ปกิณณกธรรม ตอนที่ 35


    ตอนที่ ๓๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ

    พ.ศ. ๒๕๓๖


    ท่านอาจารย์ ถ้าทุกคนไม่หวัง เพียงไม่หวังจะรู้สึกว่ามีความสุขขึ้นมากๆ เลย คือไม่ต้องห่วง เมื่อไหร่ใครจะมาตอบแทน หรือว่าจะมาทำดีด้วย หรือว่าจะเห็นความดีที่เราทำ เพราะว่าไม่หวังใดๆ แล้วก็สบายใจ คือจบเรื่อง ทำดีแล้วก็สบายมีความสุขดี ไม่หวังอะไรทั้งนั้น ใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนี้ได้นั่นก็เป็นความบริสุทธิ์ของจิตใจที่ว่า จะไม่ทำให้เราเกิดทุกข์

    ผู้ฟัง ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะว่า คุณแม่เห็นว่ามาปฏิบัติธรรมแล้วทำไมดีกับแม่เหลือเกิน คือว่าดีอย่างผิดไป คือจากที่เคยกระด้าง แต่ว่าคราวนี้นอบน้อม ท่านก็แปลกใจ ดีก็เพราะว่ามาทางธรรม

    ท่านอาจารย์ อย่าหวัง ให้รู้ว่า มันมาอีกแล้ว

    ผู้ฟัง ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ เพราะว่าตอนนี้คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ดิฉันต้องดีต่อไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าคุณบงเป็นคนดีแล้ว ก็ไม่ต้องหวังอะไร ใช่ไหม รู้ได้เลยว่า ตอนหวังนี้เราไม่ดี เวลาที่เราดี คือเราดีแล้วโดยไม่ต้องหวัง แล้วอย่ากลับไปไม่ดีตอนหวังอีก

    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ พระสารีบุตร ตรัสรู้วันมาฆบูชา

    ท่านอาจารย์ พระสารีบุตรบรรลุอรหันต์ วันมาฆบูชา

    ผู้ฟัง วันมาฆบูชา เป็นวันที่พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมกัน แล้วก็ท่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ในวันนั้น

    ท่านอาจารย์ ท่านถวายงานพัด เวลาที่หลานชายของท่าน (ทีฆนขปริพาชก) ไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับทีฆนขปริพาชก ในขณะที่ทรงแสดงธรรม ท่านพระสารีบุตรยืนถวายงานพัดนั่นเอง พระธรรมที่ทรงแสดง ทีฆนขปริพาชกก็ได้เข้าใจธรรม แล้วท่านพระสารีบุตรก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น

    ผู้ฟัง คำว่า สันทิฏฐิโก แปลว่ารู้สติปัฏฐาน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สันทิฏฐิโก คือ เห็นได้ รู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นธรรมที่เห็นได้ อย่างพูดถึง พระนิพพาน ไม่ใช่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์ ใช่ไหม เป็นธรรมที่สามารถประจักษ์แจ้งได้

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ความหมายก็เหมือนกับว่า เจริญสติปัฏฐาน เพราะว่ารู้แจ้งธรรม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน นี่เป็นเรื่องคุณของพระธรรม ซึ่งถ้าไม่เจริญสติปัฏฐานแล้วไม่มีทางที่จะรู้คุณของพระธรรมได้ ที่เราสรรเสริญคุณของพระธรรม ที่จะรู้อย่างนี้ได้ก็เหตุว่า เป็นหนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งพระธรรม

    ผู้ฟัง อกาลิโก คือ ไม่มีกาลเวลาคั่น ถ้ามาทางมรรคแล้วต่อผลไปเลย

    ท่านอาจารย์ อันนี้ส่วนอื่น แต่ถ้าเป็นคุณของพระธรรมรัตนะ ต้องหมายความถึง โลกุตตรธรรมเท่านั้น ถ้าพูดถึงธรรมที่เป็นสรณะที่เป็นรัตนะ จะไม่เป็นฝ่ายอกุศล จะไม่ใช่เรื่องกุศลอื่น นอกจากเรื่องที่เป็นไปในทางโลกุตตระ ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ที่จะมีนิพพานเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง เอหิปัสสิโก

    ท่านอาจารย์ เชิญให้มาดู เป็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นสิ่งที่ควรดู เป็นสิ่งที่ควรประจักษ์แจ้ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม เพื่อให้คนฟังเกิดศรัทธาที่จะได้ประพฤติปฏิบัติตาม แม้พระนิพพานก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็รู้แจ้งได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมรัตนะ เป็นโลกุตตรธรรม เป็นธรรมที่ทุกคนสามารถเห็นได้ และก็เมื่อเวลาที่โสตาปัตติมัคคจิตซึ่งเป็นเหตุเกิดโสตาปฏิผลจิตเกิดสืบต่อกัน ก็เป็นอกาลิโก หมายความว่า กุศลอื่น เราต้องคอยกาลเวลา ถ้าทำบุญวันนี้ อย่าคิดว่าจะได้ผลวันนี้ บางคนทำบุญปุ๊บ ก็คิดว่าเมื่อไหร่จะหายป่วยไข้ ทำไปเดี๋ยวนั้นเองก็อยากจะหายซะเดี๋ยวนั้นเอง ไม่ได้มีการคอยกาลเวลาเลย เหมือนกับปลูกต้นมะม่วง พอใส่เมล็ดลงไป กลบดินลงไป ก็เมื่อไหร่จะได้รับประทานผล นี้ไม่ถูกต้อง จะเห็นได้ว่ากุศลทั้งหลายต้องมีการเวลาที่จะให้ผล แล้วใครก็ไปเปลี่ยนกาลเวลาของผลนั้นไม่ได้ด้วย

    ผู้ฟัง เรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ที่ไปตามที่ต่างๆ ก็จะมีว่า ให้ไปดูท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน แต่จริงๆ แล้ว ถ้าจากการศึกษา รูป ๒๘ จะเห็นเลยว่า ไม่มีท่านั่ง ท่ายืน ท่านอนเลย การที่บอกว่าเดิน เดินก็หมายความว่าไม่ได้เหาะ หรือไม่ได้ดำดิน เท่านั้นเอง แต่ถ้ามาเรียนกับท่านอาจารย์แล้ว การที่จะบอกว่า นั่งอยู่แล้วจะยืนนี้ ถ้าเป็นคนแก่ ก็ต้องเท้า ซึ่งมือก็ต้องเจอกับเก้าอี้แล้วคือแข็ง ที่ท่านอาจารย์สอนอย่างนี้ ที่เข้าใจ ให้สังเกตอย่างนี้ ว่าเท้า และมือ ถ้าสติเกิดตรงนั้น มือเท้าคือแข็ง แล้วลุกขึ้นมา คือการที่เคลื่อนไหวแล้ว ก็ลงมายืน หรือว่าขณะที่ลุกขึ้นมายังไม่ทันจะยืนเลย ก็สามารถที่จะได้ยินอะไรได้ หรือว่ามองอะไรได้ ไม่ใช่ว่าเดินก็บอกว่าเดิน เดินไปก็ก้าวขาไป ก้าวขาไป อย่างนั้นมันไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ ดิฉันยกตัวอย่างนี้ ท่านอาจารย์ว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบ โดยมากคนเราจะติดภาษา อย่างพูดว่า “ปฏิบัติ” ก็เลยคิดว่าต้องทำ เขาบอกว่าไปปฏิบัติ เชิญไปปฏิบัติ ชวนไปปฎิบัติ ก็เลยคิดว่าเขาชวนเราไปทำอะไร เพราะว่าเป็นการปฏิบัติ แต่ความจริงไม่ใช่เรา ต้องเข้าใจว่าธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้ว เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า รูปเกิดจากกรรมก็ไม่รู้ รูปเกิดจากจิตก็ไม่รู้ รูปเกิดจากอุตุ รูปเกิดจากอาหาร ก็ไม่รู้เลย คิดว่าเป็นเราทั้งหมด แม้แต่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้เลยว่า แต่ละรูปนี้ทยอยกันเกิด และทยอยกันดับอย่างเร็วมาก รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิต มีอายุ ๑๗ ขณะแล้วดับ แล้วจิตก็เกิดสืบต่อมาเรื่อยๆ แต่ละรูปนี้ก็ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ ทุกคนมีความทรงจำว่ามีส่วนตน มีเรา แต่ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าแตกย่อยสภาพธรรมออก จะปรากฏในเสี้ยววินาที ชั่วขณะหนึ่งก็อย่างหนึ่งแล้วก็ดับไปอย่างเร็วมาก ที่ว่ามีท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน รูปนั่ง รูปนอน รูปยืน ให้ทราบว่าเป็นความทรงจำ เพราะว่าธรรมนี้พิสูจน์ได้ ขณะนี้ที่กำลังนั่งอยู่ เห็น ไม่ใช่ท่านั่ง ท่านอน ไม่ใช่รูปนั่ง รูปนอน ได้ยินก็มีจริงๆ ไม่ใช่รูปนั่ง รูปนอน หรือว่ากำลังกระทบส่วนที่แข็ง ลักษณะที่แข็งปรากฏ ไหนท่านั่ง ใครจำได้หรือเปล่าว่านั่งยังไง เพราะว่าขณะนั้นกำลังมีแข็งปรากฏ เพราะฉะนั้นที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ต่อเมื่อประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่มีความทรงจำในความเป็นตัวตนเหลืออยู่ อย่างแข็ง ขณะหนึ่งที่แข็งนี้ ไม่มีเห็น ไม่ได้ยิน ไม่มีคิด ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย ชั่วขณะจิตที่คิดนั้นมีจิตที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง ขณะนั้นจึงจะเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่า ไม่เหลือ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้านี้เราจำเอาไว้ต่างหาก แต่ความจริงทุกรูปทยอยกันเกิด ทยอยกันดับ ท่าทางไม่มี มีแต่รูปแต่ละรูปที่ปรากฏ ปรากฏแต่ละทางด้วย แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วด้วย ขณะนี้ ถ้าปัญญาสมบูรณ์ ประจักษ์ความที่รูปกำลังเกิดกำลังดับ ไม่ว่าจะเป็นรูปไหนทางไหนทั้งสิ้น นี่เห็นความต่างกันของปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่จะต้องอบรมปัญญาจนกว่าจะเป็นอริยสาวก ก็ต้องประจักษ์อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ตัวตนยังมี

    ผู้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องการพูด คือว่า ถ้าเราพูดมากไปก็จะมีการผิดมาก คือไม่ถูก คนจะไม่ชอบในสิ่งที่เราพูดไป เพราะฉะนั้นการพูดมากก็ไม่ดี ดิฉันไปเห็นคนเขียนในที่ทำงาน เขียนบอกว่า ควรจะพูดเรื่องความดีของคนอื่นให้มาก และพูดถึงเรื่องความไม่ดีของตัวเอง แล้วสิ่งที่ไม่ควรจะพูดก็คือไม่ควรพูดความไม่ดีของคนอื่น สิ่งที่ควรจะพูดคือพูดถึงความไม่ดีของตัวเอง ให้พูดมากๆ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่ไม่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่คำที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่เรื่องการพูด มีข้อความในไตรปิฏกที่ว่า ผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร ข้อสำคัญที่สุดคือ พูดเรื่องจริง ประการที่ ๑ ต้องเป็นเรื่องจริง และประการที่ ๒ คือ นอกจากจะเป็นเรื่องจริงแล้วยังต้องพิจารณาว่า เรื่องจริงนั้นเป็นประโยชน์ไหม ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องจริง เขาทำอย่างนั้นจริงๆ เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ แต่มีประโยชน์ไหม ถ้าเราจะพูดถึง หรือว่าจะบอกใคร หรือจะเล่าให้ใครฟัง ถ้าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ควรพูด ผู้มีพระภาคทรงคำนึงถึงประโยชน์ก่อน แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง สิ่งนั้นมีประโยชน์ไหม ถ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แม้ว่าเป็นเรื่องจริง ก็ยังพูดในทางที่ดูกาลด้วยว่า สามารถที่จะเป็นประโยชน์ได้จริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นเรื่องจริงหรือเราคิดว่ามีประโยชน์เราก็พูดทันที ยังต้องดูกาลด้วย

    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวัน การสนทนากัน ก็จะต้องระมัดระวังไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรต่างๆ เวลาถ้าเรานึกถึงความสำคัญ เวลาที่เราจะพูดอะไร จะทำให้สติได้เกิดได้บ่อยขึ้น

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็มีประโยชน์ เพราะว่า เราพูดมากกว่าทำ แต่มากกว่านั้นก็คือ คิด เราไม่ได้พูดทุกคำทุกเรื่องที่เราคิด แสดงว่าการกระทำน้อยกว่าคำพูด แล้วคำพูดก็ยังน้อยกว่าความคิด สิ่งที่จะต้องระวังที่สุดก็คือ ความคิด ถ้าสติจะระลึกได้ และก็รู้ว่าขณะนั้น คิดด้วยกุศลจิตหรือด้วยอกุศลจิต เพราะเหตุว่า การที่จะพูดก็ต้องพูดด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต ถ้าเราสามารถที่จะรู้ว่าความคิด ก็ยิ่งละเอียดกว่า คิดนี้ต้องคิดไว้เยอะถึงจะพูดออกมาบ้างนิดหน่อยใช่ไหม

    ผู้ฟัง หากพูดถึงเรื่องความคิดนี้ เวลาที่เจริญสติ ถ้าสติเกิดทางความนึกคิด ดิฉันรู้สึกว่ามีประโยชน์มากกว่า (ทุกทางมีประโยชน์) แต่ขณะที่อยู่ในฐานะอย่างนี้คิดว่า สติเกิดเวลาที่คิดนึกจะมีประโยชน์มากเลย มากกว่าที่จะเกิดทางตา ทางหู เพราะว่าพอเวลาสติเกิดเวลานึกคิดที่ไป มันทำให้เป็นสุข ก็ยังติดสุขอยู่

    ท่านอาจารย์ แต่จริงๆ แล้วในขณะนั้นยังไม่ใช้สติปัฏฐาน ถ้าเป็นสติปัฏฐานจะทั่วหมดทุกทางเสมอกัน ที่ว่าเป็นลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดพร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ นามธรรมทั้ง ๔ แยกกันไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง อย่างการอ่านนี้ คือ ตาต้องเห็นรูปก่อน เมื่อรู้รูปแล้วก็จะเกิดสัญญาความจำว่าตัวนี้เป็นตัวอะไร ในขณะที่สัญญาเกิด สังขารก็จะปรุงแต่งไปเลยว่ามันหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ต่อด้วยเวทนา คือจะสุขหรือจะทุกข์ เพราะฉะนั้นจะเกิดรวมกันหมดเลย

    ท่านอาจารย์ พร้อมกัน นามขันธ์ ๔ ไม่แยกจากกันเลย รูปขันธ์ก็ไม่แยกจากกันเลย

    การสนทนาธรรมทั้งหมด ก็คือสนทนาธรรมเรื่องที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว แต่ละคนก็ได้ยินได้ฟังจากที่ต่างๆ ก็คงจะมีหลายเรื่อง บางแห่งก็เป็นเรื่องปฏิบัติธรรม บางแห่งก็เป็นเรื่องหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อครอบครัว แต่ให้ทราบว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา แล้วก็ไม่ใช่ว่านิดๆ หน่อยๆ อย่างเรามาประเดี๋ยวเรากลับ แต่ว่าตั้งแต่ตื่นบรรทมก็ทรงพิจารณาว่า ใครเป็นผู้ที่ควรแก่การที่จะได้รับฟังพระธรรมเทศนา ด้วยพระมหากรุณาก็ได้เสด็จไป ก่อนบิณฑบาตบ้าง หรือว่าหลังจากบิณฑบาตบ้าง แม้หลังจากนั้นเมื่อเสวยภัตตาหารตอนกลับจากเสด็จออกบิณฑบาตแล้ว ก็ยังได้แสดงธรรมกับพระภิกษุ และหลังจากที่กลับไปตอนเย็นก็ยังมีอุบาสกอุบสิกาไปเฝ้าฟังธรรม ตอนค่ำก็ยังมีพระภิกษุไปกราบทูลถามปัญหา ตอนดึกๆ ก็มีเทวดามาอีก ตลอดวัน ไม่มีใครได้ทำกิจที่จะสงเคราะห์บุคคลอื่นด้วยธรรม ซึ่งไม่มีผู้อื่นที่สามารถจะแสดงได้ แม้แต่พรหมหรือเทพทั้งหมดก็ฟังพระธรรม แสดงให้เห็นว่า พระองค์เหนือกว่าทุกคนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือเป็นพรหมก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ฟังธรรม ก็จะได้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้ทราบว่า บุคคลที่เลิศที่หาอีกไม่ได้ง่ายๆ ในหลายๆ กัปป์ นานๆ จะมี แต่พระองค์หนึ่งๆ นั้นได้ทรงแสดงพระธรรมว่าอะไร ถ้าเริ่มสนใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ก็ดี เพราะว่าเวลาก็ไม่คอยใครเลย แล้วทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้กันไปนานเท่าไหร่

    ผู้ฟัง จากที่ได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ บทแรกๆ ก็มีไม่เข้าใจ อย่างบอกว่า นิพพาน ๓ มีสุญญตา (สูญจากสังขาร) อนิมิต (ไม่มีนิมิต) อปณิหิต (ไม่มีที่ตั้งของสังขาร) เหมือนกับมีความหมายเหมือนกันคือไม่มีสังขาร แต่คิดว่าคงจะไม่ใช่เป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เรื่องพระนิพพานเป็นเรื่องที่ไกล เพราะฉะนั้นก็ผ่านไปก่อนได้ เพียงแต่ทราบว่านิพพาน มีการถึงได้ ด้วยปัญญาที่รู้ในสภาพของธรรมที่เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง เป็นอนิจจังอย่างหนึ่ง เป็นอนัตตาอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงมีการเข้าถึงพระนิพพาน ด้วยปัญญาที่รู้ในทุกขลักขณะบ้าง หรือว่าในอนิจจลักขณะ ในอนัตตลักขณะบ้าง ซึ่งถ้าผู้ใดยังไม่ถึงหรืออีกแสนไกลก็ให้เพียงเข้าใจไว้ว่า นิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เหมือนเห็นในขณะนี้ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ได้ยินก็มีจริง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงไม่ใช่มีแต่ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ใจคิดนึก ยังมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นปรมัตถธรรม และสภาพธรรมนั้นตรงกันข้ามกับทุกอย่างซึ่งกล่าวถึงแล้ว คือจิตก็ดี เจตสิกก็ดี รูปก็ดี คือธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นปรากฏนั้นดับ จะเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่การที่จะถึงป็นนิพพาน แม้ว่านิพพานเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดง ถ้าไม่มีพระนิพพานให้ประจักษ์แจ้งแล้ว จะไม่มีการดับกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดปรากฏ เป็นที่ต้องการ เป็นอารมณ์ของโลภะความติดข้องทั้งหมด ไม่ว่าอะไรจะผ่านทางตา ดูไหม ผ่านไปตามถนนมีอะไรเกิดขึ้นข้างถนน โดยมากก็ดูแล้ว หรือแม้แต่ตื่นขึ้นมาเราก็มีตาที่ดูตลอด ไม่เคยคิดเบื่อหน่ายเลยว่าเมื่อไหร่นะจะได้ไม่ต้องเห็นซะเลย ไม่เคยมีอยู่ในความคิดเลย เพราะเหตุว่าเราเกือบจะไม่รู้สึกตัวว่าเราติดในการเห็นสิ่งต่างๆ เพราะว่าเราชินมาตั้งแต่เด็ก และถ้าจะบอกเราว่าไม่ให้เห็น คือเหมือนกับจะตาบอด ทุกคนก็ต้องกระวนกระวายเดือดร้อนแล้วเพราะว่าติดในสิ่งที่เห็นมาก มีตาสำหรับติดสิ่งที่ปรากฏ มีหูก็ติดในเสียงที่ปรากฏ มีจมูกก็ติดในกลิ่นที่ปรากฏ มีลิ้นก็ติดในรสที่ปรากฏ มีกายก็ติดในสิ่งที่กระทบสัมผัส มีใจก็คิด ติดในเรื่องต่างๆ ความจริงเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมที่เกิดดับทั้งหมด ดับกิเลสของเราไม่ได้ แต่เพิ่มกิเลสของเราทุกวัน นี่เป็นสิ่งที่เกือบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่า กิเลสของเรา เผลอเมื่อไหร่ เห็นขณะหนึ่งๆ ถ้าปัญญาไม่เกิด กิเลสก็เพิ่มแล้ว ได้ยินครั้งหนึ่งๆ ปัญญาไม่เกิด กิเลสก็เพิ่มแล้ว ไม่มีการที่จะรู้จักตัวเองเลยว่า กิเลสมากสักแค่ไหน ธรรมอย่างเดียวซึ่งจะดับกิเลสได้ ก็คือนิพพาน แต่ไม่ใช่ว่าใครจะถึงด้วยความต้องการ หรือว่าอยากจะถึงก็รีบๆ ไปถึงนิพพาน ต้องเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ให้ถูกต้องในสภาพที่เป็นธรรม เพราะเหตุว่า เวลานี้เห็นอะไรก็เป็นคน อาหารต่างๆ สิ่งต่างๆ ไม่มีการระลึกเลยว่าเป็นธรรม เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งมีจริงๆ แล้วก็ปรากฏแต่ละทาง โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ ไม่เคยอยู่ในความคิดในวันหนึ่งๆ จนกว่าจะฟังพระธรรม แล้วก็มีความเข้าใจจริงๆ แล้วก็ไม่ลืม เป็นปัจจัยให้มีการระลึก แล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ปกติธรรมดาอย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย เริ่มเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่า ตรงตามที่ได้ยินได้ฟังไหม แม้แต่ทางตาที่ผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งในบรรดารูปทั้งหมด ๒๘ ประเภท ไม่มีรูปใดที่จะปรากฏนอกจากรูปนี้รูปเดียว คือสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ถ้าเป็นรูปอื่น เช่น เสียงก็มองไม่เห็น กลิ่นก็มองไม่เห็น รสก็มองไม่เห็น รูปอื่นๆ ที่มีทั้งหมดมีจริงแต่ไม่ปรากฏทางตา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราก็ไม่เคยเข้าใจตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า นี่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย ฟังให้เข้าใจในขณะนี้ ก็พยายาม หรือว่าค่อยๆ ระลึกที่จะรู้ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ และถ้าสามารถที่จะประจักษ์ได้ว่า สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เกิดแล้วดับ ถึงจะคลายความที่เคยติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งดูเสมือนว่าไม่ดับเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 14
    2 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ