พระธรรมที่ทรงแสดง มี ๓ ปิฏก


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการศึกษาพระไตรปิฎก และอรรถกถา ก็คงจะมีแต่กระดาษ ที่เก็บเอาไว้เป็นสมุด เป็นคำสอน หรืออาจจะกาลข้างหน้า เปลี่ยนแปลงตามความรู้สมัยใหม่ เป็นในรูปแบบอื่นก็ได้ แต่ไม่มีใครอ่านอีก ไม่มีใครศึกษาอีก ไม่มีใครเข้าใจอีก จนกระทั่งในที่สุด เมื่อเปิดขึ้นมาดู ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจข้อความนั้นๆ ได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็เมื่อมีตำรับตำรา มีพระธรรมคำสอนที่สมบูรณ์ พุทธบริษัทที่ใคร่ ที่จะได้ทราบว่า พระธรรมแท้ๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ทรงแสดงเรื่องอะไร ก็สามารถที่จะติดตาม ฟัง เพื่อให้เกิดปัญญาของตนเอง พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มี ๓ ปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระวินัยปิฎกส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับ ข้อประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมควรแก่เพศบรรพชิต เพราะเหตุว่าอัธยาศัยของคนในโลกนี้ต่างกัน

    พุทธบริษัทมีสองพวก คือบรรพชิตพวกหนึ่ง และคฤหัสถ์พวกหนึ่ง บรรพชิตเป็นผู้ที่สะสมอัธยาศัย ที่จะประพฤติตามแบบอย่างของพระผู้มีพระภาค คือเป็นผู้ไม่ครองเรือน แต่ว่าก็มีผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ที่สะสมอัธยาศัย ที่จะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ในเพศของการครองเรือน คือเพศคฤหัสถ์ อย่างเช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือท่านวิสาขามิคารมารดา นี้ก็แสดงให้เห็นว่า แต่ละคนต่างอัธยาศัยจริงๆ

    เพราะฉะนั้นสำหรับพระวินัยปิฎกส่วนใหญ่ เฉพาะข้อประพฤติปฏิบัติของบรรพชิต แต่ว่าถ้าคฤหัสถ์จะศึกษา จะเป็นประโยชน์มาก และก็จะอนุเคราะห์แก่พระศาสนาด้วย เพราะเหตุว่าจะรู้ว่า การประพฤติอย่างไรเป็นบรรพชิต และการประพฤติอย่างไรไม่ใช่บรรพชิต ทำให้เราสามารถที่จะรู้ว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนามีกิจของพระภิกษุ ต่างกับกิจของคฤหัสถ์อย่างไร ไม่ปะปนกันเลย แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย คฤหัสถ์บางคนอาจจะมีความเลื่อมใสในภิกษุ ซึ่งไม่ได้กระทำกิจของภิกษุตามพระวินัย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ถ้ามีใครที่คิดจะเกื้อกูลแก่พระศาสนา ก็ควรที่จะได้ศึกษาโดยครบถ้วนทั้ง ๓ ปิฎก แม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็ให้พอที่จะเข้าใจได้ในความต่างกัน ของเพศคฤหัสถ์กับบรรพชิต นี่คือเรื่องของพระวินัย และสำหรับคฤหัสถ์ซึ่งรู้พระวินัย เป็นประโยชน์ด้วย เพราะเหตุว่าความงามทางกิริยาอาการของกาย วาจา ที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตอย่างไร คฤหัสถ์สามารถจะประพฤติปฏิบัติตามได้ แม้ว่าจะไม่ได้ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต เหมือนกิริยามารยาทของสังคมทั่วไป ถ้าเราพิจารณาเห็นว่า อะไรที่เหมาะ ที่ควร ไม่จำกัดเชื้อชาติ ว่าของชาติไหน เราก็สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างอันนั้นได้ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ดี นี่ก็แสดงให้เห็นประโยชน์ของพระธรรม แม้พระวินัยด้วย

    สำหรับพระสุตตันปิฎก บางท่านก็อาจจะเคยฟังมาบ้าง จากรายการธรรมต่างๆ ที่วัดวาอาราม หรือว่าตามสถานีวิทยุ ก็เป็นเรื่องคำสอนที่กล่าวถึง สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน พระวิหารเวฬุวัน พระวิหารนิโครธาราม แล้วก็เสด็จไปสู่ที่ต่างๆ สนทนาธรรมกับบุคคลต่างๆ ข้อความต่างๆ ตามอัธยาศัยของผู้ฟัง

    ปิฎกที่ ๓ คือพระอภิธรรมปิฎก บางคนได้ยินชื่อ อาจจะกลัว บอกว่าพระอภิธรรมปิฎกคงจะยาก หรือว่าไม่มีโอกาสได้ฟังบ่อย แต่ถ้าเข้าใจความหมายของธรรม ว่าหมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ น่าสนใจไหม ที่จะเข้าใจเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ให้ละเอียดขึ้น ถ้าสนใจมีทางเดียว คือศึกษาพระอภิธรรม เพราะเหตุว่า อภิ อีกนัยความหมายหนึ่ง หมายความว่าละเอียด เป็นธรรมส่วนละเอียดจริงๆ ที่ทรงแสดงไว้ โดยการประจักษ์แจ้ง จากการที่ได้ตรัสรู้

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาพระอภิธรรม เราก็อาจจะคิดว่า ไม่ศึกษาดีกว่า เพราะว่ายากเกินไป แต่ว่าถ้าเข้าใจว่าพระอภิธรรมคืออะไร คือเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังคิดนึก เรื่องการเกิด เรื่องการตาย เรื่องการเจ็บ เรื่องการได้ลาภ เรื่องการเสื่อมลาภ เรื่องการได้ยศเสื่อมยศ แต่ละเอียด เพราะเหตุว่าไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกทั้งหมด จะกี่โลกก็ตาม ขึ้นไปจนกระทั่งถึงโลกพระจันทร์ หรืออาจจะไปที่โลกอื่น ซึ่งในยุคนั้น คนสามารถไปถึงพรหมโลก ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพียงแต่ว่าย้ายหรือเปลี่ยนสถานที่ แต่ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนอย่างสัตว์ ปลา ก็ยังมีตา สัตว์ทั้งหลายก็มีหู คนก็มีจมูก ทุกอย่างจะไม่พ้น ๖ โลกนี้เลย เพราะฉะนั้น ๖ โลกนี้ คือ พระอภิธรรม ที่ได้ทรงแสดงไว้ละเอียด เพราะฉะนั้นก็เป็นการศึกษาที่จะทำให้ค่อยๆ รู้จักตัวเอง รู้จักโลกตามความเป็นจริง เป็นสัจจธรรม



    หมายเลข 158
    7 ก.ค. 2567