พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 253


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๒๕๓

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙


    ผู้ฟัง เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว เกิดที่ตรงไหนของวิถีจิต และจิตทั้งหมดหมุนเวียนกันอย่างไร ตั้งต้น และปลายสุดเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ นี่คือความสับสนของการที่ไม่ได้ศึกษาธรรมตามลำดับ ปฏิสนธิจิตเกิดตรงไหนของวิถีจิต ไม่ได้รู้ความต่างของจิตที่เป็นวิถีจิตกับจิตที่ไม่ใช่วิถี

    เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า จิตเป็นสภาพที่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เป็นธาตุที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่ว่าจะเกิดเมื่อใด ที่ไหน อย่างไร จิตเป็นสภาพรู้ จะเปลี่ยนลักษณะของจิตไม่ให้ไม่รู้อะไรไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏที่จิตกำลังรู้ เพราะฉะนั้น ขณะแรกที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนขณะนั้นเป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าจะทำให้เกิดที่ไหนก็ตาม ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่ได้กลิ่น ไม่ใช่ขณะที่ลิ้มรส ไม่ใช่ขณะที่คิดนึก เพราะฉะนั้นโลกนั้นไม่ปรากฏกับปฏิสนธิจิต เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรมที่ทำให้มีวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมหนึ่ง เกิดดับทำกิจสืบต่อจากจุติ

    เพราะฉะนั้น มีจิตซึ่งรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารเลย เรียกว่าเป็นจิตที่พ้นทวาร ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ ๓ ขณะ ไม่ว่าจะกล่าวถึงประเภทก็ได้ว่า ต้องเป็นวิบากจิต ซึ่งทำปฏิสนธิกิจ ๑ ทำภวังคกิจ ๑ ทำจุติกิจ ๑ จิตที่ทำ ๓ กิจนี้ ไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใด จึงไม่ใช่วิถีจิต ต้องเข้าใจว่าถ้าเป็นวิถีจิต หมายความว่ามีการรู้อารมณ์โดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใด อาศัยตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก เป็นวิถีจิต แต่ว่าขณะใดไม่ได้เป็นไปทางทวารหนึ่งทวารใด ขณะนั้นทำภวังคกิจ ไม่ต้องอาศัยทวาร จึงไม่ใช่วิถีจิต ไม่ได้รู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใด ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ไม่ใช่วิถีจิต

    ผู้ฟัง วิถีของจิตทั้งหมดหมุนเวียนกันอย่างไร ตั้งต้น และปลายสุดเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตอะไรเกิดต่อ ภวังคจิตเกิดต่อ ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิต เพราะว่ากรรมทำให้ปฏิสนธิจิตประเภทไหนเกิด กรรมนั้นก็ทำให้ภวังคกิจ คือ วิบากจิต ด้วยผลของกรรมนั้นเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นจนกว่าจะสิ้นความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นสำหรับปฏิสนธิจิตเมื่อดับไปแล้ว ภวังคจิตจะเกิดดับสืบต่อ วาระแรกไม่ว่าจะเป็นวิถีในภพไหนภูมิไหนทั้งสิ้น วิถีแรกที่เกิดในภูมิมนุษย์ ในภูมิสวรรค์ ในนรก หรือในสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นมโนทวารวิถี ซึ่งมีโลภมูลจิตเกิดต่อจากมโนทวาราวัชชนจิต เป็นความติดข้องในภพ หรือในการเป็น ทุกภพเหมือนกัน และต่อจากนั้นก็จะเป็นภวังค์คั่น จากนั้นก็แล้วแต่ว่าจะมีปัจจัยที่จะทำให้วิถีใดเกิด

    อ.วิชัย หลังที่จุติจิตเกิดแล้ว ก็จะมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภูมิต่างๆ ถ้าบุคคลนั้นไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเหตุว่าพระอรหันต์เมื่อจุติจิตดับก็จะไม่มีจิต หรือรูปปฏิสนธิในภูมิอื่นอีกเลย สำหรับปฏิสนธิ มี ๒๐ ประเภท เป็นปฏิสนธิจิต ๑๙ ประเภท และมีรูปปฏิสนธิอีก ๑ ประเภท ดังนั้น ปฏิสนธิ ก็หมายความเมื่อจุติจิตเกิดแล้ว ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องปฏิสนธิ คือ เกิดในภูมิต่างๆ

    สำหรับบุคคลที่ปฏิสนธิในอบายภูมิ ก็มีจิตประเภทเดียวเท่านั้นที่ทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ คือ สันตีรณอกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ หรือโมหะ เมื่อให้ผลก็เป็นปฏิสนธิจิตในอบายภูมิ คือ สันตีรณอกุศลวิบาก แต่ถ้าบุคคลที่ปฏิสนธิในสุคติภูมิ ก็จะมีทั้งหมดอีก ๑๙ ประเภท ซึ่งเป็นนามปฏิสนธิ ๑๘ ประเภท เช่น บุคคลที่เกิดในมนุษย์ หรือสวรรค์ ก็จะมีปฏิสนธิจิต เพราะเหตุว่าบุคคลที่เป็นมนุษย์ หรือเกิดในสวรรค์ เป็นภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องมีนาม คือ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในมนุษยภูมิ หรือ ในสวรรค์ ก็จะมีจิตที่ทำกิจปฏิสนธิทั้งหมด ๙ ประเภทด้วยกัน ก็คือมหาวิบากจิต ๘ ประเภท เป็นผลของกุศลกรรม และสันตีรณกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน ทำให้พิการตั้งแต่กำเนิดเกิดในมนุษย์ หรือ เกิดสวรรค์ชั้นต้นนี่ก็เป็นปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ คือ ในมนุษย์ หรือสวรรค์

    ส่วนบุคคลที่ได้ฌาน ฌานไม่เสื่อมก่อนจุติ เป็นปัจจัยให้ฌานนั้นให้ผลปฏิสนธิในพรหมภูมิ เป็นนามปฏิสนธิ แต่มีพรหมอยู่ภูมิหนึ่งซึ่งไม่มีนามเลย คือ อสัญญสัตตาภูมิ เพราะฉะนั้นในอสัญญสัตตาภูมิไม่มีนาม แต่เป็นรูปปฏิสนธิในอสัญญสัตตาภูมิ เป็นส่วนที่ไกล แต่ให้เห็นว่า ถ้าบุคคลที่เกิดในกามสุคติ คือ ในมนุษย์ หรือใน สวรรค์ ก็เป็นนามปฏิสนธิ คือ มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าเป็นภูมิที่มีขันธ์ ๕

    ท่านอาจารย์ ความวิจิตรของกรรม ต้องเป็นไปตามระดับขั้นด้วย การเป็นกุศลกรรมระดับของทาน ศีล ไม่สามารถเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมภูมิได้ ไม่ว่าภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม หรือมีเฉพาะรูปปฏิสนธิก็เกิดไม่ได้ มีใครอยากเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมบ้างไหม ไม่มีนามธรรมเลย ไม่มีอกุศลจิต ไม่ต้องทำกรรมอะไร ไม่ต้องรับประทานอาหารด้วย ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องทำงาน มีใครอยากเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมไหม มีเหตุผลไหมที่ไม่อยากจะเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม

    ผู้ฟัง ความรู้ก็ยังไม่ถึงที่จะได้เป็นถึงอสัญญสัตตาพรหม และถ้าได้เป็นแล้ว ก็ไม่ได้เจริญกุศลเลย เพราะไม่มีนาม

    ท่านอาจารย์ แต่คนที่จะไปเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมได้ เป็นคนที่มีปัญญามาก ที่สามารถให้จิตสงบถึงขั้นฌานจิต พ้นจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกเรื่องกามใดๆ ทั้งสิ้น มีอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบได้ จนกระทั่งถึงปัญจมฌาน แต่เป็นผู้เห็นโทษของนามธรรม เพราะฉะนั้นก็ไม่มีความประสงค์ที่จะมีการเห็น การได้ยิน ซึ่งเมื่อเห็นแล้วก็มีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลเกิดได้ ท่านเหล่านั้นก็ปรารถนาจะเกิดในภพภูมิที่ไม่มีนามธรรมเลย แต่ว่ายากแสนยากกว่าจะถึงฌานจิตแต่ละขั้น และเมื่อเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม ไม่มีนามธรรมเลย นานแสนนานกว่าจะพ้นจากสภาพนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์ของปัญญา สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาในกาลที่มีคำสอนของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีศรัทธาที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นจนดับกิเลสได้ ต่างกับกาลสมัยที่ไม่มีคำสอน เมื่อไม่มีคำสอนแล้ว กุศลใดๆ ที่สามารถจะอบรมเจริญได้มากขึ้น บุคคลนั้นก็อบรมเจริญไปตามกำลังของสติปัญญา แต่ว่าถ้าได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็นอสัญญสัตตาพรหม เพราะฉะนั้น แทนที่จะอบรมจิตให้สงบมั่นคงถึงขั้นฌานจิต แต่ก็อบรมเจริญปัญญาที่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้โดยฌานจิตองค์ของฌานไม่เกิดร่วมด้วยตามระดับขั้นของฌาน นี่ก็เป็นความต่างกัน

    ผู้ฟัง ในมรณาสันนกาล มีคติ ๓ คติอารมณ์ อยู่ในอารมณ์ไหนใน ๖ อารมณ์

    อ.อรรณพ ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ คือ ทั้งสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธัมมารมณ์

    ท่านอาจารย์ เวลาที่ฟังธรรมแล้ว จะเป็นความเข้าใจของตัวเอง หลังจากที่ได้ฟังแล้วว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด เช่น ขณะนี้มีจิต เป็นสิ่งที่เมื่อฟังแล้วก็สามารถจะเข้าใจลักษณะของจิต โดยสภาพที่เป็นธรรมที่มีจริง และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่มีใครที่สามารถจะรู้ว่า ปฏิสนธิจิตของแต่ละคนมีอารมณ์อะไรได้ หรือไม่

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าก่อนจุติ จิตจะเป็นกุศล หรือ อกุศลใดๆ ก็ตาม พอที่จะรู้เพียงว่า ถ้าก่อนจุติเป็นกุศลจิต ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในสุคติภูมิ เกิดในมนุษย์ หรือในสวรรค์ขั้นต่างๆ ถ้าเป็นกามาวจรกุศล แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ใครก็จะไปจัดการทำอะไร เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะว่ากรรมถึงกาลที่จะทำให้ผล จึงทำให้จิตใกล้จะจุติเป็นอกุศลจิต เมื่ออกุศลจิตเกิดก่อนจุติ ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากปฏิสนธิในทุคติภูมิ โดยจะมีอารมณ์อะไรก่อนจุติ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม แต่ละท่านก็สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า สามารถจะเข้าใจอะไรได้ และมีสิ่งที่สามารถทำให้เข้าใจยิ่งขึ้นได้ หรือไม่ เพราะเหตุว่าสามารถจะเข้าใจลักษณะของจิต ลักษณะของธรรม ลักษณะของรูป แต่จะเข้าใจถึงอารมณ์ของจิตใกล้จุติของชาติก่อนซึ่งเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิในชาตินี้ และเป็นอารมณ์ของภวังคจิตในชาตินี้ได้ไหม เป็นสิ่งที่แต่ละคนจะได้ทราบด้วยตัวเอง แม้จะมีคำกล่าวว่า ใกล้จุติ จะมีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๖ อารมณ์ คือ ๖ ทวาร ก็ทราบเพียงเท่านี้ แต่จะให้รู้ว่า แล้วขณะใกล้จุตินั้นมีอารมณ์อะไร เรียกว่าอะไร ไม่สามารถจะรู้ได้ ด้วยเหตุนี้ก็ตามกำลังความสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะว่าแม้ขณะนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า ปฏิสนธิของแต่ละคนมีกรรมเป็นอารมณ์ หรือมีกรรมนิมิตเป็นอารมณ์ หรือมีคตินิมิตเป็นอารมณ์ แต่ผู้รู้ทรงแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่กรรม และอารมณ์ขณะที่ใกล้จะจุติก็เลือกไม่ได้ด้วย แต่มีสิ่งที่ขณะนี้มี สามารถจะฟังให้ค่อยๆ เข้าใจได้ แต่ถ้าคิดถึงสิ่งที่อย่างไรๆ ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ที่ทรงแสดงไว้ เพื่อให้เห็นความเป็น อนัตตาของสภาพธรรม ก็ทำให้เรารู้จักตัวเราเองตามความเป็นจริงว่า สามารถจะรู้อะไรได้แค่ไหน

    ผู้ฟัง เราไม่สามารถจะรู้ได้เลย ขณะที่เราหลับสนิท เราไม่สามารถรู้ลักษณะของภวังค์เลย แม้แต่ว่าเป็นของเรามาตั้งแต่เกิด นี้คือความวิจิตร คือ ปัญญาเราไม่ถึงพระพุทธเจ้า ทรงแสดง เรารู้ตามเท่านั้นเอง แล้วก็รู้เท่านั้นเองว่า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสุคติภูมิหนึ่งเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ พิสูจน์ได้ว่ากำลังหลับสนิทอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าขณะนั้นภวังคจิตซึ่งมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิตนั้นมีอารมณ์อะไร ก็เป็นอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ใช่อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    อ.วิชัย เมื่อคิดถึงฝ่ายของกุศล เมื่อกุศลกรรมให้ผล ก็ยังมีปฏิสนธิจิตซึ่งต่างออกเป็นหลายประเภท แต่เมื่อคิดถึงฝ่ายอกุศลกรรม เมื่อให้ผลไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ให้ผลปฏิสนธิซึ่งเป็นประเภทเดียว แต่ความวิจิตรของสัตว์ในอบายภูมิมากมาย แต่เหตุใดจึงให้มีปฏิสนธิจิตเพียงประเภทเดียว

    ท่านอาจารย์ ถ้าคิดถึงประเภทที่เป็นภูมิต่ำ ก็ต่ำทั้งหมด ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ และการอบรมเจริญกุศลก็ไม่ได้มากมายกว้างขวางอย่างผู้ที่เป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด จะมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นพื้นฐานของจิตที่สามารถทำให้กุศลเจริญขึ้น ก็ต่างๆ กันไป

    อ.วิชัย หมายความว่า ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ผลเหมือนๆ กัน ในฝ่ายไม่ดี เกิดในภูมิไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เพียงเห็น เพียงได้ยิน เพียงได้กลิ่น จำกัดทุกอย่าง แม้แต่ในเรื่องของสติปัญญา หรือในเรื่องของกุศล

    ผู้ฟัง นามปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิ เช่นในมนุษยภูมิ เหตุใดแต่ละคนถึงมีความต่างกัน ไม่ได้มีรูปปฏิสนธิด้วย หรือ

    ท่านอาจารย์ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องมีทั้งนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้นรูปที่มี ๑ ขันธ์ คือ อสัญญสัตตาพรหม มีแต่รูปปฏิสนธิ ไม่มีจิตเลยระหว่างที่เป็นอสัญญสัตตาพรหมบุคคล สำหรับอีก ๔ ภูมิ เป็นอรูปพรหมภูมิ ไม่มีรูปใดๆ เลย มีแต่นามธรรมล้วนๆ คือ จิต และเจตสิกเกิดขึ้น และภูมิที่เหลือ เป็นภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง หมายถึงปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ ในภูมิไหน

    ผู้ฟัง ปฏิสนธิมี ๒๐ มีนาม ๑๙ และรูป ๑

    ท่านอาจารย์ คือ รูปปฏิสนธิ มีภูมิเดียว อสัญญสัตตาพรหมภูมิ ไม่มีนามธรรมเลย สำหรับจิตปฏิสนธิก็ยังแยกเป็น อรูปพรหมภูมิ ๔ ไม่มีรูปเลย แต่มีจิตปฏิสนธิ

    ผู้ฟัง ปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ ก็ต้องมีรูปปฏิสนธิด้วย

    ท่านอาจารย์ กรรมทำให้จิต เจตสิก และรูปซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดพร้อมกันทันที อาศัยกัน และกันด้วย เพราะฉะนั้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมจะเกิดนอกรูปไม่อาศัยรูปไม่ได้เลย

    อ.วิชัย ขณะที่บุคคลจะอบรมได้ฌานจิต หรือบรรลุมรรคผล ประการหนึ่งคือ ปฏิสนธิจิตต้องประกอบด้วยปัญญา ก็น่าพิจารณาว่า ขณะปฏิสนธิ หรือภวังค์ ไม่มีความรู้สึกตัว แล้วจะเป็นเหตุอย่างไรว่า เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่บุคคลจะบรรลุ หรือได้ฌานจะต้องปฏิสนธิด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ ฟังดูเหมือนจิตขณะเดียว ที่เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ทำหน้าที่เกิดขึ้นเป็นขณะแรกสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นแล้ว แต่กิเลสยังมี กรรมยังมี เพราะฉะนั้น กรรมหนึ่งก็เป็นปัจจัยทำให้จิตที่เป็นวิบากของกรรมนั้นเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อ คือ ปฏิสนธิต่อจากจุติจิตของชาติก่อน แต่ปฏิสนธิจิตประมวลมาซึ่งกรรม และกิเลสทั้งหลายที่สมควรแก่การเกิดในภพนั้นชาตินั้น เพราะแต่ละคนทำกรรมมามากมาย ทั้งในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ และกรรมที่ทำแล้วก็สะสมสืบต่อ ไม่ได้หายไปไหนเลย คิดถึงว่าจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดขึ้น ความเป็นปัจจัยของจิตขณะก่อน ซึ่งทำให้จิตขณะต่อไปเกิด จิตขณะต่อไปต้องมีทุกสิ่งซึ่งจิตขณะก่อนเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เพราะจิตนี้เกิดสืบต่อจากจิตขณะก่อน เพราะฉะนั้นแม้ปฏิสนธิจิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ประมวลมาซึ่งเหตุ และกรรมที่สมควรแก่ภพชาตินั้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ทุกชีวิตต่างกันมาก ถ้าทราบเรื่องของกรรมซึ่งเป็นเหตุให้เกิดแต่ละคนในขณะนี้ สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของกรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ในห้องนี้ พอที่จะเห็นผลของกรรม หรือไม่ สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของกรรม และกรรม เพราะว่าเกิดมาแล้วโดยผลของกรรมที่ต่างกันไป เป็นผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี แล้วแต่รูปร่างหน้าตาทั้งหมดเป็นผลของกรรม แต่การกระทำ และความคิดซึ่งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ของแต่ละบุคคล ก็ยังเป็นที่ดูกรรม และผลของกรรมด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีสภาพธรรมที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงยับยั้งได้ แต่ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง คือ เมื่อมีกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นวิบากประเภทไหน

    ทุกคนเกิดมา ขณะนี้ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม ที่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าบุคคลนี้ปฏิสนธิจิตเป็นผลของทาน หรือบุคคลนั้นเป็นผลของศีล หรือบุคคลนั้นเป็นผลของการอบรมเจริญภาวนา ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย แต่ชีวิตหลังจากปฏิสนธิแล้วจะเป็นไปอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามการสะสม ซึ่งทำให้เห็นความต่างของกรรมต่อไป ถ้าเกิดเป็นรูปพรหมภูมิ ก็จะไม่มีผลของกรรมที่จะตามไปให้ผลเหมือนเช่นในภูมิมนุษย์

    อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์ตอบคำถามคุณวิชัย ทำให้คิดว่า ก่อนที่เราจะศึกษาธรรม เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตัวเราเอง หรือคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เกิดมาก็ดำเนินชีวิตไป แล้วรู้ว่าทุกคนก็ต้องตาย ก็แค่นั้นเอง แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแม้เพียงขั้นเรื่องราว เราก็คิดว่า จริงๆ น่าอัศจรรย์มากที่พวกเราทั้งหลายยังไม่ตาย เกิดมาแล้วก็มีการเห็น การได้ยิน ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้กระทบสัมผัส ไม่ได้คิดนึกอะไร ก็ยังเป็นภวังค์ ดำรงให้เป็นบุคคลนั้นอยู่ไปด้วยความมหัศจรรย์ของชนกกรรม ที่ทำให้ทุกคนยังไม่ตาย ยังนั่งกันอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นก็ทำให้คิดว่า กรรมเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ และซับซ้อนมากๆ ที่เป็นปัจจัยหลักทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของกรรม

    ท่านอาจารย์ วันนี้ฟังธรรมเข้าใจแค่นี้ ฟังต่อไปอีก ก็เข้าใจมากขึ้น สะสมไป จากโลกนี้แล้วก็ไม่ได้หายไปไหนเลย ก็สะสมสืบต่อทำให้แต่ละคนที่เมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะมีวันนี้ที่ได้ฟังพระธรรม เพราะว่าตอนเป็นเด็ก มีใครคิดไว้ก่อนไหมว่า จะได้ฟังพระธรรม แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้ได้ยินได้ฟัง แล้วมีการพิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมที่เกิด และสะสมก็ปรุงแต่งแต่ละภพแต่ละชาติให้เป็นแต่ละบุคคลต่างๆ กันไป ถ้าศึกษามีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจที่แยบคายจะประคับประคองให้เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ ถ้าเป็นสติสัมปชัญญะ เป็นสติปัฏฐาน จะเข้าใจความหมายของความเป็นอนัตตาของสติที่เกิด และจะรู้ด้วยว่า จากการศึกษาเรื่องวาระหนึ่งๆ ที่มีการเห็น การได้ยิน ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ สั้นมาก เพราะศึกษาแล้วว่า มีภวังคจิตเกิดคั่น แสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะเวลานี้ที่สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะไม่รู้ภวังคจิต แต่ถ้ารู้ความเป็นภวังคจิต อะไรที่เพียงปรากฏแล้วหมดแล้ว ภวังค์เกิดคั่นแล้ว ทางตาปรากฏซ้ำอีก ภวังค์เกิดคั่นอีกแล้ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 155
    12 ม.ค. 2567