เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน


    ผู้ฟัง กราบเรียน ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็อยากจะกราบเรียนถาม จากเรื่อง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นาน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าสาธารณชนเป็นจำนวนพันคน เรื่องก็คือว่า ตอนท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชได้สิ้นชีวิต ก็ได้เก็บศพท่านไว้ ๑๐๐ วัน เมื่อครบ ๑๐๐ วัน ก็ได้ทำพิธีที่จะเคลื่อนศพท่าน ไปตั้งที่เชิงตะกอน เพื่อประกอบพระราชทานเพลิง ในวันนั้นก็มีผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจ แล้วก็อดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ก็มีการทำบุญถวาย ทำบุญสวดมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์แล้ว ก็ตามประเพณี ก็ตั้งแต่ท่านชวน แล้วก็ผู้ว่าตามลำดับทั้ง ๑๐ ท่านนะครับ ก็ถวายปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับท่านขุนพันธรักษ์

    ก็ปรากฏว่าเพื่อน ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้หญิง เป็นเพื่อนบุตรสาวของท่านขุนพันธ์ ก็ถ่ายรูปกล้องดิจิตอลนะครับ ถ่ายทั้งผู้ถวาย แล้วก็ภาพที่หีบศพด้วย ก็ปรากฏว่าเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว มีร่างท่านขุนพันธรักษ์ราชเดชปรากฏที่หน้าโลง นั่งอยู่บนเหนือเครื่องราชที่ทั่วไป ที่วางนะครับ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่อยากทราบว่า มันเกิดอะไรขึ้นประการที่ ๑ แล้วก็อีกประการที่ ๒ ซึ่งในขณะนี้ที่นครศรีธรรมราช มันมีเรื่องอัศจรรย์ที่หลายๆ คน ทึ่ง แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่น บางท่าน บางคนที่แขวนจตุคามรามเทพถ่ายรูปไป ปรากฎว่ามีรูปจตุคามรามเทพ เต็มไปหมดเป็นแว่นๆ หรือในบางพิธีที่เขาจะทำพิธี สร้างจตุคามรามเทพ ยังไม่สร้างนะ แต่ว่าในขั้นตอนของการทำพิธี กลายเป็นว่ากล้องถ่ายเห็นรูป ที่กำลังจะทำในอนาคต มากดอยู่ในฟิล์ม ในกล้อง ซึ่งอัดรูปออกมาแล้วมันปรากฏ ก็อยากจะกราบเรียนถามอาจารย์ว่า ข้อสงสัยที่เกิดขึ้น ที่กระผมได้เจอมาทั้งภาพของท่านขุนพันธ์ก็ตาม แล้วก็ภาพขององค์จตุคามรามเทพ มันคืออะไร แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะตอบโดยวิชาการอื่น ก็คงจะมีคำอธิบาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุพอสมควรที่จะให้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าตามหลักที่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้นเอง ถูกต้องไหม ไม่ว่าจะเห็นอะไรทั้งสิ้น บางคนอาจจะกล่าวว่า เห็นเทวดา บางคนอาจจะกล่าวว่า เห็นสมบัติมหาศาล หรือบางคนอาจจะกล่าวว่า เห็นอะไรก็ตามแต่ แต่ทั้งหมดของสิ่งที่เห็นนั้น คือ สิ่งที่เพียงปรากฏทางตา ถ้าไม่มีตา ไม่มีจักขุปสาท เห็นไม่ได้เลย แต่เมื่อเห็นแล้วไม่รู้ เห็นแล้วยึดถือว่าเป็นเราเห็น แล้วยึดถือว่าสิ่งที่เห็น เป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ทำให้จิต คิดเรื่องยาวต่อไป โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริง เห็นเกิดขึ้น และดับไป

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเห็นอะไร วิจิตรต่างๆ แปลกต่างๆ ในแต่ละชาติ แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงของเห็น ว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือ ชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งไม่มีใคร สามารถที่จะบันดาลได้ และสิ่งนั้นก็คือว่า เมื่อเห็นแล้ว รู้หรือเปล่าว่าไม่ใช่เรา นี่สำคัญกว่า เพราะว่าต่อไปก็ไม่ทราบว่า เราจะเห็นอะไร ซึ่งอาจจะแปลกกว่านี้ก็ได้ ตามความคิดนึกของเรา บางคนบอกว่าเห็นเปรต ไม่ต้องถ่ายรูปเลย เห็นได้ เขาก็มีความเชื่อ ความคิด ว่าเขาเห็น แล้วก็เขาสงสัยว่า แล้วเป็นอะไร แล้วมาจากไหน อย่างไร แต่คำตอบในพระพุทธศาสนา เป็นคำตอบ ซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าสิ่งที่สามารถจะเห็นได้ มีจริงๆ ขณะนี้กำลังปรากฏทางตา แต่ไม่มีใครสนใจ ที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งนี้คืออะไรแน่ ในเมื่อในอดีตพระโพธิสัตว์ ท่านก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นท่านก็ยังมีกิเลส มีความไม่รู้ มีความผูกพันในทุกอย่าง แต่ว่าความคิดของพระโพธิสัตว์ จะต่างกับความคิดของคนอื่น

    นี่แสดงกระดับขั้นของปัญญา จากการที่บุคคลนั้น ต่อไปจะเป็นใคร จะสะสมปัญญามากน้อยแค่ไหน สำหรับพระโพธิสัตว์ ถ้าท่านเกิดความพอใจในสิ่งใด ท่านมีการสนใจที่จะรู้ว่า และความจริงแท้ๆ ของสิ่งที่ท่านพอใจนั้น เป็นอะไร สิ่งที่เที่ยงหรือเปล่า ยั่งยืนหรือเปล่า นี่ก็เป็นความคิดที่หลากหลายต่างๆ กันไป

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะตอบโดยวิชาการอื่น ก็มีหลายอย่าง หรือแม้แต่จะเห็นเปรต เห็นอะไรโดยไม่ต้องถ่ายรูปเลยก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่นเกิดปัญญา ที่จะละความไม่รู้ และการยึดถือ ก็คือให้มีความเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ว่าจะเห็นอะไรที่ไหน สิ่งที่ปรากฏต่างๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริง ที่ยากที่จะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเพียงเห็นรูป ก็เป็นนั้น เป็นนี่ไปแล้ว ตามความคิดนึก แต่ถ้ามีเด็ก ซึ่งให้เด็กนั้นดูรูป เด็กนั้นจะรู้ไหมว่า รูปนั้นเป็นรูปอะไร เด็กนั้นไม่มีความคิดเลย ว่าเป็นใครในรูป แต่ว่าคนที่เคยได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวมาแล้ว ทันทีที่เห็นรูป ก็จะมีความคิดนึกว่า นั้นเป็นรูปใคร เมื่อไร อย่างไร เพราะฉะนั้นความจริงแท้ๆ ก็คือว่า ควรจะรู้ความจริง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเกิดขึ้น แล้วก็หมดไป สืบต่ออย่างรวดเร็ว ซึ่งรู้ได้ยากแต่ว่า สามารถที่จะรู้ได้


    หมายเลข 158
    10 ก.ค. 2567