บารมี คือ ความดี
ท่านอาจารย์ ผู้ที่จะรู้ความจริงได้ อยู่ดีๆ ก็รู้หรือเปล่า หรือว่าอยากรู้ ก็รู้หรือเปล่า หรือพอได้ยินว่าต้องเป็นอย่างนี้ ก็เลยไปทำ เพื่อที่จะให้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า นั่นคือผิด แต่ถ้าได้ยินคำว่า บารมี ทุกคนก็ได้ยิน แต่ภาษาไทยอาจจะเข้าใจผิดไปเลย เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ ใหญ่โต เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ถ้ารู้ความจริงง่ายๆ ธรรมดาในภาษาไทย บารมีคือความดี จะสะสมหรือไม่ แน่ใจหรือ หรือว่าอยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยไม่ต้องมีความดีอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่อกุศลเยอะๆ อยากมากๆ แล้วก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริง แล้วรู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่า นอกจากความไม่รู้ ยังมีกิเลสอีกนานัปการที่สะสมมา ที่จะขัดขวางไม่ให้สามารถที่จะรู้ความจริง ทั้งๆ ที่กำลังฟัง แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่รู้ฐานะ คือ ความเป็นไปได้ ว่าปัญญาที่สามารถ ที่จะถึงการประจักษ์แจ้งความจริง ของสภาพธรรม ต้องเกิดจากการสะสมความดีทุกประการ เพราะเหตุว่าขณะใดก็ตาม ซึ่งสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นอกุศลเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่กุศล รู้สิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้ อกุศลทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ริษยา อะไรก็ตามแต่ ไม่สามารถที่จะทำให้ประจักษ์แจ้ง ความจริงของสภาพธรรม นอกจากจะเป็นเครื่องกั้น ยิ่งมีมาก การที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ขณะใดก็ตาม ที่ความดีไม่ว่าประเภทใดก็ตามเกิดขึ้น การเสียสละ การที่มีศรัทธาที่จะฟังธรรม หรือว่าการที่ไม่โกรธ ไม่อาฆาต ช่วยเหลือคนอื่น เหล่านี้ที่เป็นความดี เกิดขึ้นขณะใด ไม่ใช่อกุศล
เพราะฉะนั้นอกุศล ซึ่งจะเกิดอยู่ตลอดเวลา ก็เกิดไม่ได้ ขณะที่กุศลจิตเกิด แล้วถ้าสะสมกุศลจิตมากขึ้น อกุศลที่ไม่เกิด เพราะกุศลเกิด ก็ลดน้อยลงไป แต่ว่าความดีที่จะเป็นบารมีได้ ต้องเป็นบริวารของปัญญา ถ้าไม่มีความเห็นถูก ตั้งหลายคน เกิดมาสะสมทานุปนิสัย มีอัธยาศัยที่จะให้คนอื่นง่ายๆ เลย เห็นคนอื่นเดือดร้อนก็ช่วยเหลือก็ได้ แต่ก็ยังไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญญา ก็จะทำให้ความดีทั้งหลายมากขึ้น เสียสละมากขึ้น ก็สามารถที่จะสละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา และเป็นตัวตนได้เมื่อปัญญาเจริญขึ้น
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า พอผ่านข้อความในพระไตรปิฎก หนทางเดียวที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรม คือ สติปัฎฐาน ๔ และก็รู้จักชื่อ กาย เป็น กายานุปัสสนาสติปัฎฐานเรียกชื่อได้ เวทนา ความรู้สึก เวทนานุปัสสนาสติปัฐาน จิตที่มีจริงขณะนี้ รู้เมื่อไร เข้าใจถูกเมื่อไรเพิ่มขึ้น ก็เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน และธรรมอื่นๆ ทั้งหมด ที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ปัญญาก็สามารถที่จะเห็นความเป็นธรรม ของสภาพนั้นๆ เพิ่มขึ้น เพียงเท่านี้ไม่พอ แต่จะต้องรู้ด้วย ว่าแม้แต่คำว่า กาย ที่จะรู้ว่าเป็นธรรม จะไปหาที่ไหน จะอยู่ที่ไหน และขณะไหน เป็นสิ่งที่มีจริง และเคยยึดถือว่าเป็นกาย และความจริงของสภาพธรรม ที่เคยยึดถือว่าเป็นกาย แท้จริงคืออย่างไร
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เกิดมามีโอกาสได้ฟังธรรม ไม่ต้องหวังอะไรเลย นอกจากเข้าใจขึ้นๆ เพราะว่าความหวังใดๆ ไม่ทำให้รู้แจ้งสภาพธรรม แต่การพิจารณา และเข้าใจธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย วันหนึ่งก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะกำลังปรากฏ ก็เป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า แม้สภาพธรรมปรากฏ กำลังปรากฏ เข้าใจถูก เห็นถูก ในความเป็นเพียงธรรม ของสภาพธรรมนั้นหรือเปล่า หรือว่ายังคงไม่รู้อยู่ ถ้าไม่รู้อยู่ ก็ต้องสะสมความดีต่อไปอีก สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ต่อไปอีก จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น แต่ไม่ใช่เพียงเข้าใจความหมาย ของคำว่า กายานุปัสสนา และก็คิดว่าแปลได้ รู้ได้ ก็จะไปทำ
- ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา
- มีความสนใจฟังพระธรรมน้อยลง
- สติปัฎฐานไม่ได้เกิดตามความต้องการ
- จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม คือ ความเข้าใจถูก
- พระธรรมที่ทรงแสดง มี ๓ ปิฏก
- อะไรจะชนะ โลภะ และ โทสะ
- การดับกิเลส ขาดบารมี ๑๐ ไม่ได้
- ผลของกุศล
- การฟังธรรมโดยผิวเผิน จะไม่ได้รับความถูกต้อง
- ปฏิบัติธรรม หมายถึงอย่างไร
- เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
- เพียงพริบตาเดียว ก็เปลี่ยนเป็นบุคคลใหม่
- ประโยชน์จากการฟังพระธรรม
- ความภักดีในพระผู้มีพระภาค
- บารมี คือ ความดี