต่วิบากของใครดีมาก หรือดีน้อย เป็นอยู่เช่นนี้ด้วยอำนาจของกรรม
ผู้ฟัง เห็นของสิ่งเดียวกัน แต่เกิดกุศล อกศลได้ ซึ่งวิบากทางตาจิตรู้ วิญญาณจิต จักขุวิญญานจิตรู้เท่านั้นเอง หมายความว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ ปัญหาของคุณสุรีย์มีว่า วิบากเป็นวิบาก ที่เป็นกุศลวิบาก หรือว่าเป็นอกุศลวิบาก เวลาที่อารมณ์ปรากฏใช่ไหม
ผู้ฟัง วิบากทางตา ของสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งบอกอย่างนี้ ...
ท่านอาจารย์ ไม่เอาคนหนึ่ง ยังไม่เอาคนหนึ้งค่ะ เอากำลังเห็น ต้องการที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลวิบาก หรือเป็นอกุศลวิบาก กำลังมีจิต ได้ยินเสียงสุนัขหรือจะเป็นเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เสียงอะไรก็ตามแต่ เสียงเปรตเสียงอะไรก็ตาม เฉพาะตรงที่กำลังได้ยิน ยังไม่ต้องไปถึงชอบไม่ชอบ ต้องการที่จะทราบใช่ไหมว่าอย่างนี้จะเป็นกุศลวิบาก หรือเป็นอกุศลวิบาก หรือจะเป็นกุศลวิบากสำหรับบางคน หรือจะเป็นอกุศลวิบากสำหรับบางคนในเสียงที่กำลังปรากฏ
ต้องไม่ลืมว่าไม่มีคนที่จะชอบหรือไม่ชอบในเสียงนั้น แต่เป็นจิตซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยทำให้ได้ยินเสียงนั้น เพราะฉะนั้นยังไม่มีคนชอบ หรือไม่ชอบเสียงนั้น เป็นแต่จิตที่เกิดขึ้นได้ยิน เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดได้ยินเป็นผลของกรรม แล้วก็มี ๒ อย่างคือต้องเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก จะเป็นทั้ง ๒ อย่างไม่ได้ เพราะยังไม่มีใครเข้าไปชอบไม่ชอบเลย แต่ว่าลักษณะของเสียงก็ตาม สีก็ตาม กลิ่นก็ตาม รสก็ตาม สิ่งที่อ่อน แข็งเย็น ร้อน ตึง ไหว ที่ปรากฏก็ตาม เป็นที่สบายหรือว่าน่าเพลิดเพลินยินดีคือเป็นอารมณ์ที่ดีที่ประณีตที่น่าดู น่าเห็น น่าได้ยิน หรือว่าตรงกันข้าม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ละเอียดเลยว่าสิ่งนั้นเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดว่าจะเป็นผลของกุศลวิบากเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นอกุศลวิบากเป็นสิ่งที่ไม่ดี อย่างดอกไม้ดอกนี้จะมีใครบอกได้ไหมว่า ขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นเป็นกุศลวิบาก หรือเป็นอกุศลวิบาก เราไม่อยู่ในฐานะ แต่ให้ทราบว่าธรรมชาติทุกอย่างในโลกนี้ที่เป็นรูปมีลักษณะที่ต่างกัน ๒ อย่าง คือมีลักษณะที่น่าพอใจ น่าติดข้อง อย่างหนึ่ง กับมีลักษณะซึ่งตรงกันข้ามไม่น่าปรารถนาไม่น่าติดข้องไม่น่าต้องการเลย ลักษณะของรูปจะจำแนกออกเป็น ๒ ประการ เพราะฉะนั้นเวลาที่เป็นกรรมซึ่งเป็นอกุศลกรรมให้ผล ไม่ใช่ให้ผลอย่างอื่นเลย ให้ผลคือให้ตาเห็นสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจ เสียงที่ไม่น่าพอใจ กลิ่นรสสัมผัสที่ไม่น่าพอใจ โดยยังไม่มีใครไปชอบ หรือไม่ชอบสิ่งนั้น เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงชั่วขณะที่กรรมให้ผลทำให้จิตชนิดนี้เกิดขึ้น และก็มีสิ่งนั้นเป็นอารมณ์
เพราะฉะนั้นเราไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะไปตัดสินว่าเป็นกุศลวิบาก หรือเป็นอกุศลวิบาก เพราะโดยมากจะตัดสินตามความพอใจของเราหลังจากที่เห็นแล้วชอบเราก็ตัดสินว่าสิ่งนั้นเป็นกุศลวิบากสำหรับเรา หรือเวลาที่ไม่ชอบเราก็ตัดสินว่านี้เป็นอกุศลวิบากสำหรับเรา แต่นี่คือหลังจากที่วิบากจิตดับแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่จะไปบอกรายละเอียดทุกขณะจิตได้ว่ากำลังเห็นนี้เป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก แต่ส่วนรวมที่เราจะบอกได้คร่าวๆ หยาบๆ ก็คือว่าเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ประณีต ไม่น่าติดข้อง ไม่น่าพอใจ ขณะนั้นจักขุวิญญาณต้องเป็นอกุศลวิบากทางตา ทางหูก็ต้องเป็นเสียง ซึ่งทุกคนตกใจหวาดหวั่นไม่น่าติดข้องเลย ไม่ใช่เสียงที่ไพเราะ เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ต้องเป็นผลของอกุศลกรรม นี้แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องของสภาพปรมัตถธรรม อย่าเอาตัวเราชอบหรือไม่ชอบเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะเราชอบสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ดี หรือว่าเป็นผลของกุศลกรรม เพราะเหตุว่าบางคนชอบกลิ่น เช่นน้ำหอม
ผู้ฟัง กลิ่นทุเรียนเห็นชัดเลยมาก บางคนพอได้กลิ่น ก็บอกว่าหอม
ท่านอาจารย์ บางคน หรือทุกคน
ผู้ฟัง บางคนเขาก็วิ่งหนีถ้าไปทานต่อหน้าเขา เขาต้องวิ่งหนี
ท่านอาจารย์ แต่ที่เขาว่าหอมมีบ้างไหม
ผู้ฟัง ก็มี แต่หมายความว่าคนชอบเขาก็หอมใช่ไหม แต่พอไปเปิดกินกับคนที่ไม่ชอบก็วิ่งหนีเลย
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รับประทาน ได้แต่กลิ่นหอมหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ทราบ ต้องรับประทานถึงจะรู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่เราผสมปนเปแต่ละทวาร เพราะฉะนั้นเวลาสภาพธรรมเกิดขึ้นจริงๆ เป็นแต่ละทวาร และเป็นแต่ละขณะจิต และยังไม่มีตัวเราไปชอบ หรือไม่ชอบสิ่งนั้นเลย เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะชอบกลิ่นบางกลิ่น อย่างกลิ่นน้ำหอมนี่เห็นได้ชัด เลือกดูว่าใครจะชอบกลิ่นไหนทั้งๆ ที่เขาบอกว่ากลิ่นนี้ดี แต่อีกคนหนึ่ง อาจจะบอกว่ากลิ่นนี้แรงไป ก็แสดงให้เห็นว่าอย่าเอาตัวตน หรือเรา ความที่เราสะสมมาที่จะชอบไม่ชอบสิ่งนั้นตัดสิน เพราะว่าเป็นเรื่องของจิตซึ่งต้องเกิดขึ้นตามกรรม
ผู้ฟัง คนที่เหม็นทุเรียนเขาก็เป็นอกุศลวิบากหรือ
ท่านอาจารย์ อย่าใช้คำว่าอกุศลวิบาก เพราะยังไม่มีคนเหม็นทุเรียน มีแต่จิตที่กำลังได้กลิ่น หลังจากนั้นแล้วถึงจะชอบ หรือไม่ชอบการตามการสะสม แต่วิบากคือผลของกรรมเกิดแล้ว และก็เกิดก่อนด้วย เพราะฉะนั้นจะเอาคนซึ่งเกิดทีหลังมีความชอบไม่ชอบไปตัดสินไม่ได้ เรื่องของวิบากคือเรื่องของวิบากซึ่งไม่ใช่วิสัยของเราที่นี่จะบอกได้ทุกคนที่นี่บอกไม่ได้เลยเกินวิสัยที่จะบอกได้
ผู้ฟัง ทางใจที่เกี่ยวเนื่องด้วยวิบากมีหรือไม่
ท่านอาจารย์ มีตทาลัมพนจิตหลังชวนจิต ๒ ดวง
ผู้ฟัง แล้วเป็นในลักษณะไหน
ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวกับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นอกจากเวลาที่อารมณ์นั้นเกิดต่อจากทางตา เกิดต่อจากทางปัญจทวารแล้วก็วิบากตามปัญจทวาร
อ.นิภัทร การที่จะวินิจฉัยว่า อะไรเป็นวิบากเป็นอิฎฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์มีแสดงไว้ ตั้ง ๓ -๔ ประการ แต่ว่าตัวอย่างที่เห็นชัดๆ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ขณะแรกเลยยังไม่มีใครไปตัดสินว่าเป็นอิฎฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ อย่างคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นอิฎฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ ลองไปพูดกับเดียรถีย์เขาก็ไม่เอาเหมือนกัน ตัวอย่างมีมากมาย อัญญเดียรถีย์นี้ถ้าคุณพูดคำสอนพุทธเจ้าเขาก็ไม่สบอารมณ์เขาแน่ แต่คนทั่วไป มัชฌัตตบุคคลๆ กลางๆ ซึ่งมีหลักเกณฑ์มากเหมือนกันคือวินิจฉัยโดยทวาร วินิจฉัยโดยวิบาก วินิจฉัยโดยมัชฌัตตบุคคล ซึ่งก็เคยสนทนาหลายครั้ง
ท่านอาจารย์ ถึงแม้ว่าจะมีกล่าวไว้ก็จริง เช่นสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่กระทำด้วยความประณีตสิ่งนั้นเกิดจากกุศลจิต เพราะฉะนั้นก็จะทำให้บุคคลผู้ได้รับอารมณ์นั้นเป็นกุศลวิบากจิตที่กำลังมีอารมณ์นั้นได้ ถึงกระนั้นก็ตามรายละเอียดก็ไม่มีใครสามารถจะบอกได้ เพราะว่าคนที่เพียรพยายามทำสิ่งที่ประณีต เพื่อจะให้คนอื่นได้มีอารมณ์นั้น แต่อาจจะพลั้งเผลอไปนิดหนึ่งสิ่งนั้นไม่ประณีตเสียแล้วก็ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราได้จะตายตัว แต่ก็เป็นเพียงเครื่องเทียบเคียงให้เราพอที่จะเห็นได้ว่าอารมณ์ มี ๒ อย่างคืออิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าติดข้อง น่าต้องการอย่างหนึ่ง และอนิฏฐารมณ์อารมณ์ซึ่งไม่น่าติดข้องไม่น่าต้องการอีกอย่างหนึ่ง
- สนทนาธรรม ตอนที่ 061
- สนทนาธรรม ตอนที่ 062
- สนทนาธรรม ตอนที่ 063
- สนทนาธรรม ตอนที่ 064
- สนทนาธรรม ตอนที่ 065
- สนทนาธรรม ตอนที่ 066
- สนทนาธรรม ตอนที่ 067
- สนทนาธรรม ตอนที่ 068
- สนทนาธรรม ตอนที่ 069
- สนทนาธรรม ตอนที่ 070
- สนทนาธรรม ตอนที่ 071
- สนทนาธรรม ตอนที่ 072
- สนทนาธรรม ตอนที่ 073
- สนทนาธรรม ตอนที่ 074
- สนทนาธรรม ตอนที่ 075
- สนทนาธรรม ตอนที่ 076
- สนทนาธรรม ตอนที่ 077
- สนทนาธรรม ตอนที่ 078
- สนทนาธรรม ตอนที่ 079
- สนทนาธรรม ตอนที่ 080
- สนทนาธรรม ตอนที่ 081
- สนทนาธรรม ตอนที่ 082
- สนทนาธรรม ตอนที่ 083
- สนทนาธรรม ตอนที่ 084
- สนทนาธรรม ตอนที่ 085
- สนทนาธรรม ตอนที่ 086
- สนทนาธรรม ตอนที่ 087
- สนทนาธรรม ตอนที่ 088
- สนทนาธรรม ตอนที่ 089
- สนทนาธรรม ตอนที่ 090
- สนทนาธรรม ตอนที่ 091
- สนทนาธรรม ตอนที่ 092
- สนทนาธรรม ตอนที่ 093
- สนทนาธรรม ตอนที่ 094
- สนทนาธรรม ตอนที่ 095
- สนทนาธรรม ตอนที่ 096
- สนทนาธรรม ตอนที่ 097
- สนทนาธรรม ตอนที่ 098
- สนทนาธรรม ตอนที่ 099
- สนทนาธรรม ตอนที่ 100
- สนทนาธรรม ตอนที่ 101
- สนทนาธรรม ตอนที่ 102
- สนทนาธรรม ตอนที่ 103
- สนทนาธรรม ตอนที่ 104
- สนทนาธรรม ตอนที่ 105
- สนทนาธรรม ตอนที่ 106
- สนทนาธรรม ตอนที่ 107
- สนทนาธรรม ตอนที่ 108
- สนทนาธรรม ตอนที่ 109
- สนทนาธรรม ตอนที่ 110
- สนทนาธรรม ตอนที่ 111
- สนทนาธรรม ตอนที่ 112
- สนทนาธรรม ตอนที่ 113
- สนทนาธรรม ตอนที่ 114
- สนทนาธรรม ตอนที่ 115
- สนทนาธรรม ตอนที่ 116
- สนทนาธรรม ตอนที่ 117
- สนทนาธรรม ตอนที่ 118
- สนทนาธรรม ตอนที่ 119
- สนทนาธรรม ตอนที่ 120