สนทนาธรรม ตอนที่ 069


    ตอนที่ ๖๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสัญญาเจตสิกนี้ก็มีทั้งที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นกิริยาก็มี เพราะว่าจิตเป็นอะไร สัญญาเจตสิกก็เป็นอย่างนั้น หรือเจตสิกเป็นอะไร จิตก็เป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ผมติดใจเรื่องการระลึกอดีตชาติว่า เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก เป็นสัญญาเจตสิกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สัญญาเจตสิกจำ แต่ที่นึกต้องเป็นวิตกเจสิก แต่ต้องเกิดพร้อมสติ ถ้าจำแนกเจตสิกเล็กๆ ออกไปเป็น ๕๒ ชนิด จะเห็นว่าขณะหนึ่งที่จิตเกิดชั่วขณะที่แสนสั้นมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยมาก ถ้าเป็นฝ่ายกุศล แต่ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลก็น้อยกว่า และถ้าไม่ใช่กุศลจิต อกุศลจิต เป็นพวกอเหตุกจิต ก็ไม่มีเจตสิกมาก

    ผู้ฟัง มีไหมที่จิตปรุงแต่งเจตสิก หรือมีแต่เจตสิกเท่านั้นที่ปรุงแต่งจิต

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นธาตุรู้ จิตไม่ทำอะไรเลยนอกจากรู้อารมณ์

    ผู้ฟัง รู้อย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ จิตไม่จำ จิตไม่คิด จิตไม่วิตก จิตไม่ใช่วิตกเจตสิก จิตไม่ใช่สัญญาเจตสิก ส่วนเจตสิกที่เหลือคือ สังขารขันธ์ปรุงแต่งตามสัญญา สัญญาเป็นส่วนหลักอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้สังขารขันธ์ทั้งหลายเป็นไปตามสัญญานั้นได้

    ผู้ฟัง ดูในตำรา มีการแยกจิตกับเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ต้องแยก เพราะว่าจิตไม่ใช่เจตสิก

    ผู้ฟัง ถ้าจะพูดถึงสภาพที่เป็นจริงในขณะนี้ อย่างในห้องนี้เนี่ย ตัววิญญาณเหมือนกับแสงสว่างที่เราเห็นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อย่าเปรียบเทียบอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ไม่ได้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ คือผิด เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้ คือถ้าเราจะพยายามเอาธรรมไปประยุกต์กับวิทยาศาสตร์กับอะไรต่ออะไร ก็ผิดทั้งนั้นเลย ไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพจริงๆ ของธรรมได้ เช่น สภาพรู้เนี่ย ที่ไม่ใช่รูปธรรมไม่มีรูปใดๆ เกี่ยวข้องสักนิดเดียว ไม่มีรูปมาเจือปนเลย ก็ลองคิดถึงว่าเอารูปออกไปจากห้องนี้ให้หมด เอาเสียงออกไป เอากลิ่นออกไป เอารสออกไป เอาอ่อนแข็งออกไป ไม่มีอะไรที่เป็นรูปเลย ที่เหลือนั่นคือจิต นามธรรม เป็นเพียงสภาพรู้ หรือจะใช้ว่าสภาพคิดก็ได้ เมื่อครู่นี้ถามว่าอะไรคิด จิตหรือเจตสิก ใช่ไหม ความจริงแล้วเป็นวิตกเจตสิก แต่วิตกเจตสิกเกิดกับจิต และจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าวิตกเจตสิกคิด แต่จิตรู้อารมณ์ที่วิตกเจตสิกคิด ก็เสมือนว่าจิตนั้นคิด เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน

    ผู้ฟัง ก็จะสับสนกับปัญญารู้ บางครั้งไม่รู้ว่าปัญญาหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะปัญญาเป็นความเห็นถูกต้อง

    ผู้ฟัง เป็นความเห็นถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ในคราวก่อนเราพูดถึงเรื่องโลก ๓ อย่าง คือโอกาสโลก ๑ สัตวโลก ๑ สังขารโลก ๑ ไม่ทราบว่าลืมหรือยัง โลก ๓ โลก ความจริงโลกมีมากกว่านี้ แต่เริ่มจากนี้ก็ได้ คือเริ่มจาก ๓ โลก คือ โอกาสโลก ๑ สัตวโลก ๑ สังขารโลก ๑ ซึ่งเมื่อเราศึกษาปรมัตถธรรม มีปรมัตถธรรม ๔ อย่าง คือ ๑ จิต ๒ เจตสิก ๓ รูป ๔ นิพพาน แล้วจะเกี่ยวข้องกับโลกนี้อย่างไร แล้วอะไรจะเป็นโลก ถ้าเราไม่มีการคิดไม่มีการใคร่ครวญเลย ก็ฟังธรรมไปเฉยๆ เขาบอกว่าโอกาสโลกอะไรก็ใช่ สัตวโลกอะไรก็ใช่ สังขารโลกอะไรก็ใช่ แล้วปรมัตถธรรม ๔ ก็ใช่อีก แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีการคิดพิจารณา ธรรมทั้งหมด ต้องมีความสัมพันธ์กัน อย่างโอกาสโลกก็ทราบว่าหมายความถึง โลกที่เราเข้าใจกันตามภูมิศาสตร์ มีดวงดาว มีจักรวาล มีต้นไม้ มีภูเขา หรือว่าโลกที่เราอยู่นี่ ถ้าโลกนี้ ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไร ต้องได้แก่รูปปรมัตถ์เท่านั้น เพราะเหตุว่าพูดถึงต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา และพระอาทิตย์ พระจันทร์ จักรวาล นี่คือรูปโลก หรือว่าโลกที่เป็นรูปเท่านั้น แต่ว่าอย่างที่คราวก่อนก็ได้พูดถึงแล้วว่าถ้าสภาพธรรมมีแต่รูปอย่างเดียว ก็ไม่มีความเดือดร้อนเลย จะเป็นภูเขาไฟ จะเป็นดอกไม้ จะเป็นทะเลสาบ จะเป็นอะไรก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น แต่ธาตุในโลกนี้มี ๒ อย่างคือ รูปธาตุ กับนามธาตุ ถ้าใช้คำว่ารูปธาตุ หมายความว่าธาตุชนิดนั้น ไม่ว่าจะมีลักษณะใดๆ ทั้งสิ้น จะหวาน จะเค็ม จะร้อน จะเผ็ด หรือ จะเป็นกลิ่น หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้เลย เพราะฉะนั้นเป็นรูปธาตุ ด้วยเหตุนี้โอกาสโลก เราก็ไปรู้ว่า ก็มีทั้งกลิ่น มีทั้งรส มีทุกอย่าง แต่ว่าเป็นเพียงรูปธาตุเท่านั้น แต่ว่าเมื่อมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง ต่างกับรูปธาตุโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่า เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ขณะนี้มีอยู่ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ธาตุนี้เป็นธาตุที่ไปรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโลกที่เป็นรูป คือรู้สีที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ถ้าไม่มีธาตุนี้เลย ดอกไม้บนโต๊ะนี้ ก็ไม่มีใครรู้ ใครเห็น โต๊ะไม่รู้ว่ามีดอกไม้อยู่ ดอกไม้ก็ไม่รู้ว่าอยู่บนโต๊ะ ต่างคนก็ต่างไม่ใช่สภาพรู้ทั้งหมด แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ ที่เห็น กำลังเห็น นี่เป็นลักษณะอาการรู้ ซึ่งคนตายไม่เห็น เพราะฉะนั้นคนตายก็มีแต่รูป ไม่มีนามธาตุเลย แต่ว่านามธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ก็เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น รู้เฉพาะอย่างๆ แล้วก็ดับไป อย่างทางตา มีปัจจัยที่จะให้ธาตุเห็นซึ่งเป็นสภาพที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วดับ หรือทางหู ก็มีโสตปสาทรูป และก็มีเสียง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นธาตุ โสตปสาทรูปก็เป็นรูปธาตุ เสียงก็เป็นรูปธาตุ แต่ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดนามธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นนามธาตุที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับ นี่คือการที่เราจะรู้จักโลก และปรมัตถธรรมที่เราเรียนมาแล้วให้สอดคล้องกันให้เข้าใจว่า สำหรับโอกาสโลก เป็นรูปธาตุเท่านั้น แต่สำหรับสัตวโลกไม่ใช่รูปธาตุเท่านั้น แต่มีนามธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ด้วย ที่เรียกง่ายๆ ก็คือร่างกายกับจิตใจ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะร่างกายเท่านั้น หรือไม่ใช่มีแต่รูปธาตุเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำว่าสัตวโลกนี่ที่จะปราศจากนามธาตุไม่มี นอกจากต่อไปข้างหน้าเราจะค่อยๆ รู้ว่าก็มีอยู่ภูมิหนึ่ง แต่ภูมินั้นก่อนที่จะเป็นภูมิของรูปอย่างเดียวก็ต้องมีนามธาตุเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำว่าสัตวโลกเนี่ย จะต้องมี ๒ อย่างคือ นามธาตุ กับ รูปธาตุ อาศัยกันเกิดขึ้น แต่เรื่องของสัตวโลกนี้ก็จำแนกไปอีกว่า เป็นสัตว์ที่มีแต่นามล้วนๆ หรือว่ามีแต่รูปล้วนๆ หรือว่ามีทั้งนามทั้งรูป เพราะฉะนั้น เราก็ยังจะไม่ก้าวไกลไปถึงภูมิอื่น กล่าวเฉพาะที่เห็นๆ กัน ซึ่งเรากำลังอยู่ขณะนี้ คือ สัตวโลก ก็จะต้องเป็นทั้งนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้นก็ตรงกับปริยัติ คือ จิต เจตสิกรูป นิพพาน ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ๔ มาสงเคราะห์กับธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร หรือข้อความตอนหนึ่งตอนใดก็ตาม ข้อสำคัญที่สุดก็คือ ความเข้าใจถูก การศึกษาธรรมอย่าไปคิดว่าเราถึงปริเฉทไหนแล้ว หรือว่าเราเรียนเรื่องอะไรบ้างแล้ว แต่ต้องคิดถึงความเข้าใจว่า ถ้ามีความเข้าใจแล้วเนี่ยจะโปร่งทั้ง ๓ ปิฏก ปริเฉทนั้นไม่ต้องพูดถึง อย่างบนกระดานนี้ทุกคนก็ผ่านไปผ่านมาค้างมาตั้งแต่ต้นปี หรือปีไหนก็ไม่ทราบที่เป็นเรื่องของจิตดวงหนึ่ง คืออกุศล จิตที่เป็นโลภมูลจิต ซึ่งทุกคนมี และก็เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ดอกไม้นี่สวย มีแล้วโสมนัสเวทนา มีความติดข้องด้วย เพราะฉะนั้นจิตดวงนี้ก็ไม่ใช่พ้นไปจากที่เรากำลังพูดถึงเพราะอะไร ต่อให้อยู่บนกระดานอีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ก็หนีจิตดวงนี้ไม่พ้น เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าจิตดวงนี้ มีจริง แล้วก็ที่เรากำลังพูดถึงเรื่องโลกไม่ว่าจะเป็นโอกาสโลก สัตวโลกหรือสังขารโลกก็ตาม ไม่พ้นจากการที่จะให้เข้าใจถูก เพื่อค่อยๆ ละจิตดวงนี้ แต่ว่าจิตดวงนี้จะเกิดร่วมกับทิฏฐิความเห็นผิด ซึ่งความเห็นผิดมีตั้งแต่ความเห็นผิดเล็กๆ จนกระทั่งถึงความเห็นผิดที่ใหญ่มาก ความเห็นผิดเล็กๆ ที่ว่าทุกคนมีก็คือสักกายทิฏฐิ ที่เป็นความเห็นที่ยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงเที่ยง เช่นเห็นดอกบัวเนี่ยก็ต้องคิดว่าเป็นดอกบัว ยังไม่ได้เป็นอื่น ยังไม่เป็นเพียงรูปที่ปรากฏทางตา นี่ก็คือ ถ้ามีความเชื่อ มีความเห็นอย่างนั้นจริงๆ ยังไม่ต้องก้าวไกลไปถึงเรื่องมงคลตื่นข่าวต่างๆ ยึดถือเรื่องเจ้ากรรมนายเวรหรือเรื่องอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่มีความมั่นคงว่าทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตนจริงๆ ก็จะเห็นได้ว่าแม้แต่เรามีชื่อนี้ติดอยู่บนกระดานทั้งหมดที่เราฟังวันนี้เพื่อเข้าใจถูกขึ้นทีละน้อยๆ เพื่อที่จะได้ละจิตดวงนั้น นั่นเอง นี่ก็แสดงให้เห็นถึงว่า ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่ากี่ปริเฉท และกี่ดวง และก็อยู่ที่ไหนบ้างในพระไตรปิฏกตรงไหน ถ้าเป็นในลักษณะนั้น ผู้นั้นจะไม่เข้าใจธรรม เพราะมัวกังวลเรื่องปริเฉท เรื่องชื่อ แต่ถ้าถามเรื่องความเข้าใจธรรมแล้วจะไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนฟังธรรม เพื่อความเข้าใจธรรม ไม่ต้องห่วงไม่ว่าจะไปอ่านปริเฉทไหน หรือว่าจะเป็นพระไตรปิฏกเล่มไหน ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของปรมัตถธรรมที่สงเคราะห์กับ เรื่องของ ๓ โลก คือ โอกาสโลก สัตวโลกซึ่งโอกาสโลกมีแต่รูปเท่านั้น สัตวโลกมี ทั้งนาม และรูป แล้วก็ โลกสุดท้ายคือ สังขารโลก ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม หรือรูปธรรมทั้งหมดเกิดขึ้นแล้วดับไป นี่คือความหมายของโลก หรือ โล -กะ คือสภาพธรรมซึ่งแตกดับ แต่สภาพธรรมซึ่งแตกดับนี่ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดแล้วจะแตกดับได้อย่างไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยแล้วอะไรจะดับ ก็ต้องไม่มี เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจคำว่าสังขาร ซึ่งเป็นสภาพที่ปรุงแต่งมีปัจจัย เมื่อทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ ก็คือว่าทันทีที่เกิด ก็ดับทันที นี่แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วมากของสภาพธรรมซึ่งเราจะต้องเข้าใจว่า ถ้าเราไม่ศึกษาปรมัตธรรม เราก็คิดว่าสังขารนี้ก็เกิดคือ เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ดับก็คือตอนตาย ซึ่งไม่ถูกต้อง ขณะนี้ถ้าคนที่เข้าใจความหมายของสังขารโลกคือเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เป็นโลก หมายความถึงนามธรรม และรูปธรรมทุกชนิด เกิดขึ้นแล้วดับอย่างรวดเร็วทันที

    เพราะฉะนั้นเรื่องของโลกก็เว้นปรมัตถธรรมหนึ่ง คือนิพพานปรมัตถ์ เพราะเหตุว่า เป็นสภาพธรรมที่เหนือโลก เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่า โลกุตร ซึ่งมาจากคำว่า โลก กับ กุตร เพราะฉะนั้นมีนิพพานเท่านั้นซึ่งพ้นจากโลก คือพ้นจากการเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมทั้งหมดขอให้ตั้งต้นให้ถูกด้วยความเข้าใจจริงๆ แล้วก็เข้าใจโดยการที่ว่าพิจารณาในเหตุในผลด้วย ก็จะทำให้เราไม่เห็นเหนื่อยที่จะต้องไปนั่งท่อง เพราะว่าเรามีเหตุผลกำกับตั้งแต่ปรมัตถธรรม ๔ ซึ่งเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสังขารโลก สัตวโลก หรือโอกาสโลก หรือว่าจะเป็นอริยสัจจ จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ก็ไม่พ้นจากปรมัตถธรรมได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ว่าถ้าศึกษาให้เข้าใจปรมัตถธรรมจริงๆ แล้วไม่ว่าจะผ่านพระธรรมส่วนหนึ่งส่วนใดแล้วก็พิจารณาก็จะพบความสอดคล้องว่าก็เป็นเรื่องของธรรมนี่แหละ ไม่ทราบต้องจำหรือเปล่าหรือว่าเข้าใจ เรื่องโลก โลกก็คือสภาพธรรมซึ่งแตกดับ ก็จำแนกออกเป็น ๓ โลกก็ได้แก่ โอกาสโลก ซึ่งได้แก่ รูป สัตวโลกก็ได้แก่นาม และรูป และสังขารโลกก็คือทุกอย่าง ไม่ว่านามธรรม หรือรูปธรรมเกิดแล้วก็ดับทันที

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามว่า สัตวโลกกับสังขารโลกนี้ ดูก็เหมือนคล้ายกัน แต่ทำไมท่านจึงแยกสัตวโลกกับสังขารโลกออก เพราะว่าสัตว์ก็ต้องมีสังขารซึ่งเกิดดับ ปรุงแต่งเหมือนกัน จะซ้ำกันหรือไม่ เหตุใดจึงแยกออกเป็น ๒ ประเภท

    ท่านอาจารย์ ไม่ซ้ำ แต่เป็นการขยาย เพราะเหตุว่า เวลาพูดถึงโอกาสโลก หมายถึง รูปธาตุอย่างเดียว แต่เมื่อกล่าวถึงสัตวโลกหมายถึงนามธาตุกับรูปธาตุ เพราะว่าถ้าไม่มีนามธาตุก็จะเป็นสัตว์ไม่ได้ แต่เพื่อไม่ให้คนเนี่ยเข้าใจว่าสัตว์เกิดแล้วตาย อย่างคุณสุรีย์ เกิดมาวันที่เท่าไหร่ และวันจะตายเป็นวันที่เท่าไหร่ ก็คิดว่าอย่างนั้น แต่เพื่อที่จะให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า นาม และรูปทั้งหมดอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นมีปัจจัยจึงเกิด เป็นแต่ละชนิดแล้วก็ดับทันที จึงอธิบายความหมายของทั้งโอกาสโลก และสัตวโลก หรือว่านามธรรม และรูปธรรมว่า เป็นสังขารโลก เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดแล้วก็ดับ

    ผู้ฟัง หมายความว่า เป็นตัวขยายโลก

    ท่านอาจารย์ เป็นลักษณะของโลกทั้ง ๒ ถามว่า ๓ โลกนี่ โลกไหนสำคัญ โอกาสโลก สัตวโลก สังขารโลก

    ผู้ฟัง สำคัญทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ที่ยึดถือ ถ้าไม่มีนามธาตุ ก็ไม่มีสัตว์ มีแต่รูปธาตุอย่างเดียว นี้คือ แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีนามธรรม และรูปธรรม แล้วมีการยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสัตว์ ทุกคนนี่มีชีวิต นี่คือสัตวโลก แมวก็เห็น คนก็เห็น เพราะฉะนั้นแมวก็เป็นสัตวโลกเหมือนกัน เพราะเหตุว่าไม่ใช่แต่มนุษย์เท่านั้น ทุกคนก็ยอมรับความหมายของสัตวโลกว่าหมายความถึงสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งความจริงแล้วก็คือนามธรรมกับรูปธรรม เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวถึงโลกแต่ละใบนี่ ลองคิดดูว่าจริงไหม ในเมื่อนามธรรมเกิดขึ้นแล้วดับเร็วมาก ไม่ยั่งยืนเลย ชั่วขณะนั้นเป็นโลกขณะหนึ่ง แต่ว่าเพราะว่านามธรรม และรูปธรรมทั้งหลาย เกิดดับสืบต่อเร็วมาก เพราะฉะนั้นการแตกดับไม่ปรากฏ จึงเสมือนกับว่ายั่งยืน เพราะฉะนั้นจึงมีความคิดว่ามีสัตว์จริงๆ มีคนจริงๆ มีสิ่งที่มีชีวิตจริงๆ กำลังคิดนี้เป็นเรื่องราวจริงๆ และนึกย้อนไปก็เป็นเรื่องราวของเราทั้งหมดจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่าเพราะไม่รู้ในความเป็นสังขารโลก คือทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลได้เลยถ้าปราศจากปัจจัยของธรรมชนิดไหน ธรรมชนิดนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็เห็นว่าที่เคยยึดถือ หรือว่าที่สมมติบัญญัติ หรือที่เป็นสัตว์ขึ้นมาเพราะเหุตุว่ามีนามธรรม และในโลกนี้มีทั้งนามธรรม และรูปธรรมด้วย เพราะว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ มีนามธรรม และรูปธรรม ไม่ใช่มีแต่นามธรรมอย่างเดียว เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า โลกจริงๆ สั้นมากคือเพียงชั่วขณะที่จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับ แล้วถ้าจิตนั้นไม่เกิดอีกเลย สิ้นสุดความเป็นสัตวโลกไม่มีอีกเลย ก็เหลือแต่โอกาสโลก และ สังขารโลก ที่ทำให้รูปธาตุนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่านามธาตุไม่ใช่ธาตุซึ่งใครจะดับได้ เมื่อมีปัจจัยของนามธาตุ หรือรูปธาตุชนิดไหนที่จะเกิด นามธาตุหรือรูปธาตุชนิดนั้นก็ต้องเกิด

    เพราะฉะนั้นที่เรายึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ ขอให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นนามธรรม และรูปธรรม และสำหรับนามธรรมนั้นก็มี ๒ อย่าง คือจิตกับเจตสิก นี่ก็เป็นการทบทวน แต่ว่าทบทวนอีกแบบหนึ่ง คือเป็นเรื่องของโลกทั้ง ๓ และก็เป็นสัตวโลก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีชีวิตอยู่ หรือว่าเกิดมาแล้วนี่ หรือที่ไหนที่ไหนก็ตาม ที่จะพ้นไปจากนามธรรม และรูปธรรม ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ว่านามธรรมของใครก็ของคนนั้น อย่างจิตเห็นของใครขณะนี้มีปัจจัยเกิดตรงนี้ ที่เห็นอย่างนี้ก็จะไม่ใช่จิตเห็นตรงอื่น ขณะอื่น ของบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความสั้นแสนสั้นของโลกแต่ละขณะ ซึ่งเราคิดว่าโลกนี้อยู่ตั้งนานเลยนะคะ แล้วก็แข็งแรงมั่นคงหนาเป็นก้อนใหญ่โต บรรจุมนุษย์ไว้ได้ตั้งกี่ประเทศ กี่ล้าน กี่พันล้าน แต่ความจริงแล้ว รูปสามารถที่จะแตกย่อยละเอียดยิบ แล้วก็เกิดดับอย่างรวดเร็วด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่รูป ที่เราคิดว่าแน่นหนามั่นคงเหมือนภูเขานี่แต่พริบตาเดียวก็ย่อยได้ เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ นี่เรื่องของรูป แต่นามธาตุเกิดดับเร็วกว่านั้น เพราะฉะนั้น จะไม่หลอกจะไม่ลวงให้คนที่ไม่มีปัญญาหลงผิดยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นตัวตนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า กว่าปัญญาจะอบรมจริงๆ ให้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมต้องอาศัยการฟังพระธรรมจากพระผู้มีพระภาคซึ่งทรงตรัสรู้จากการอบรมพระบารมีที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมในขณะนี้ตามความเป็นจริง และผู้ที่ฟังคือผู้ที่เป็นสาวก คือ สาวะโก ผู้ฟัง ฟังแล้วก็คิด แล้วก็พิจารณา แล้วก็เข้าใจ ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องสติปัฎฐาน หรือสติที่จะระลึกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม และก็ไปนั่งคิดว่าทำไมเกิดน้อยเหลือเกิน วันหนึ่งก็น้อยเหลือเกิน ในเมื่อความเข้าใจในเรื่องของนามธรรม และรูปธรรมก็ยังไม่ละเอียด หรือว่ายังไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ระลึกได้ในขณะนี้ ในลักษณะซึ่งเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นการฟังเป็นเรื่องฟังให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นนามธรรม และรูปธรรม แล้วก็แม้ว่าใครจะพูดถึงเรื่องโลกต่อไปนี้เขาก็เข้าใจโลกภูมิศาสตร์ ถ้าเขาเป็นครูสอนตามโรงเรียนสอนภูมิศาสตร์เขาก็สอนเรื่องโลก หรือใครจะสอนเรื่องจักรวาล เรื่องไปไหนมาไหนก็ตามแต่ ถึงไหนก็ตาม แต่คนที่เข้าใจธรรมแล้ว ก็รู้ว่านั่นคือรูป หรือว่าถ้าเป็นสัตวโลกก็คือ นามธรรมกับรูปธรรม ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมาก นี่คือความเข้าใจธรรมแล้ว แม้ว่าคนอื่นจะพูดเรื่องอื่น แต่จริงยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ไม่ใช่เพียงเรื่องของนามธรรม และรูปธรรมซึ่งไปเป็นวิชาการต่างๆ แต่ว่าเป็นตัวนามธรรม และรูปธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยกำลังเกิดขึ้น และดับไป ในขณะนี้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าฟังอย่างนี้ อย่างน้อยก็ทำให้คลาย ความที่เห็นว่าโลกกว้างใหญ่มั่นคง หรือว่าตัวเราทั้งตัวนี่ว่าจะตายไปก็อีกนานหลายปี หรืออาจจะหลายวัน แต่ความจริงกำลังเกิดดับ หรือตายอยู่ทุกขณะ ชื่อว่าขณิกมรณ ขณิก ก็มาจาก ขณะ ตายอยู่ทุกขณะเพราะเหตุว่า ที่เกิดขึ้น และจะไม่ดับไม่มี ขณะนี้สภาพเห็น ทุกคนกำลังเห็นดับแล้ว รู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่ ปรมัตถธรรมเป็นปรมัตถธรรม คือเป็นสภาพที่เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ได้ยินชั่วขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับแล้ว นี่คือโลกจริงๆ เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกคนก็คงจะหมดความสงสัยในเรื่องโลกว่า โลกคืออะไร พอจะถามได้หรือยัง

    ผู้ฟัง ที่ว่าต้องฟังให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็รู้จริงๆ คงไม่ได้หมายความว่า เข้าใจข้อความ เข้าใจเรื่องราวเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ก็ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุใช่ไหม เรารู้จักโลกตอนเป็นเด็กอย่างหนึ่ง แต่เมื่อฟังแล้วนี่เวลานี้เรารู้ว่า โลกหมายความถึงสภาพธรรมที่แตกดับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 11
    6 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ