พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 16


    ตอนที่ ๑๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีใครรู้บ้างว่าจิตเกิดดับกี่ประเภทแล้ว ทางทวารไหนบ้าง ทางตากำลังเห็น ทางหู ได้ยิน ทางใจก็คิดนึก ไม่มีการที่จะไปตามนับ หรือ สามารถที่จะรู้ได้ถึงความรวดเร็ว แต่ให้ทราบว่า ทางที่สามารถรู้อารมณ์มี ๖ ทาง จะได้ทราบว่าทางไหนรู้ปรมัตถ์ ทางไหนรู้บัญญัติ ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ต้องอาศัยตา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเป็นปรมัตถ์ สัญญาจำสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่มีเรื่องราวใดๆ เลยทั้งสิ้น นี้คือแสดงถึงความรวดเร็ว ไม่ว่าขณะไหน จะเห็นมาก เห็นน้อย เห็นกี่ครั้ง กี่ขณะ ก็ตาม เหมือนเห็นอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ สัญญาก็จำในขณะที่สิ่งนั้นที่กำลังปรากฏ จิตรู้แจ้งอารมณ์ใด สัญญาก็จำอารมณ์นั้น ทางหู เสียงปรากฏ สัญญาจำแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ว่าจะจำได้ หรือ จำไม่ได้ เพราะจำแล้ว แต่ละขณะที่จำก็ดับไป ไม่มีสภาพธรรมใดที่เกิดแล้วไม่ดับ ทางจมูก ทาง ลิ้น ทางกาย สัญญาก็จำลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ทางใจก็จำเพิ่มเติม คือจำเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏด้วย เพราะฉะนั้น เวลาที่นึกถึงเรื่องราว ให้ทราบว่าไม่ใช่ตาเห็น ไม่ใช่เป็นการจำสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ขณะที่นึกถึงเรื่องใด ก็คือ จำเรื่องที่กำลังคิดถึงในขณะนั้น ต้องมีสัญญาที่จำในขณะที่คิดอย่างนั้นด้วย ทางที่สามารถรู้อารมณ์ จึงแยกออกเป็น ๖ ทาง

    ผู้ฟัง ความจริงในขณะที่เห็น ก็มีลักษณะของสภาพธรรมของสิ่งที่ถูกเห็น มีลักษณะสภาพของสิ่งที่กำลังเห็นนั้น แต่ปรมัตถธรรมที่เกิดสั้นแสนสั้น ส่วนมากแล้วมักจะไปเรื่องราวของสิ่งที่ถูกเห็นนั้น..

    ท่านอาจารย์ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ทำไมเราคิดมาก เพราะเราคุ้นเคยกับการคิดอยู่ตลอดเวลา คุ้นเคยกับการจำเรื่องราว ก็ต้องคิดเป็นเรื่องราวไปจนกว่าสามารถที่จะมีสัญญาความจำที่มั่นคงว่า เรื่องราวเกิด หรือมีได้ในขณะนั้น เพราะจิตคิด ขณะที่เห็น ไม่มีเรื่องราว ก็เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า แม้กำลังเห็น ก็คิดเรื่องอื่นได้ ให้รู้ความต่างกันของ"เห็น"กับ "คิด" จะได้รู้ว่าที่จริงแล้ว สภาพธรรมที่เราจะต้องเข้าใจจริงๆ ก็คือเข้าใจลักษณะที่มีจริงที่เป็นปรมัตถธรรม อย่างมั่นคง ก็จะเป็นการที่สามารถเข้าใจได้ว่า ในขณะนี้ที่กำลังเห็น แทนที่จะเป็นเรื่องจำคนโน้นคนนี้ จำโน่นจำนี่ ก็เป็นการเริ่มที่จะจำว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง นี่คือขั้นต้นที่จะเปลี่ยนจากสัญญาการจำเรื่องราวต่างๆ มาสู่การที่จะจำได้มั่นคงขึ้นว่า ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น

    ผู้ฟัง คือขณะนั้นต้องจำลักษณะสภาพของปรมัตถธรรม กล่าวเช่นนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือไม่

    ท่านอาจารย์ จำพร้อมความเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม

    ผู้ฟัง สัญญาของพระอานนท์ที่ว่า ท่านทรงจำไว้ได้ ก็ทรงจำชื่อ และเรื่องราวของธรรมได้ และท่านก็มีความเข้าใจในธรรมจึงเป็นโสดาบัน แต่การที่ท่านจะมาสังคายนาครั้งแรกในปฐมสังคายนา ท่านก็จำธรรม พยัญชนะ อรรถของธรรมไว้ และท่านก็จำได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวถึงสัญญาของท่านพระอานนท์ จะเทียบกับใครในบรรดาสาวกทั้งหลาย เพราะเหตุว่า "จำ"ของสาวก หรือ ผู้ฟังยุคนี้สมัยนี้ ก็จะเห็นความห่างไกลกันมาก สมัยนี้ จำชื่อ จำคำ แต่ไม่ได้จำลักษณะ ด้วยความเข้าใจในระดับที่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความจำของเรา เราจะจำในระดับไหน จำเรื่องราว จำชื่อ ตอบได้ว่าจิตมี ๘๙ ประเภท นี่จำแล้วใช่ หรือไม่ แต่ จิต ๘๙ ประเภทคืออะไร และลักษณะของแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร และมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ นี่ก็แสดงให้เห็นความวิจิตรของสัญญาของแต่ละบุคคลว่า ถ้าไม่ใช่พระอริยสาวกในครั้งกระโน้นที่ทรงจำไว้อย่างเลิศ ความจำจะต้องต่างกับบุคคลอื่นแน่นอน

    ผู้ฟัง สัญญาของพระอานนท์คงเหนือกว่าพระอริยสาวกทั้งหลาย

    ท่านอาจารย์ ท่านเป็นเอกัตทัคคะในทางความทรงจำด้วย

    ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคท่านระลึกชาติ หรือ ระลึกชาติของคนอื่น หรือ ระลึกชาติของท่านได้ ก็ต้องอาศัยสัญญาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ

    ผู้ฟัง เป็นไปในวิตกเจตสิกที่ท่านระลึกได้

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นสติที่มีกำลังด้วย ที่สามารถจะระลึกได้ และคุณธรรมของเจตสิกอื่นๆ ก็ต้องเป็นอีกระดับหนึ่ง

    เรื่องของเจตสิกเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่จะมีใครสามารถที่จะรู้สภาพนามธรรมซึ่งเกิดดับพร้อมกับจิต ถ้ากล่าวถึงนามธรรม ก็สุดวิสัยที่จะไปเปรียบเทียบกับรูปใดๆ ทั้งสิ้น ที่ทรงอุปมาว่า น้ำมันหลายประเภทเอามารวมกันแล้วคนให้เข้ากันกันทั้งวัน ก็ยังสามารถที่จะแยกได้เพราะเป็นรูปธรรม แต่นามธรรมไม่มีทางแยกได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ละเอียด ไม่ใช่รูป และเป็นสภาพที่เกิดพร้อมกัน กิจการงาน และลักษณะก็คล้ายคลึงกันด้วย

    ผู้ฟัง ขณะที่จำไม่ได้ เป็นลักษณะของสัญญาจำไม่ได้ หรือว่า เราวิตกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คุณรังสรรค์ทราบว่าจำไม่ได้ ใช่ไหม ขณะนั้นคือสัญญาเจตสิกจำแล้วว่า จำไม่ได้ หลับก็รู้ว่าเมื่อกี้นี้หลับ เดี๋ยวนี้ไม่หลับ จึงกล่าวว่า ยากที่จะรู้ได้ว่าสัญญาเจตสิกได้ทำหน้าที่ของสัญญาเจตสิก ในขณะที่เจตสิกอื่นก็ทำหน้าที่ของเจตสิกอื่นๆ พร้อมๆ กัน และเราสามารถที่จะไปแยกรู้ความต่างของเจตสิกแต่ละอย่างซึ่งทำหน้าที่แต่ละอย่าง ก็ต้องอาศัยการฟัง และการค่อยๆ พิจารณา แต่สัญญาเจตสิกก็ทราบได้อย่างเดียวว่า เป็นสภาพธรรมที่จำ ไม่ว่าจะจำอะไรทั้งหมด นั่นคือสัญญาเจตสิก และเราก็จำตลอดเวลาด้วย ขณะนี้แม้จำ ก็ไม่รู้ว่าจำด้วยซ้ำไป

    ผู้ฟัง การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงแสดงสัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ แยกออกมาจากสังขารขันธ์ มีวัตถุประสงค์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทรงแสดงตามอุปาทานการยึดมั่น ให้เห็นว่าเรายึดมั่นในอะไรบ้าง จึงใช้คำว่าอุปาทานขันธ์ เพื่อให้ชัดในขณะที่สิ่งนั้นกำลังเป็นที่ตั้งของความยึดถือปรมัตถธรรมมี ๔ ซึ่งปรมัตถธรรม ๓ เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ จึงเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ดังนั้น ปรมัตถธรรมถ้ากล่าวโดยอีกนัยหนึ่ง ก็คือขันธ์ ๕ และที่กล่าวไปแล้ว ก็คือรูปทุกรูป เป็นรูปขันธ์ เพราะว่ารูปทุกรูปเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป เวทนาเจตสิก ๑ เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิก ๑ เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เมื่อเป็นเวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ เจตสิกที่เหลืออีก ๕๐ ก็เป็นสังขารขันธ์ ๑

    วิญญาณขันธ์ โดยปรมัตถธรรมได้แก่จิต วิญญาณขันธ์เป็นเจตสิกได้ หรือไม่ ไม่ได้ เป็นรูปได้ หรือไม่ ไม่ได้ เป็นเวทนาขันธ์ได้ หรือไม่ เป็นสัญญาขันธ์ได้ หรือไม่ เป็นสังขารขันธ์ได้ หรือไม่ จิต เป็นวิญญาณขันธ์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะใช้คำว่า จิต หรือใช้คำว่า วิญญาณ ก็ได้ แล้วก็มีชื่ออีกหลายชื่อสำหรับจิต เพื่อที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ แต่ก็ยากที่จะเข้าใจว่าไม่ใช่ตัวตน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าค่อยๆ ฟังไปพร้อมๆ กับระลึก สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็จะเห็นความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม เพราะเหตุว่า รูปธรรมไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย แต่นอกจากนั้นแล้ว ก็เป็นนามธรรมทั้งหมด เช่น จำ เป็นนามธรรม คิด เป็นนามธรรม โกรธ เป็นนามธรรม เมื่อย เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม เมื่อยเป็นนามธรรม รูปเมื่อยไม่ได้เลย เหมือนท่อนไม้ เพราะท่อนไม้ไม่มีสภาพรู้ใดๆ เลยทั้งสิ้น ท่อนไม้เป็นรูปธรรม ลักษณะอื่นที่ต่างจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้แก่ เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น และสิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสกาย คือ เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหว เป็นรูปธรรม นอกจากนั้นเป็นนามธรรมทั้งหมด

    สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ทำให้โลกปรากฏ ทำให้เรื่องราวทั้งหลายมีในทุกๆ วัน คือ จิต ซึ่งเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเราคิดไม่ถึงเลยว่าในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังปรากฏได้ในขณะนี้ เพราะจิตเกิดขึ้นเห็น เท่านั้นเอง ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเห็น สิ่งต่างๆ ในขณะนี้ สีสันวัณณะต่างๆ ความทรงจำว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏจะมีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นี่เป็นลักษณะของจิต แต่ความรู้สึกไม่ใช่จิต ความจำไม่ใช่จิต กุศล อกุศล สติปัญญา วิริยะ ความเกียจคร้าน ไม่ใช่จิต จิตล้วนๆ เท่านั้นที่เป็นวิญญาณขันธ์ เพราะเหตุว่า ลักษณะของจิต คือ สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    อ.อรรณพ "จิต" วิจิตรด้วยความที่เกิดประกอบกับเจตสิกที่หลากหลายแตกต่างกัน เช่น ในขณะที่กำลังฟังพระธรรม ไม่ปราศจากจิตเลย จิตเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิก ซึ่งในขณะนี้มีความเข้าใจ มีความศรัทธา มีความผ่องใส ที่เป็นกุศล ที่ได้ฟังพระธรรมที่สนทนากันอยู่ ขณะนั้น จิตก็วิจิตรด้วยสภาพของเจตสิกที่ปรุงแต่งจิต ฉะนั้น จิตวิจิตรด้วยสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันคือเจตสิก ซึ่งทำให้จิตหลากหลายไป จิตวิจิตรไปเป็นอกุศลประเภทต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ จิตวิจิตรเป็นกุศลในลักษณะต่างๆ ตามการสะสมมา

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าเราเริ่มจะเข้าใจจิตเพิ่มขึ้นว่า ขณะนี้ไม่ได้มีจิตประเภทเดียว ถูกต้อง หรือไม่ จิตเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ ขณะนี้กำลังเห็น เป็นจิตที่มีสีสันวัณณะที่กำลังปรากฏให้รู้ให้เห็น เป็นจิตประเภทหนึ่ง เวลาที่ได้ยินเสียง เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง แสดงว่าจิตหลากหลายด้วยสิ่งที่จิตรู้ จิตรู้ได้ทุกอย่าง รู้ชื่อได้ หรือไม่ แม้แต่ชื่อก็ยังรู้ หรือจำได้ เสียงต่างๆ กลิ่นต่างๆ รสต่างๆ เพราะจิตสามารถที่จะรู้แจ้งในความต่างของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่ประการหนึ่ง คือจิตซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน สามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นลักษณะที่จิตรู้แจ้งมีอารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ เพราะเหตุว่าเมื่อจิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้แน่นอน จะมีจิตเกิดโดยที่ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ หรือไม่มีอารมณ์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า อารมณ์ไม่ได้หมายความถึงอารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี แต่หมายความถึงขณะที่จิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต

    ขณะนี้เสียงในป่ามีได้ หรือไม่ มีได้ แต่ได้ยินเสียงในป่า หรือไม่ ไม่ได้ยินเสียงในป่า เพราะฉะนั้นเสียงในป่าไม่ใช่อารมณ์ เพราะขณะนั้นจิตไม่ได้เกิดขึ้นได้ยินเสียง แต่ขณะนี้เสียงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นอารมณ์ของจิตที่กำลังได้ยินในขณะนี้ ในขณะที่กำลังได้ยินเท่านั้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น สภาพธรรมใดที่ปรากฏให้ทราบว่า เพราะมีจิตที่กำลังรู้สิ่งนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย นี่ประการหนึ่ง
    อีกประการหนึ่ง คือ จิตหลากหลายต่างกันด้วยสภาพธรรม คือ เจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน เพราะว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ แต่จิตจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ไม่มีสภาพธรรมใดที่จะเกิดขึ้นได้ตามลำพัง โดยไม่ได้อาศัยสภาพธรรมอื่นเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ก็มีเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมอีกประเภทหนึ่งซึ่งต้องเกิดกับจิตเท่านั้น เจตสิกจะไม่เกิดกับรูปเพราะเจตสิกเป็นสภาพรู้อารมณ์ แต่เจตสิกรู้อารมณ์โดยลักษณะที่ต่างกับจิต เพราะเหตุว่า เจตสิกทั้งหมดไม่ได้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ แต่เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะซึ่งต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท เช่น เวทนาเป็นความรู้สึก สัญญาเป็นความจำ และนอกจากนั้นก็เป็นสภาพนามธรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นสังขารธรรม

    เพราะฉะนั้นจิตนอกจากจะต่างที่เห็น ต่างที่ได้ยิน ต่างที่ได้กลิ่น ต่างที่ลิ้มรส ต่างที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต่างที่คิดนึก ยังต่างด้วยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เพราะว่าทุกคนเห็นเหมือนกัน คิดเหมือนกัน หรือไม่ ไม่เหมือน คนหนึ่งอาจจะไม่ชอบสิ่งที่เห็น แต่อีกคนหนึ่งชอบ ทั้งๆ ที่ก็เป็นจิต หลังจากที่เห็นแล้ว ก็จะต้องมีจิตที่เมื่อเห็นแล้วก็จะต้องคิดนึกต่างๆ แต่ก็ต่างกันโดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แม้คนเดียวกันมีจิตหลากหลาย หรือไม่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล ถ้าหลายๆ คน ความหลากหลายของจิตจะมากมายสักแค่ไหน

    ผู้ฟัง นิพพานมีจริงไหม ทำไมเราไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสภาพที่สามารถจะประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานได้ ต้องเป็นโลกุตตระปัญญา คือ ปัญญาสูงสุดอีกระดับหนึ่ง จึงสามารถรู้สภาพธรรมที่ไม่ได้ปรากฏเป็นการเกิดดับในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่พ้นจากโลก คือการเกิดดับ เหนือโลก และใครจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมในเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องมีการอบรมเจริญปัญญาตามลำดับขั้น ขั้นที่ไม่สามารถจะคิดเรื่องธรรมได้เลยด้วยตัวเอง ไม่ว่าใคร แต่ต้องฟังพระธรรมจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงเรื่องสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่าขณะนี้มีเห็นแน่นอน และมีสิ่งที่กำลังปรากฏแน่นอน และสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่สภาพที่เห็น ไม่ใช่ธาตุรู้ที่สามารถจะเห็นอะไรได้เลย เป็นแต่เพียงสีสันวัณณะที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏความจริงของสิ่งนั้น คือ สิ่งที่เพียงสามารถปรากฏในขณะนี้ โดยไม่ใช่สภาพรู้

    ผู้ฟัง หมายความว่ายังต้องมีปัญญาเจตสิกที่มาร่วม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง หมายความว่าต้องเกิดจากปัญญา เกิดจากการฟัง ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นจากการฟัง

    ผู้ฟัง แม้กระทั่งปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่ทราบไม่รู้ เพราะไม่มีปัญญา หรือ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเพียงขั้นเริ่มฟัง และก็เริ่มเข้าใจถูกว่าไม่มีตัวตน ซึ่งยากที่จะบอกว่าไม่มีตัวตน เพราะว่าไม่ใช่ตั้งแต่เกิดมาที่เป็นเรา แต่ก่อนนั้นอีกหลายชาติ ในอดีตอนันตชาติก็สะสมมาที่จะเป็นเรา ด้วยความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ว่าสิ่งนี้ หรือ เป็นใคร เพียงแค่ปรากฏกับจักขุปสาทเป็นใครได้อย่างไร นอกจากจะเป็นสีสันต่างๆ ลักษณะจริงๆ ก็เป็นสีแดง สีเขียว หรือสีอะไรก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ไม่ใช่คนเป็นสี หรือว่าเป็นวัณณะธาตุ เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท เพราะฉะนั้นถ้าเห็นแล้ว ยับยั้งไม่ให้คิดไม่ได้ ด้วยสัญญาเจตสิกซึ่งจำสิ่งที่ปรากฏทางตา จนกระทั่งสามารถรู้ว่าคนต่างกับเก้าอี้ ทั้งๆ ที่คนก็มีที่เสื้อสีขาว เก้าอี้ก็มีสีขาว แต่ก็ยังสามารถที่จะรู้ในความต่างนั้นได้ด้วยความจำ แต่ลักษณะที่จำ ไม่ใช่จิต เป็นเจตสิก เป็นสัญญาเจตสิก เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มที่จะเข้าใจสภาพธรรมไม่ใช่เพียงตัวหนังสือ หรือว่าได้ยินเรื่องราว แต่ขณะนี้เอง จำได้ ขณะใดที่จำ ถ้าไม่รู้ก็คือเรา แต่ถ้ารู้ก็คือสัญญาเจตสิกจำ เพราะว่าสัญญาเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่ว่าจะหลับจะตื่น

    ผู้ฟัง อย่างนั้น สัญญาเจตสิกก็เกิดมาทุกภพทุกชาติไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือจะไปเป็นเทวดาที่ไหนก็คือเป็นสัญญาที่เหมือนมั่นคงมากเลย จำแต่ละเรื่องที่ไม่ใช่ปรมัตถ์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าใจโดยการฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถสละความเห็นว่า เป็นคนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เกิดดับเลย เป็นความรู้ที่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะว่าขณะที่ได้ยิน จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้รวมอยู่ในเสียงเลย ขณะที่ได้ยินมีเสียงชั่วขณะที่แสนสั้นเป็นอารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตกำลังได้ยินขณะนั้น ไม่ใช่สีสันวัณณะ เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่ทำให้ไม่ประจักษ์ว่าเห็นเป็นขณะหนึ่งที่ต้องอาศัยจักขุปสาท ได้ยินไม่ได้อาศัยจักขุปสาทเลย แต่ต้องอาศัยโสตปสาท ได้ยินจึงเกิดขึ้น ในขณะนี้เองก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งได้ฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เริ่มจากความเข้าใจ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของนิพพาน เป็นไปไม่ได้เลย ต้องมีปัญญาที่ฟังเรื่องราวของสภาพธรรมจนกระทั่งในขณะที่เห็นเริ่มเข้าใจ ซึ่งทุกคนฟังแล้วเข้าใจได้ขณะนี้ว่า เป็นสีสันวัณณะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ พอหลับตาสีต่างๆ ไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏบางสีถ้ามีแสงสว่าง เช่น ไฟฟ้า หรืออะไรที่ปรากฏ ก็จะปรากฏสีสันวัณณะอย่างหนึ่ง และถ้าไม่ใกล้แสงไฟก็จะปรากฏสีที่จางลงกว่านั้น มืดกว่านั้น คล้ำกว่านั้น ก็เป็นอีกสีหนึ่ง แต่พอลืมตา แค่สีเท่านั้น เหมือนอย่างนั้น แต่มากสี ก็ทำให้เกิดการทรงจำว่าเป็นคน เพราะฉะนั้นอัตตสัญญา ความทรงจำว่าเป็นเราหนาแน่นมาก ดังนั้น ขอให้ทราบว่า การฟังพระธรรม เพื่อละความไม่รู้ ที่เคยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม และสภาพธรรมที่ละความไม่รู้นั้น ก็คือ ปัญญา เพราะเข้าใจถูกต้องในสภาพที่กำลังปรากฏ จึงค่อยๆ จะรู้ว่าเราหลงยึดถือด้วยความไม่รู้มานานเท่าไหร่ เครื่องพิสูจน์ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่สามารถที่จะเห็นโทษภัย เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาดับ ไม่เห็นโทษภัยเลยใช่ หรือไม่ แล้วต่อสนิทด้วยเสียงที่ปรากฏทางหู แต่เสียงก็ดับ ไม่ใช่ไม่ดับ และก็ต่อด้วยสภาพจิตที่คิดนึก เพราะฉะนั้น โทษภัยของสังสารวัฏฏ์ ก็คือทุกขณะซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ โดยที่ไม่รู้ ไม่รู้ตลอดชาติก็มี หรือว่าในชาตินี้ได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่สูญหายเลย เพราะว่า ต่อไปจะถึงลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แม้ว่าจะเกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าจิตแต่ละขณะจะเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนันตรปัจจัย ใครทำลายไม่ได้เลย หมายความว่า เมื่อจิตขณะหนึ่งดับ จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น และก็ถ้าฟังต่อไปก็มีสภาพธรรมให้เราเข้าใจขึ้นว่าเรากำลังศึกษารู้ความจริงของสิ่งที่มีทุกภพทุกชาติ ไม่ขาดเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    17 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ