ปกิณณกธรรม ตอนที่ 154


    ตอนที่ ๑๕๔

    สนทนาธรรม ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร

    พ.ศ. ๒๕๓๖


    ท่านอาจารย์ จิตมี ๔ ชาติ คือ กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ หรือถ้าจะเรียงใหม่ เป็นอกุศลต่ำสุด แล้วก็กุศล แล้วก็วิบาก แล้วก็กิริยา สำหรับกามาวจรจิตมีจิตทั้ง ๔ ชาติ ที่เรากำลังนั่งอยู่นี่ มีจิตทั้ง ๔ ชาติ แต่ถ้าเป็นรูปาวจรภูมิ จิตอีกระดับหนึ่งจะมีเพียง ๓ ชาติ คือ ไม่มีอกุศล มีแต่รูปาวจรกุศลซึ่งเป็นเหตุให้เกิดรูปาวจรวิบากจิต สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ใช่รูปาวจรกุศล เป็นรูปาวจรกิริยาจิต ซึ่งไม่เป็นเหตุให้เกิดในชั้นใดทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์แล้วดับกิเลสหมด ไม่มีเชื้อไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิเลย สำหรับอรูปาวจรจิตมี ๓ ชาติ อรูปาวจรกุศล อรูปาวจรวิบาก อรูปาวจรกิริยา ถ้าได้ยิน ๓ ชื่อนี้ก็ง่าย คือ กุศลเป็นเหตุ วิบากเป็นผล กิริยาไม่ใช่เหตุไม่ใช่ผล เป็นจิตของพระอรหันต์ที่ท่านได้อรูปาวจรกิริยาจิต

    การศึกษาเรื่องจิต เพื่อที่จะให้เข้าใจจึงตั้งต้นด้วยชาติของจิต ๔ ชาติก่อน เมื่อเข้าใจเรื่องชาติของจิต ๔ ชาติแล้ว เราก็จะมาถึงระดับขั้นซึ่งเป็นภูมิของจิตว่าแต่ละภูมิมีจิตกี่ชาติ สำหรับโลกุตตรจิต มีแต่กุศลจิต และวิบากจิต ไม่มีกิริยาจิต แล้วก็ไม่มีโลกุตตรภูมิ ซึ่งเป็นที่เกิดแบบมนุษย์ และสวรรค์ที่เป็นโลกอย่างนี้ด้วย เพราะเหตุว่าทันทีที่โลกุตตรกุศลจิต คือ โสดาปัตติมรรคจิตดับ โลกุตตรวิบาก คือ โสดาปัตติผลเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย ได้รับผลทันที ไม่ต้องไปรอการเกิด เพราะเหตุว่าโลกุตตรกุศลไม่เป็นปัจจัยให้เกิด แต่เป็นปัจจัยของการดับภพชาติ นี่คือความต่างกันของภูมิ

    ผู้ฟัง แล้วไม่มีภูมิต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่มี โดยระดับขั้นของจิตเป็นโลกุตตรภูมิ แต่ไม่มีที่เกิด ว่าจะเป็นผลให้เกิดที่ภูมินั้นภูมินี้ ถ้าพระโสดาบันเกิดในสวรรค์ เกิดโดยมหาวิบากจิต เป็นผลของมหากุศล หรือกามาวจรกุศลทำให้เกิดในสวรรค์ ถ้าพระโสดาบันบุคคลนั้นได้รูปฌานจิต การเกิดในรูปพรหมภูมิ เป็นโสดาบันบุคคลนั้นเกิดโดยรูปาวจรวิบากจิตซึ่งเป็นผลของรูปาวจรกุศลจิต อันนี้ก็ต้องแยก แต่ไปช้าๆ ก็ได้ คือ ไม่ลืมเรื่องของชาติว่าจะต้องมาเกี่ยวกับเรื่องของภูมิด้วย

    การอบรมเจริญปัญญา ผู้ที่เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง ไมใช่ฟังผ่านหูคือได้ยิน แต่ฟังพิจารณาให้เข้าใจ แล้วก็รู้ว่าสภาวะหรือสภาพธรรมกำลังมีปรากฏให้พิสูจน์จริงๆ เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจคำสอนทั้งหมดของพระผู้มีพระภาคว่า จุดประสงค์ คือ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง แล้วก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าเรียนไปเฉยๆ แล้วก็เข้าใจว่ารู้มากๆ

    ผู้ฟัง เรื่องของตัวเราเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ เพราะว่าถ้าจะเข้าใจเรื่องตำราหรือตามตำรา พอจะจำได้หรือพอจะเข้าใจได้ แต่พอหันจะมาเข้าใจเรื่องของตัวจริงๆ ขณะเห็นนี้ มีธรรมหรือเปล่า มีจิตหรือเปล่า ขณะได้ยินมีธรรมหรือเปล่า มีจิตหรือเปล่า ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยคำนึงถึง เพราะฉะนั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ถึงแม้จะมีอยู่จริง แต่ก็เป็นเรื่องที่ห่าง

    ท่านอาจารย์ หรือมิฉะนั้นก็ตอบโดยชื่อ ซึ่งเคยตอบกันมาแล้วว่า จิตเห็นมี เป็นอเหตุกจิต มีเจตสิกเกิดเท่าไร พวกนี้ก็เป็นการตอบโดยชื่อทั้งนั้น แต่ว่าจริงๆ ไม่ใช่เพียงขั้นตอบโดยชื่อ จะต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้น คือ ระดับขั้นฟัง เป็นความเข้าใจขั้นหนึ่ง แล้วระดับขั้นที่มีสติเกิดขึ้นระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วความเข้าใจก็เพิ่มขึ้นด้วย นี่ก็เป็นการศึกษาอีกขั้นหนึ่ง

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์ก็ได้กรุณาให้ความหมายเกี่ยวกับเรื่องชาติของจิต แล้วก็เรื่องภูมิของจิต มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ทีนี้พูดถึงเรื่องความหมายของภูมิ ๒ อย่างที่พูดกันมาตั้งแต่แรก ที่ว่าความหมายแรกหมายถึงระดับขั้นของจิต และความหมายที่ ๒ ภูมิหมายถึงที่เกิดของสัตว์โลก ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของสัตว์โลกมี ๓๑ ภูมิก็มีกามภูมิ ๑๑ รูปพรหมภูมิ ๑๖ แล้วก็อรูปพรหมภูมิ ๔

    ทั้ง ๒ ความหมาย เท่าที่สนทนากันมายังสับสนที่ว่า ระดับขั้นของจิตแต่ละระดับขั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ในภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของสัตว์โลกภูมิไหนบ้าง อย่างเช่นว่าเป็นมนุษย์ ตอนนี้กำลังเป็นมนุษย์ภูมิ ซึ่งเป็นภูมิหนึ่งของกามภูมิ ๑๑ ในภูมินี้ระดับขั้นของจิตก็เกิดได้ทั้ง ๔ ระดับขั้น คือ กามาวจรจิตก็เกิดขึ้นได้ รูปาวจรจิตก็เกิดขึ้นได้ อรูปาวจรจิตก็เกิดขึ้นได้ โลกุตตรจิตก็เกิดขึ้นได้ในภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของมนุษย์อย่างนี้จะเป็นการเข้าใจถูกไหม

    ท่านอาจารย์ บางส่วน

    ผู้ฟัง บางส่วน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าอย่างนั้นเพื่อที่ให้เข้าใจชัดขึ้น เราน่าจะพูดถึงบุคคลประกอบด้วย จะทำให้ชัดขึ้น เพราะว่าการเกิดในโลกนี้ เราก็ใช้คำว่า “มนุษยโลก” ทุกคนในโลกนี้ซึ่งไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่ผลของอกุศลจิต ไม่ใช่ผลของอกุศลกรรม เป็นผลของกุศลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ แยกภูมิกับเดรัจฉาน ทั้งๆ ดูเหมือนว่าร่วมโลก แต่ว่าระดับขั้นของจิตผิดกัน เพราะฉะนั้น ก็คนละภูมิโดยมิติ

    ผู้ฟัง ระดับขั้นของจิต คือ อย่างสัตว์เดรัจฉานก็มีกามาวจรจิตซึ่งเป็นระดับขั้นหนึ่งเหมือนกับมนุษย์กัน

    ท่านอาจารย์ เกิดด้วยกัน แต่ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งๆ ที่อยู่ในโลกนี้

    ผู้ฟัง มนุษยโลก แล้วมีภูมิคือระดับขั้นของจิต คือ กามาวจรจิต เป็นระดับขั้นก็มีเหมือนกัน แล้วมาแยกกันตรงไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้าโดยบุคคลมนุษย์เป็นภูมิหนึ่งที่เราเรียกว่ามนุษย์ แล้วก็สัตว์เดรัจฉานก็เป็นต่างบุคคล ต่างภูมิ แต่ว่าอยู่ในโลกมนุษย์นี้มี เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าถึงแม้เราจะใช้คำว่ามนุษยโลก ราวกับว่าเป็นโลกของมนุษย์เท่านั้น แต่ความจริงก็มีอีกภูมิหนึ่ง อีกระดับขั้นหนึ่งเกิดด้วย คือ สัตว์เดรัจฉาน แต่โดยความต่างกันโดยภูมิ คือ ระดับขั้นของจิตนั้นต่างกัน ตั้งแต่ปฏิสนธิ

    ผู้ฟัง แล้วอย่างระดับขั้นของจิตทั้ง ๔ ระดับ สามารถที่จะเกิดขึ้นในรูปภูมิ ซึ่งเป็นที่เกิดของรูปพรหมภูมิได้ทั้ง ๔ ระดับขั้น คือ กามาวจรจิตก็เกิดในรูปพรหมภูมิได้

    ท่านอาจารย์ อันนี้จะเห็นได้ว่าถ้าถามอย่างนี้ จะไม่ถึงความละเอียดที่ว่ามหาวิบากเกิดไม่ได้ เห็นไหม เพราะว่าไม่มีตทาลัมพนจิตในรูปพรหมภูมิ ก็ต้องเว้นไปๆ เราจะตั้งต้นทีเดียวอย่างนี้ไม่ได้ นอกจากว่าเราจะเรียนหัวข้อใหญ่ๆ ให้เข้าใจเสียก่อนแล้วก็ถึงเรื่องเว้นนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่าจะพูดอย่างนี้ รูปาวจรวิบากเกิดในภูมิมนุษย์ไม่ได้ แต่รูปาวจรกุศลเกิดในภูมิมนุษย์ได้

    ผู้ฟัง ระดับขั้นของจิต กับอีกความหมายหนึ่งของภูมิที่ว่าเป็นที่เกิดของสัตว์โลก สับสนปนเปกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ที่เกิด เป็นสถานที่ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะอยู่รวมกันหรือแยกกันก็ตาม ที่เกิดเป็นสถานที่

    ผู้ฟัง แล้วระดับขั้นของจิต

    ท่านอาจารย์ ระดับขั้นของจิต คือ กามาวจรจิต ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน อย่างรูปพรหมบุคคลก็มีตาเห็น ขณะใดที่รูปพรหมบุคคลเห็น ขณะนั้นเป็นกามาวจรจิต เพราะฉะนั้น เราจะพูดถึงระดับของจิต โดยไม่พูดถึงที่เกิด ให้รู้ว่าจิตมี ๔ ระดับขั้น ๔ ภูมิ ก่อน

    ผู้ฟัง เราทำอย่างไรที่จะให้จิตเกิด หมายความว่ารู้จิตขณะที่เกิดนั้น ยกตัวอย่างเช่น ต้องการให้จิตเกิดเป็นอรูปพรหมภูมิ เรามีวิธีว่าเราจะทำอย่างไร หมายความว่าเราต้องบริกรรมก่อนจิตเกิด ไม่ทราบว่า จะเข้าใจถูกหรือไม่

    ท่านอาจารย์ คือเราเริ่มพยายามที่จะเข้าใจจิตซึ่งทุกคนกำลังมี แต่ว่าต้องอาศัยการฟัง แล้วก็เรื่องบริกรรม หรือเรื่องอะไร ก็เป็นเรื่องที่ไกลมาก แล้วโดยศัพท์คงจะมีความหมายอื่นอีก ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจง่ายๆ แม้แต่รูปาวจรจิตพวกนี้ ต้องอาศัยปัญญาทั้งสิ้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว จะให้จิตสงบถึงขั้นของมหัคคตะยิ่งใหญ่ มั่นคง เป็นรูปาวจรจิต หรือ อรูปาวจรจิต หรือโลกุตตรจิต จิตระดับสูงกว่านี้จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าปราศจากปัญญา เพราะว่าในมนุษยภูมิเรามีอกุศลจิตมาก มีกุศลจิตบางครั้งบางขณะ ซึ่งเป็นไปในทาน เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในการฟังธรรมบ้าง ยังไม่ใช่จิตที่มีความสงบมั่นคงถึงขั้นที่ไม่ใช่กามาวจรจิต แต่เป็นรูปาวจรจิต

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แล้ว ๑ ขณะนี้คืออะไร ชาติไหน ภูมิไหน โดยการฟัง เราตอบได้แล้วว่า จิตของเราจะเกิดกี่ขณะอย่างไรๆ ก็ตาม ก็เป็นกามาวจรจิตนั่นเอง เพราะเหตุว่าจะไม่พ้นจากเห็น แล้วก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ก็วนเวียนอยู่ในเรื่องราวของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี่เอง

    เพราะฉะนั้น ยังเป็นกามาวจรจิต แต่ว่าในกามาวจรจิต บางขณะเป็นอกุศลจิต บางขณะเป็นกุศลจิต บางขณะเป็นวิบากจิต บางขณะเป็นกิริยาจิต ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ดวง ก็น่าจำ คือ เป็นเรื่องของเราเอง กุศลจิตเราก็พอรู้ว่า ขณะไหน ให้ทาน รักษาศีล วิรัติทุจริตต่างๆ ฟังธรรม เข้าใจธรรม อกุศลจิตก็รู้ เวลาที่โลภะเกิด โทสะเกิด พวกนี้ วิบากจิต คือ ขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เหล่านี้เป็นผลของกรรม กิริยาจิตเรามีเพียง ๒ ขณะ นี่เราก็เข้าใจเรื่องของตัวเราเพิ่มมากขึ้นแล้วในเรื่องระดับของกามาวจรจิต ก่อนจะถึงรูปาวจรจิต และอรูปาวจรจิต และโลกุตตรจิต ซึ่งต้องอาศัยปัญญา กุศลอื่นไม่ต้องอาศัยปัญญาก็เกิดได้ แต่ที่จะถึงรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกกุตตรจิตนั้น ถ้าปราศจากปัญญาแล้วเกิดไม่ได้เลย แต่ว่าเป็นปัญญาต่างระดับขั้น

    ผู้ฟัง เพราะเหตุใดในธรรมหลายๆ เรื่อง พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่ลูกศิษย์หลายๆ คน สอนพระอรหันตสาวกหลายๆ รูป หรือสอนคนเป็นหมู่มาก แต่เรื่องทำไมเรื่องนี้ ท่านสอนมนุษย์ ท่านเลือกสอนตัวต่อตัว เฉพาะท่านสารีบุตร ทำไมท่านไม่เลือกอรหันตสาวกที่เป็นหมู่มากๆ หรือสาธารณะชนทั่วไป ทำไมท่านสอนคนเดียว เพราะอะไร

    ท่านอาจารย์ ที่จริงถ้าเทียบปัญญาของบุคคลในครั้งนั้น กับปัญญาของบุคคลในครั้งนี้จะเห็นว่าต่างกันมากทีเดียว ในสมัยโน้นมีพระอรหันต์มาก มีพระอนาคามี มีพระสกทาคามี มีพระโสดาบันมาก ถ้าท่านเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่เพียงได้ฟังพระธรรมสั้นๆ บางท่านที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ และบางท่านก็ต้องฟังมากละเอียดมาก อบรมมาก นานมาก ผู้เป็นเนยยบุคคล ทั้งที่กล่าวมาก แสดงมาก ก็ยังจะต้องอบรมเจริญมาก

    นี่แสดงให้ถึงความยากของธรรม เพราะฉะนั้น ในครั้งโน้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับผู้ที่รับฟังแล้วสามารถที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เป็นจำนวนมากมายทีเดียว แต่ว่าพระธรรมที่ยังเหลือถึงเรา แม้พระอภิธรรมปิฎกอยู่ในพระสุตตันตปิฏกทั้งหมด เพราะเหตุว่าถ้าจะกล่าวถึงในครั้งแรกของการที่ทำสังคายนา ก็จะเป็นการสังคายนาพระธรรมวินัยเท่านั้น ธรรมก็คืออภิธรรม โดยที่ว่าเป็นธรรมล้วนๆ แต่ว่าท่านสอนกันมาในเรื่องของสภาพธรรมจนกระทั่งถึงครั้งสังคายนา แล้วหลังจากนั้นก็จึงได้จำแนกออกอีกครั้งหนึ่ง ให้เป็น ๓ ปิฎก คือ เฉพาะหัวข้อ หรือธรรมล้วนๆ เป็นพระอภิธรรมปิฎก แต่ว่าผู้ที่ฟังธรรม ถ้าไม่เข้าใจอภิธรรม หรือว่าไม่เข้าใจธรรม ไม่สามารถจะรู้แจ้งสภาพธรรมได้เลย เพราะว่าเป็นเรื่องราวก็มี ในพระสูตร เช่นได้ทรงแสดงธรรมกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ แต่ว่าผู้ฟังสามารถที่จะแทงตลอดอริยสัจจธรรม

    นี่แสดงให้เห็นว่าพื้นปัญญาของท่านเหล่านั้นมีมาก ไม่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงอะไร ผู้นั้นเข้าใจธรรม รู้ว่าเป็นธรรม แต่ว่าคนในสมัยนี้ฟังดูเหมือนไม่ใช่อภิธรรม หรือว่าเหมือนไม่ใช่ธรรม เช่น พูดถึงเรื่องโลภะ คนในครั้งนั้นทราบเลยทันที รู้ได้ทันทีว่านั่นคือธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา แต่คนยุคนี้สมัยนี้ ต้องแสดงว่าเป็นเจตสิก หรือว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมอะไรต่างๆ

    นี่แสดงให้เห็นว่าระดับขั้นของปัญญาของการฟังธรรมที่อบรมมานั้นต่างกัน ถ้าผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม บรรลุกันมากมาย อย่างนั้นก็สะดวก หมายความว่ามีพื้นปัญญาพร้อมที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ผู้ฟัง อภิธรรมเหมาะสมที่จะเรียนกันเฉพาะผู้ที่มีปัญญาเพียงเท่านั้น หรือว่าเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีปัญญาน้อยด้วย

    ท่านอาจารย์ ทุกคน อย่าปิดกั้นตัวเอง เพราะว่าทุกคนจะต้องอบรมเจริญปัญญาขึ้น ถ้าเรารู้ว่า เราไม่มีปัญญา เราควรจะเรียนไหม ถ้าเรามีปัญญาแล้ว อย่างท่านพระอรหันต์ทั้งหลาย หรือแม้แต่ท่านพระอานนท์ พระสารีบุตร เวลาว่างท่านก็สนทนาธรรม แสดงว่าชีวิตของท่าน ท่านเห็นประโยชน์ หรือคุณค่าของธรรมของพระธรรมมากทีเดียวว่า สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด คือ การที่จะได้เข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ผมสงสัยว่าการศึกษาพระอภิธรรม ตามความเข้าใจของผมคิดว่า น่าจะศึกษาสำหรับบุคคลที่มีปัญญาน้อย เพื่อที่จะมีโอกาสเข้าใจสภาพธรรมที่ยากแล้วก็เข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น ถ้าเราสามารถจะศึกษาพระอภิธรรมเป็นพื้นฐาน รายละเอียดต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อย ให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่รู้ได้ยากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ที่กล่าวว่าทุกคน หมายความถึงทุกคนที่สนใจ และพร้อมที่จะรับฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าถ้าจะไปบอกว่า ทุกคนควรศึกษา แต่คนนั้นไม่เห็นประโยชน์เลย อย่างไรๆ เขาก็ไม่ศึกษา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะศึกษาคือ ผู้ที่มีปัญญาแล้ว แล้วก็เป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงด้วยว่า ปัญญาที่มีอยู่นี้ยังไม่พอ นี่สำคัญที่สุด คือถ้าใครคิดว่ามีปัญญาพอแล้ว ไม่มีใครจะเป็นอย่างนั้นได้ พระอรหันต์ไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกแล้ว แต่ชีวิตของท่าน ท่านก็ยังสนทนาธรรมกัน

    นี่ก็แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของพระธรรม ซึ่งทุกคนควร แต่ว่าเมื่อพูดว่าทุกคนควรไม่ได้หมายความว่าทุกคนทำ แล้วแต่การสะสมของบุคคลนั้นว่า จะมีความสนใจ และจะมีการเห็นประโยชน์ไหม แต่ทั้งหมดของพระพุทธศาสนา คือ ให้ผู้ฟังหรือพุทธศาสนิกชนเกิดปัญญาของตนเอง นี่คือพระมหากรุณาที่ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง เพื่อให้เกิดปัญญาของผู้ฟังเอง แล้วก็ค่อยๆ เจริญขึ้นด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าคนไหนสนใจธรรมแล้ว สามารถที่จะทราบพระอภิธรรมได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ที่ถามว่า ควรเรียนพระอภิธรรมไหม ใครควรเรียน ดิฉันก็บอกว่าทุกคนควร เพราะว่าทุกคนไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ควรจะรู้ ไม่ใช่ว่าทุกคนรู้แล้ว แต่ทุกคนไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ควรเรียน แล้วคนที่รู้ รู้หมดหรือยังรู้ทั่วหรือยัง จบเป็นพระอรหันต์หรือยัง ถ้ายังไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องเรียนทั้งนั้น ไม่ว่าใคร จะรู้น้อยรู้มากก็ควรจะเรียน แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังสนทนาธรรมกัน ก็แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของธรรมที่จะเกื้อกูลต่อไป ไม่ใช่แต่เฉพาะตัวเอง ยังสามารถที่จะเกื้อกูลบุคคลอื่นต่อๆ ไปด้วย

    ผู้ฟัง สำหรับเรื่องกามาวจรจิต แล้วก็กามาวจรภูมิ ท่านผู้ฟังท่านใดมีข้อสงสัยอยากจะเรียนถาม

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า จิตประเภทกามาวจรจิต เวลาที่ให้ผลปฏิสนธิ จะปฏิสนธิที่อื่นไม่ได้ นอกจากในกามภูมิ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเรียนเรื่องจิตที่เป็นกามาวจรจิต โดยเหตุ และโดยผลว่าถ้าเป็นกุศลระดับขั้นกามาวจรจิต เวลาให้ผล ก็ให้ผลเพียงเกิดในมนุษย์หรือสวรรค์ ๖ ชั้น จะไปเกิดในรูปพรหมหรืออรูปพรหมไม่ได้ เพราะว่าเมื่อกามาวจรจิตเป็นเหตุ ก็จะทำให้ปฏิสนธิในกามภูมิ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็แน่นอนจะต้องเกิดในกามภูมิ แต่ว่าระดับที่เป็นอบายภูมิ คือ ภูมิที่ไม่เจริญ ๔ ภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการที่จิตมีมากมาย เราก็ต้องทราบระดับขั้นของจิต คือ สภาพความเป็นของจิตนั้นๆ ว่า เป็นจิตภูมิไหน ถ้าเป็นจิตที่เป็นกามาวจรจิตเป็นกามภูมิก็วนเวียนอยู่ในกามโลก หรือกามภูมิซึ่งเป็นที่เกิด ๑๑ ภูมิ

    ผู้ฟัง วนเวียนอยู่ในกามภูมิที่แสดงไว้ทั้งหมด ทีนี้ในเรื่องของจิตที่เป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล ผู้ที่จะปรารถนาให้มีฝ่ายกุศล ไม่ปรารถนาไปเกิดในภูมิที่เป็นนรก อะไรอย่างนี้ หรือว่าชั้นต่ำๆ ลงไป อะไรอย่างนี้ ก็ปรารถนาในการเจริญสูงขึ้นไป ชั้นเทวภูมิหรือมนุษย์ ที่เราเคยอยู่นี้ ขอให้กลับมาเกิดที่นี้อย่างนี้ อันนี้มี

    ท่านอาจารย์ ปรารถนาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเกิดในสวรรค์กันหมด แต่ต้องรู้เหตุที่จะทำให้เกิดว่า ต้องเป็นเหตุของกุศล กุศลเป็นเหตุจึงจะทำให้เกิดในกามสุคติภูมิ ซึ่งเป็นมนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ได้ แต่ถ้าอกุศลกรรมเป็นเหตุแล้วต้องไปเกิดในอบายภูมิ เพราะฉะนั้น ไม่ขึ้นอยู่กับความปรารถนา แต่ขึ้นอยู่กับการรู้ว่า ขณะใดเป็นกุศลจิต แล้วก็กุศลจิตนั้นไม่ใช่มีแต่เฉพาะทานอย่างเดียว มีกุศลประเภทอื่นด้วย แต่ตราบใดที่ยังเป็นกุศลขั้นกามาวจรจิต จะต้องเกิดอยู่ในกามาวจรภูมิเท่านั้น

    ผู้ฟัง การที่ต้องเกิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ถ้าเราศึกษาเพียงแค่นี้ก็คงจะต้องมีความรู้สึกน่าเบื่อหน่ายเหมือนกัน ต้องมาเกิดเป็นอย่างนี้ แล้วทางที่จะหลุดพ้นไปได้อะไรต่างๆ เหล่านี้ต้องหาทางที่จะให้พ้นไป ความรู้สึกอย่างนี้ก็มีสำหรับคนที่มาศึกษาอย่างนี้ เกิดความปรารถนา ความต้องการ จะต้องหาทาง หรือว่าเจริญอะไรก็ตามแต่ ที่จะให้พ้นไปอย่างนี้ มีทางหนึ่งที่มีสอนหรือบอกไว้ คือ ให้เจริญสติปัฏฐาน อันนี้จะเป็นเครื่องช่วยได้ไหม

    ท่านอาจารย์ แต่จริงๆ แล้วดิฉันไม่ได้คิดอย่างคุณชวลิต คือ รู้สึกใครจะพูดว่าเบื่อโลกหรือเบื่อไม่อยากจะเกิดอีก เหมือนพูดเล่น ไม่ได้พูดจริงๆ ในเมื่อทุกวันนี้เราเห็น เราก็ยังอยากเห็นอยู่ แล้วได้ยิน ก็ยังอยากได้ยินอยู่ แล้วจะบอกว่าเบื่อโลก ไม่ทราบไปเบื่อตอนไหน คือ ได้ยินพระธรรมมานิดหน่อยจะต้องเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิดอีกเรื่อยๆ เลยเหมือนกับจะเบื่อ แต่ความจริงฟังมาว่า ท่านเหล่านั้นท่านเบื่อกัน เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่เจริญปัญญาแล้ว แต่ว่าผู้ที่ยังไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรมแล้วถึงกับจะเบื่อไม่อยากจะเกิดอีก คงจะเป็นเพียงความคิดเท่านั้นเอง แต่ยังไม่ใช่ความจริงใจ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เบื่อจริงๆ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าในห้องนี้มีใครที่เบื่อจริงหรือเปล่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 16
    7 มิ.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ