พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 14


    ตอนที่ ๑๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖


    ผู้ฟัง ความรู้สึกเจ็บเป็นเวทนาไม่ใช่จิต

    ผู้ฟัง จิต และเจตสิกมีอารมณ์เดียวกัน

    ผู้ฟัง จิต รับรู้ไม้เรียว เวทนาเจตสิกทำหน้าที่เจ็บ

    ผู้ฟัง แต่คิดว่าพร้อมๆ กัน

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ทุกอย่างพร้อมกันหมดเลย ไม่เห็นอะไรเกิดดับเลย เพราะว่าเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก แม้กระทั่งเป็นคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอะไรทุกอย่าง

    ผู้ฟัง การที่คุณจำนงพูดเรื่องเดิม และก็ยังมีความรู้สึกนั้นอยู่ นี้เป็นสัญญาขันธ์ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เราจะใช้คำนี้เสมอจนกว่าเราจะได้เข้าใจแล้วว่าคืออะไร เช่น ได้ยินคำว่าเวทนาขันธ์ ถ้ายังมีความไม่เข้าใจก็ถามว่า นี้เป็นเวทนาขันธ์ไหม แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้ว จะถามไหมว่าเป็นเวทนาขันธ์ หรือไม่ เพราะฉะนั้น แม้แต่สัญญาขันธ์ หรือคำอื่นๆ อีกมากที่จะได้ยินต่อไป ถ้าไม่เข้าใจคำนั้น ก็จะถามอยู่เรื่อยๆ เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็จะไม่ถาม เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับการเข้าใจ ถ้าเราได้ยินคำว่า “เวทนา” รู้ หรือไม่ว่าเป็นปรมัตถธรรม เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก เป็นรูป หรือเป็นนิพพาน ทราบใช่ไหมว่าเป็นเวทนาขันธ์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเมื่อเข้าใจแล้วก็คือเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ยังจะต้องสงสัยต่อไป

    เดี๋ยวนี้ทุกคนที่นี่พูดถึงเรื่องรูป ขอให้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าในชีวิตประจำวัน รูปที่ปรากฏมีเพียง ๗ รูป ทั้งๆ ที่ทรงแสดงไว้ว่า รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป แต่รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ๑ รูป ที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าเป็นลักษณะของธรรมที่กระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏ เพราะฉะนั้น จะเป็นคน เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการคิด ก็จะเห็นได้ตามความเป็นจริง โลกของความคิดทำให้มีเรื่องราวต่างๆ มีสัตว์ มีบุคคลต่างๆ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ปรากฏโดยที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คือสิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีลักษณะอย่างนี้ เมื่อใดที่ค่อยๆ เข้าใจโดยระลึกได้ว่า ขณะนี้ที่เคยเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ เพราะคิดถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วจำ แต่ถ้าไม่มีการคิด ไม่มีการจำ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมใดเป็นอย่างไร และก็รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ในขณะนั้น จึงเป็นการอบรมความเห็นถูก ที่จะละการยึดติดในเรื่องราว การที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมก็คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล สละความยึดถือว่าเป็นเรา แล้วก็สละเรื่องราวทั้งหมดที่เคยทรงจำไว้ว่าเป็นเรา มีญาติพี่น้องเท่าไร บ้านอยู่ที่ไหน วันนี้มีอะไร ดอกไม้อยู่ตรงไหน นี่เป็นเรื่องราวทั้งหมด เพราะว่าขณะใดก็ตามที่มีสภาพของปรมัตถธรรมกำลังปรากฏ ตรงนั้นขณะนั้นไม่มีเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเป็นทุกข์คงไม่ทราบว่า ทุกข์เพราะเรื่องราวที่จิตคิด ถ้ามีปัญญาในขณะนั้นที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง ตรงนั้นไม่มีเรื่องราวเลย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่สติระลึก มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง พ้นจากความทุกข์ของเรื่องราว เพราะฉะนั้นการที่จะพ้นจากความทุกข์ของเรื่องราว ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า มีเท่านี้เอง จนกระทั่งสามารถที่จะปรากฏความเกิดขึ้น และดับไป แต่ก็คงจะเป็นเวลาอีกนาน เพราะต้องเป็นผู้ที่ตรงในขั้นของการฟังว่า ขณะนี้เราได้ฟังธรรม และธรรมก็กำลังมีปรากฏอยู่ เรื่องของจิตก็เป็นธาตุรู้ สภาพรู้ และก็มีเวทนาความรู้สึก ซึ่งไม่เคยขาดไปเลย แต่ทั้งๆ ที่กล่าวอย่างนี้บ่อยๆ ก็ยังไม่ถึงกาลที่ถึงความสมบูรณ์ของความเข้าใจ ที่จะทำให้สติปัฏฐานเกิดระลึกทันที ตรงลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่กำลังปรากฏแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ถ้าศึกษาด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรม ในความเป็นอนัตตา ก็จะเป็นปัจจัยให้มีการระลึกตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่รีบร้อนอยากจะมี หรือว่าอยากจะเร็ว หรือว่าอยากจะมาก ถ้าเป็นอย่างนั้น คือไม่เห็นโลภะที่เป็นสมุทัย การศึกษาทั้งหมดต้องค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับขั้น จากขั้นของการฟัง มีความเข้าใจจริงๆ แล้วก็ถึงกาลที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ตลอดชีวิต หรือไม่ หรือแม้ชาติต่อๆ ไปด้วย ไม่ใช่ชาติเดียว แต่อย่างน้อยที่สุดมีการสะสมความเห็นถูก และหนทางถูกที่สามารถทำให้ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ได้

    ผู้ฟัง โลกของความคิดเป็นนาม เรื่องที่คิดเป็นรูป ถูกต้อง หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เรื่องที่คิดคืออะไร ขอให้ยกตัวอย่าง

    ผู้ฟัง ดิฉันถูกคุณครูตีแล้วเจ็บ เรื่องนั้นจบไปแล้ว ดิฉันก็เอามาคิดแล้วคิดอีกแล้วก็โกรธคุณครู

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คิดเรื่องดิฉันถูกคุณครูตี อยู่ตรงไหน ขณะที่กำลังคิดว่า ดิฉันถูกคุณครูตี คุณครูอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ไม่มี จบไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ฉะนั้นไม่ใช่รูป จิตที่คิดพร้อมเจตสิกที่เกิดเป็นนามธรรมเป็นปรมัตถธรรม เรื่องที่คิดเป็นเรื่องราว เป็นคำต่างๆ เป็นรูป หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นความคิด ก็คงเป็นนาม

    ท่านอาจารย์ เรื่องที่คิดไม่ใช่ทั้งนามธรรม และรูปธรรม ถ้านามที่เกิดก็มีจิต และเจตสิก ที่กำลังคิดเป็นนามธรรม รูปก็มีลักษณะของรูปแต่ละรูป เช่น รูปที่กำลังปรากฏทางตาอย่างหนึ่ง รูปที่กำลังปรากฏทางหูอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังคิดว่าถูกครูตี ไม่มีทั้งดิฉัน ไม่มีทั้งไม้เรียว ไม่มีทั้งคุณครูตี เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่เพียงความทรงจำ และขณะที่คิดอย่างนั้นเป็นการคิดถึงคำ เพราะว่าความคิดมีหลายอย่าง คิดที่ไม่เป็นคำก็มี เร็วมากด้วย ไม่มีการรู้ตัวเลย ว่าขณะที่กำลังเห็นเป็นอะไร คิดแล้ว เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ทำไมเห็นเป็นคน แสดงว่าขณะที่รู้ หรือคิด เข้าใจว่าเป็นคนขณะนั้น คิดแล้ว ในรูปร่างสัณฐาน และความทรงจำ เพราะฉะนั้น เรื่องของความคิดนั้นมากมาย จิตที่คิดพร้อมเจตสิกที่เกิดเป็นนามธรรม เป็นปรมัตถธรรม แต่เรื่องราวเป็นความทรงจำในสีสันวรรณะ จำได้ว่ามีครู จำไม้เรียวได้ จำได้ว่าถูกครูตี

    ผู้ฟัง เป็นสัญญาใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะสัญญาต้องเกิดกับจิตทุกขณะ แต่กำลังจะลำดับให้ฟังว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง ซึ่งก็จะต้องเกี่ยวกับสัญญาเจตสิกที่จะศึกษาในครั้งต่อไป แต่ให้ทราบว่า เรื่องราวไม่ใช่รูป และไม่ใช่นาม เพราะว่ารูปแต่ละรูปมีลักษณะของรูปนั้นๆ ว่า รูปนี้มีจริง กำลังปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม เสียงมีจริงกำลังปรากฏทางหู เป็นรูปธรรม แต่เรื่องราวไม่มีอะไรที่จะปรากฏ ที่จะเป็นลักษณะของรูป หรือนามธรรมเลย

    ผู้ฟัง อาจารย์สอนเรื่องขันธ์ ๕ ข้อที่ ๑ ต้องมีรูป

    ท่านอาจารย์ รูปทุกรูป เป็นรูปธรรม จะเป็นสภาพธรรมอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิด เมื่อไหร่ ที่ไหน ลักษณะอย่างไร บนสวรรค์ในน้ำที่ไหนก็เป็นรูป จึงเป็นรูปขันธ์ เป็นกอง หรือเป็นส่วนที่เป็นรูป เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูป เพราะฉะนั้น ความรู้สึกในอดีตก็มี ปัจจุบันก็มี ต่อไปก็จะมี เวทนาความรู้สึกมีลักษณะหลากหลาย แต่ทั้งหมดก็คือสภาพของเจตสิกชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เจตสิกอื่นๆ อีก ๕๑ ชนิด เพราะฉะนั้น จึงเป็นเวทนาขันธ์ เป็นความรู้สึกที่มีความสำคัญมาก เพราะว่าทรงแสดงตามอำนาจของความติดข้อง ความยึดมั่นในสภาพธรรมนั้นๆ เราก็มีความยึดถือว่าจิตเป็นเรา โดยที่ว่าไม่รู้ลักษณะของจิต เพราะฉะนั้นจิตก็เป็นวิญญาณขันธ์ ถ้าถามใครแต่ละคนที่นี่ ทุกคนก็มีความรู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักตัวเอง หรือเปล่า บางคนรู้เรื่องอื่นหมด แต่ไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าที่เรื่องทุกเรื่องที่แต่ละคนศึกษา หรือมีความถนัดมีความชำนาญจะมีได้ก็เพราะมีสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา คือมีจิต มีเจตสิก มีรูป และเรื่องของจิต เจตสิก รูป ฟังดูเหมือนธรรมดา จิตก็เป็นสภาพที่ขณะนี้กำลังเห็น กำลังคิดนึก กำลังได้ยิน กำลังรู้สึกสุข ทุกข์ทางกาย ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว สภาพธรรมที่เกิด ลองคิดดูจากสิ่งที่ไม่มีแล้วมีขึ้น จะต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นมีขึ้น แม้แต่จิตที่มีก็จะต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น คือเจตสิก เรียกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นมีความล้ำลึก ซึ่งถ้าไม่ใช่พระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้โดยสิ้นเชิงในความจริงของสภาพธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะทรงแสดงความจริงนั้นให้คนอื่นได้เกิดความเข้าใจได้เลย

    ซึ่งในคราวก่อน ได้กล่าวเรื่อง จิต เจตสิก รูป โดยนัยของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นไปตามการยึดถือ สภาพธรรมแบ่งเป็นประเภทใหญ่ เป็น ๒ ประเภท คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม ไม่สามารถที่จะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึกได้เลย ส่วนสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นนามธรรม คือ สภาพที่กำลังมีอยู่ทุกขณะในขณะนี้ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังรู้สึกต่างๆ ธรรมไม่ได้อยู่ไกลตัว หรือนอกตัว แต่มีจริงทุกๆ ขณะ แม้ในขณะนี้ ที่กล่าวถึงเห็น ก็เพื่อให้ทุกคนรู้ว่า "เห็น" ขณะนี้มี แล้วก็เป็นธรรม แต่ความห่างไกลของปัญญาที่จะเห็นว่า เห็นมีจริง ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ก็ลองคิดดูว่าในแสนโกฏิกัปป์ หรือนานแสนนานมาแล้ว เราไม่เคยรู้เลยว่าขณะนี้สภาพธรรมทุกอย่าง เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีสภาพธรรมใดเลยที่ปรากฏในขณะนี้ที่ไม่ดับ เพราะฉะนั้นก็แสดงความห่างไกลกันมากของปัญญาที่เริ่มจากการฟัง จนกว่าจะเข้าใจ จนกว่าจะอบรมจนกระทั่งประจักษ์จริงๆ ว่าสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นธรรม ตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ ด้วยปัญญาของเรา เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าชีวิตที่ดำเนินไปวันหนึ่งๆ แม้มีสิ่งที่ปรากฏก็ไม่เคยรู้ความจริง และยึดถือสิ่งนั้นๆ ด้วย เช่นสิ่งที่เป็นรูป เราติดมากเท่าไร มีใครไม่ปรารถนารูปหนึ่งรูปใดบ้าง ตั้งแต่เกิดจนตายกี่ชาติมาแล้ว ก็ปรารถนาเห็นสิ่งดีๆ ได้ยินเสียงดีๆ ได้กลิ่นดีๆ ลิ้มรสดีๆ รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดีๆ เพราะฉะนั้นรูปเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราติดข้องมาก เป็นรูปขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปหยาบ รูปละเอียด รูปใกล้ รูปไกล รูปอดีต รูปอนาคต อย่างไรก็ตามก็เป็นประเภทของรูปแต่ละรูป เป็นรูปซึ่งไม่ใช่นามธรรม

    สำหรับจิตก็เป็นวิญญาณขันธ์ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เหลืออีก ๓ ขันธ์ เพราะขันธ์๕ ได้แก่ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑ รูปขันธ์ ขณะนี้มีแน่นอน กำลังปรากฏ วิญญาณขันธ์ขณะนี้มี หรือไม่ มี กำลังเห็น กำลังได้ยิน เป็นวิญญาณขันธ์ ส่วนเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เป็นเจตสิก สำหรับเวทนาขันธ์ ได้แก่เวทนาเจตสิกหนึ่งประเภทซึ่งเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๕ อย่าง คือขณะนี้รู้สึกอย่างไร เฉยๆ หรือ ดีใจ หรือ เสียใจ หรือ สุขทางกาย หรือ ทุกข์ทางกาย จะไม่พ้นจากความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดเลยทั้งสิ้น เป็นสภาพธรรมที่ต้องเกิด แต่เมื่อเกิดแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นใหญ่ทำให้แต่ละคนเดือดร้อน หรือเป็นทุกข์ หรือแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้สึกที่เป็นสุข ในบรรดาความรู้สึกทั้งหมด ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ คืออทุกขมสุข หรืออุเบกขา ความรู้สึกที่ดีใจเสียใจ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์กายทุกข์ใจ สิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนาเลยคือ ทุกข์กาย และทุกข์ใจ แต่สิ่งที่ทุกคนปรารถนาคือสุขกาย และสุขใจ ถ้าไม่ได้ก็ขอเพียงเฉยๆ เพราะฉะนั้นเราแสวงหาตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับทุกวัน เพื่อความรู้สึกเช่นนี้ เพราะฉะนั้นเวทนาเจตสิกจึงเป็นเวทนาขันธ์ เป็นสิ่งที่เรายึดมั่นว่าเป็นเราก็มีความยึดมั่นในสภาพธรรมนี้ จนกระทั่งต้องเป็นสุขเป็นทุกข์เรื่อยๆ ก็เพราะเวทนาเจตสิก แต่ลองคิดดู นอกจากนั้น ในบรรดาเจตสิก ๕๒ ประเภท หนึ่งเจตสิกคือเวทนาเจตสิก มีความสำคัญมาก นอกจากเวทนาเจตสิกแล้ว ก็คือสัญญาเจตสิก เป็นสภาพที่จำ แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเกิดกับจิตอะไร

    นี่คือสภาพธรรมที่ตัวเราทั้งหมดเลย ปกติ เรารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ หรือไม่ ไม่ แต่ว่าสัญญาเกิดแล้ว จำแล้วในสิ่งที่ปรากฏโดยคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะไม่รู้ว่าความจริงในขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็มีสัญญาความทรงจำในสภาพธรรมซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก เหมือนไม่ดับเลย เช่น ในขณะนี้ สภาพธรรมกำลังเกิดดับเร็วมากเหมือนไม่ดับ เป็นคุณจำนงตั้งแต่เห็นจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ดับเลย เพราะความเกิดดับของสภาพธรรมไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรมนั้น รวดเร็วมาก เพราะฉะนั้นสัญญาก็จำผิด คือจำการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจนไม่ได้ปรากฏว่าดับ ในรูปร่างสัณฐานซึ่งทรงจำไว้อีกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้มีหลายสีสัน แต่เหตุใด เราสามารถที่จะรู้ว่าเป็นใคร เป็นอะไร ถ้าไม่มีสัญญาเจตสิกคือสภาพที่จำ ก็จะไม่มีการรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอะไร แต่ว่าสัญญาเจตสิกก็จะเปลี่ยนไป จากสัญญาเจตสิกที่เกิดกับอวิชชา การไม่รู้ความจริง แล้วก็ยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่ามีจริงๆ ไม่ใช่สภาพธรรมที่เพียงเกิดขึ้น และดับไป ก็จะยึดถืออย่างนี้เรื่อยไป แต่ว่าบางกาลเป็นกุศล เพราะว่าสภาพธรรมมีหลากหลายมาก ขณะใดที่เป็นอกุศล ขณะนั้นก็เกิดร่วมกับอวิชชาความไม่รู้ และยังจะเกิดร่วมกับโลภะความติดข้องในสิ่งที่เห็น หรือความขุ่นเคืองไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ เพราะเหตุว่าชีวิตก็อย่างนี้ เวลาที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ไม่ชอบก็ชัง

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าปกติ เมื่อมีอวิชชาความไม่รู้ ก็จะเกิดร่วมกับอกุศลอื่นๆ ซึ่งก็เป็นนามธรรมซึ่งมีจริง แล้วก็เป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง แต่บางกาลก็มีเจตสิกประเภทอื่นที่เกิด เพราะฉะนั้นสัญญาที่เกิดร่วมกับจิตประเภทอกุศล ก็เป็นอกุศลสัญญา ส่วนสัญญาที่เกิดกับจิตประเภทที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศลสัญญา จนกว่าจะเกิดร่วมกับปัญญา แล้วค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เพราะสัญญาความจำ ซึ่งขณะนี้ก็มี แต่เราไม่เคยรู้ตัวเราตามความเป็นจริงว่า สัญญาที่มีกับเราขณะนี้เป็นประเภทไหน มากน้อยแค่ไหน เป็นประเภทที่จำถูกเข้าใจถูกในเรื่องราวของสภาพธรรม และ เป็นความจำถูก ความเข้าใจถูก พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม หรือว่ากำลังเจริญขึ้น นี้ก็เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง และสัญญาเจตสิกก็เป็นสภาพธรรมที่มีความสำคัญมาก เพราะเหตุว่าเมื่อมีความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็จะมีการปรุงแต่งด้วยเจตสิก อื่นๆ ที่จะเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง นี้ก็คือชีวิตตามความเป็นจริง แต่กว่าจะรู้อย่างนี้นาน หรือไม่ ขั้นฟัง ขั้นเข้าใจ หรือขั้นรู้ว่ามีจริง และขั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็อบรมไป ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถรู้ได้ แต่ว่าเป็นผู้ที่ตรงว่าขณะนี้สามารถที่จะเข้าใจในระดับใด

    อ.อรรณพ สัญญามีความสำคัญที่ท่านแสดงว่าเป็นขันธ์ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ทำให้มีสภาพที่จำ แล้วเราเลยติดพร้อมกับความจำนั้น เช่น จำว่าเป็นสีเขียว สีต่างๆ เพราะว่ามีสัญญาเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ แต่ว่าลักษณะของสัญญา ดูเหมือนว่าจะละเอียด และก็ไม่ปรากฏง่ายๆ กับสติในตอนเริ่มต้น จะเป็นอย่างนี้ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ คือเรื่องที่สภาพธรรมใดจะปรากฏ ก็แล้วแต่สติปัฏฐาน หรือสติสัมปชัญญะจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมใด เช่นในขณะนี้แม้จะพูดว่าสัญญา มี เพราะว่าทุกคนกำลังจำ ที่ทุกคนกำลังเห็น และรู้ว่าอะไร ก็คือขณะนั้นสัญญาเจตสิกจำ แม้ว่าจะกล่าวอย่างนี้ แต่ว่าถ้าสติสัมปชัญญะไม่ระลึกลักษณะของสัญญาสภาพที่จำ ก็ไม่มีทางจะรู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ ข้อสำคัญที่สุดคือ ธรรมทั้งหมดมีจริง แต่โลภะความอยาก หรือความต้องการไม่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมใดๆ ได้เลย เพราะฉะนั้น เพียงแต่คิดว่าสัญญาไม่ปรากฏ แล้วก็สติไม่ระลึก ถ้าเกิดคิดว่าแล้วทำอย่างไรสติจะระลึก แล้วทำอย่างไรสัญญาจึงจะปรากฏให้รู้ได้ แค่นี้ก็คือพ้นจากความเข้าใจถูกต้องว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ให้เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมมี ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ปัญญาสามารถที่เข้าใจสภาพธรรมอะไร ทั้งๆ ที่กำลังเห็น สติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึกลักษณะเห็นก็ได้ อาจจะระลึกลักษณะของแข็ง เพราะว่าแข็งก็มีก็กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่อบรมเข้าใจถูกในสิ่งที่สติสัมปชัญญะระลึก แต่ตอนนี้ก็คงจะยังไม่สามารถไปถึงขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่สิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เคยฟังธรรมมาก่อน ฟังมานาน อาจจะหลายๆ ชาติ เพียงฟังเท่านี้สติสัมปชัญญะสามารถจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าใช้คำว่าระลึกก็ต้องมานั่งคิดกันอีกว่าระลึกอย่างไร แต่ถ้ากล่าวว่าขณะนี้มีลักษณะใด รู้ตรงลักษณะนั้น เพราะว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของสติสัมปชัญญะ แต่ยังมีความเป็นเรามากมาย จนกว่าความเป็นเราจะค่อยๆ น้อยลงไปทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ขณะนี้กำลังกล่าวถึงเรื่องของสัญญาเจตสิก ความจำ ซึ่งมีทุกขณะจิต แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับพร้อมจิต และก็รู้อารมณ์เดียวกับจิต เพราะฉะนั้นก็มีความหลากหลายของสัญญา คือสัญญาที่เป็นกุศลก็มี สัญญาที่เป็นอกุศลก็มี

    อ.กุลวิไล สัญญาขันธ์ เป็นขันธ์ๆ หนึ่ง ในชีวิตประจำวัน บางครั้งเราก็จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งเป็นการเห็นครั้งแรก ก็จะเห็นความแตกต่างว่า ขณะนั้นเป็นครั้งแรกที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น ก็พอที่จะพิจารณาถึงสภาพธรรมที่เป็นลักษณะของสัญญาเจตสิกที่จำในอารมณ์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    6 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ