สนทนาธรรมที่อุทยานแห่งชาติเขาเขียว แผ่นที่ 1 ตอนที่ 1


    สนทนาธรรม ที่ อุทยานแห่งชาติเขาเขียว จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

    ตอนที่ ๑


    อ.คำปั่น จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ถามว่าเพราะเหตุไร ขณะที่ฟังธรรมแล้ว ยังรู้สึกว่ายังมีความเป็นตัวตนอยู่ ยังเป็นเราอยู่

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรม แล้วไม่เป็นเราอีกเลย ก็ดีสิคะ เพียงแค่มาฟังหนเดียว แล้วก็ไม่เป็นเราอีกเลย แต่ว่าความจริง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะแม้แต่เพียงคำว่า ธรรม เราเคยคุ้นหู แต่เราไม่คุ้นกับสภาพเดี๋ยวนี้คืออะไร ได้ยินธรรมก็เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็คุยกันเรื่องธรรมหลายเรื่อง แต่ไม่คุ้นกับการที่จะเข้าใจว่าขณะนี้ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็คือว่า แทนที่เราจะเรียนเรื่องชื่อยาว แล้วก็คุยกันเรื่องชื่อเยอะๆ แต่ขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงๆ ในสังสารวัฏฏ์ เกิดมาทุกคน เด็ก ผู้ใหญ่อย่างไรก็ต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการคิดนึก มีสุข มีทุกข์ ไม่เคยรู้เลยว่า ทั้งหมดมีจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้น และก็หมดไป เมื่อสักครู่นี้อยู่ที่ไหน เห็นไหม ไม่เหลือเลย แล้วเดี๋ยวนี้แต่ละขณะ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ก็คือว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ยังไม่เห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งที่เกิดปรากฏ แล้วหมดไป อย่างรวดเร็วมาก เหมือนไม่มีอะไรที่จะหมดสิ้นไปเลยสักอย่างเดียว ยังคงเป็นเรา แล้วก็นั่งตรงนี้ แล้วก็ฟังเรื่องธรรม

    เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก แต่ก็จะทำให้รู้จักผู้ที่เราคุ้นหู ตั้งแต่เราได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยได้ยินคำนี้บ่อยมาก แล้วก็มีความเคารพอย่างสูงสุด ในบุคคลผู้ที่เรานอบน้อมเคารพแล้วก็กราบไหว้บูชา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าถ้าไม่ฟังคำสอนจริงๆ เราจะไม่รู้จักพระองค์เลย เหมือนเป็นชื่อๆ หนึ่ง ซึ่งควรแก่การเคารพ และชื่อนั้นทำไมจึงต้องควรแก่การเคารพถึงอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พระราชา มหากษัตริย์ หรือใครก็ตาม ทั้งหมดก็นอบน้อมเคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักด้วยเหตุ ด้วยผลว่า เรานับถือใคร เราต้องมีเหตุผล ใช่ไหม นับถือเพราะอะไร นับถือเพราะทำให้เราได้เข้าใจสิ่งซึ่ง ไม่มีคนอื่นสามารถที่จะทำให้เราเข้าใจได้ คือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เห็นไหม ใครรู้บ้าง ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย และสิ่งนี้เป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้เลย เห็นมี ใช่ไหม ถ้ารู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะเปิดเผยความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ ว่าเป็นธรรม เห็นไหม ไปหาธรรมที่ไหน แต่เดี๋ยวนี้ที่เห็น เมื่อไรจะรู้ว่าเป็นธรรม ถ้าไม่ได้ฟังอย่างละเอียดจริงๆ ไม่มีทางที่จะรู้เลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดเผยสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ละอย่าง ให้เห็นความจริงว่า เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป อย่างรวดเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ ที่กำลังมีเห็น มีได้ยิน จะไม่รู้เลยว่า สภาพเหล่านี้ เกิดดับเร็วจนกระทั่งไม่เห็นการเกิดดับ เพราะเหตุว่าสภาพธรรม ที่เรามองไม่เห็นเลย อย่างคิด อย่างนี้ มีจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเป็นสีเขียว สีแดง เป็นต้นไม้ใบหญ้าทางตา เห็น ก็มีจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏว่าเป็นคน เป็นสัตว์ แต่ว่าถ้าไม่มีเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของธรรม มาก จนกระทั่งต้องค่อยๆ ฟัง แล้วก็เป็นปกติ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่มีในขณะนี้ตามปกติว่าเป็นธรรม แล้วจึงจะเห็นพระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สามารถจะทำให้เราเข้าถึงความหมายของคำว่าธรรม ทั้งๆ ที่ก่อนที่จะได้ฟัง เราก็พูดถึงธรรม

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ตรัสรู้ธรรม ประกาศธรรม แต่ว่าธรรมอยู่ที่ไหน ก็อาจจะเรียกชื่อได้ แต่ว่าขณะที่กำลังเรียกชื่อ ไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของธรรม ซึ่งไม่ต้องเรียกชื่อ ก็เป็นอย่างนั้น อย่างเห็น ทุกคนกำลังเห็น ต้องเรียกไหมว่า เห็น ใครต้องเรียกเห็นบ้าง เห็นเกิดแล้ว เห็นแล้ว ไม่ต้องเรียกเห็นก็ได้ หรือว่าจะใช้ภาษาบาลี ก็ใช้คำว่าจักขุวิญญาณ ธาตุที่สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เห็นว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าไม่เห็น เราก็อาจจะคิดถึงต้นไม้สักต้นหนึ่งได้ ใช่ไหม แต่ไม่เห็น แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วเราก็จำว่าเป็นต้นไม้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ ไม่ใช่เป็นความจำ ว่ามีสิ่งนี้เป็นต้นไม้อย่างนี้ แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็คิดนึกไปตามที่จำได้ ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นธรรมไม่ง่ายเลย เพราะเราไม่เคยคิดเรื่องเห็น ใช่ไหม เห็นอะไร ตลอดชีวิตมาก็เป็นคนนั้น คนนี้ สิ่งนั้น สิ่งนี้ ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าเห็น มี และเห็นเป็นธรรมด้วย มีจริงๆ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เหมือนเสียง ใช่ไหม เวลานี้ เสียงก็มี แต่ได้ยิน ไม่ใช่เสียง แต่ว่าถ้าไม่มีได้ยิน แม้มีเสียงๆ ก็ปรากฏว่ามีไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เสียงมี ก็ต้องมีธาตุ ธรรมที่สามารถเกิดขึ้นได้ยินเสียงนั้น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในชีวิต ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นเพียงสิ่งที่เกิดมีจริงๆ แล้วก็ดับไป แล้วแต่ว่าจะเป็นธรรมอะไร เกิดเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ดับ หมายความว่าไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีก ขณะที่มีคนเกิด เจริญเติบโตขึ้นแต่ละขณะ จนถึงวันนี้ สิ่งที่ผ่านมาแล้วทั้งหมด ไม่ได้กลับมาเลย สักอย่างเดียว ต่อไปข้างหน้าก็มีสิ่งใหม่ ซึ่งไม่ใช่ขณะนี้ ก็เกิดดับสืบต่อไป

    เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตาม ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เกิดแล้ว ดับแล้ว เหมือนเสียง ใช่ไหม ไม่มีเสียง แล้วเสียงเกิด แล้วเสียงก็ดับ แล้วจะมีอะไรเหลือ ตลอด ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้รู้ความจริงว่าธรรมมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าไม่ใช่ของใคร ใครไปทำให้ธรรมเกิดสักอย่างก็ไม่ได้ แล้วธรรมที่เกิด ต้องดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นอย่างนี้ มีเห็น ชอบ ไม่ชอบ มีได้ยิน ชอบ ไม่ชอบ มีการรู้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย มีการคิดนึก และก็มีการจำเรื่องราวต่างๆ แล้วก็จบ เวลาหลับสนิทไม่เหลืออะไรเลย แค่หลับยังไม่ทันจากโลกนี้ไปเลย ก็เห็นความจริงว่า อะไรเหลือ

    วันนี้ อีกไม่นานก็ไม่เหลือแล้ว ใช่ไหม เดี๋ยวนี้เห็น เดี๋ยวนี้ความจริงก็ไม่เหลือเลย แต่ไม่ปรากฏ จนกว่าจะหลับสนิทเมื่อไร ก็จะรู้ได้ว่าทั้งวัน ไปเที่ยวดูน้ำตก ดูอะไร ก็ไม่เหลือเลย และพรุ่งนี้ก็มีใหม่ จะไปไหนดี ก็แล้วแต่ พอถึงกลางคืนก็ไม่เหลืออีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็มีตื่นกับหลับ ตื่นกับหลับ ตื่นขึ้นก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ชอบบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้างแล้วก็หลับ แล้วก็ตื่นมาอีก แล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง แล้วก็หลับ กำลังหลับ จะไปเรียกร้องสิ่งที่ได้เกิดแล้ว ในวันนั้นก่อนหลับ ให้กลับมาอีกได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นแต่ละขณะก็เป็นอย่างนี้ คือเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ

    ไม่ทราบบางคนอาจจะคิดว่า รู้อย่างนี้แล้วมีประโยชน์อะไร ก็เป็นความจริง ใช่ไหม รู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ไม่อยากจะรู้ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่รู้ไป ใช่ไหม แต่รู้ แล้วก็เข้าใจถูก แล้วก็ละกันยึดถือ เพราะเหตุว่าอย่างไรๆ สิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา ก็ต้องปรากฏว่า ไม่ใช่ของเราทั้งหมด เช่นยังไม่ตาย ทุกอย่างเป็นของเราหมด ใช่ไหม ผมของเรา เล็บของเรา หน้า ตา จมูก ลิ้น ทุกอย่างของเรา แต่พอตายแล้ว ปรากฎชัดเจนเลยว่าของใคร สิ่งที่เหลือนั้นเป็นของใคร

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ของเรา หรือสมบัติพัสสถานทั้งหลายที่เรามีวันนี้ ก็ของเราหมด แต่พอจากโลกนี้ไปแล้ว ของใคร ที่เคยเป็นของเรา เป็นของใคร ก็ไม่ใช่ของใครเลย ธรรมก็เป็นธรรม คือเพียงหนึ่งชาติที่เกิดมา เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สุข ทุกข์ชั่ว ดี แล้วก็จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ ละคลายความเป็นเรา การที่จะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และก็มีกุศลทั้งหลายเกิดขึ้น ก็เป็นไปได้เพิ่มขึ้นเพราะรู้จริงๆ ว่า ไม่มีใครชอบความชั่ว โลภะ โทสะ โมหะ ใช่หรือไม่ แต่ทุกคนสรรเสริญนิยม อโลภะ ความไม่ติดข้อง ซึ่งสามารถที่จะทำประโยชน์ให้ทั้งตัวเอง และคนอื่น ซึ่งตามความเป็นจริงก็คือว่า ถ้ารู้ว่าขณะที่ทำประโยชน์ให้คนอื่นต่างหาก นั่นคือประโยชน์ตน เพราะว่าชาวโลกเข้าใจผิด มีตนเป็นที่ตั้ง คิดว่ามีเรา ก็ต้องทำความดีเพื่อเรา เพราะฉะนั้นทำประโยชน์ให้คนอื่น เพื่อเราจะได้เป็นกุศล หรือว่าเราจะได้พ้นจากอกุศลทั้งหลาย แต่ลืม แม้ขณะนั้นก็ยังเป็นเราที่จะมีกุศล หรือว่ามีเราที่จะพ้นจากอกุศล แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่ากุศลเป็นกุศล ไม่ใช่เรา อกุศลเป็นอกุศล ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น ทำดี ดีนี่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ขณะนั้นเป็นประโยชน์ของตน ด้วยการที่คลาย หรือว่าละความติดข้องในความเป็นเรา ไม่ว่าจะโดยประการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าขณะที่กำลังเป็นกุศล เพราะว่าบางคนก็เป็นกุศล เพื่อที่จะได้รับผลของกุศล ใช่ไหม แต่เมื่อไม่มีความเป็นเรา ทำประโยชน์ให้คนอื่น ขณะนั้นคือการละความเป็นเรา ก็เป็นสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตสะดวกสบาย เพราะไม่มีใครรู้ว่าที่เดือดร้อน เดือดร้อนเพราะอกุศล สภาพที่ไม่ดีทั้งหมดของตนเอง ถ้ามีน้อยลงไปเท่าไร ก็จะไม่เดือดร้อน และก็จะไม่ลำบากกับคนอื่น รวมทั้งตัวเองด้วย สะดวกสบายยิ่งขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ใครจะเห็นว่ายังไม่เป็นประโยชน์ ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รู้ความจริงว่า เกิดมาทุกคนเป็นทุกข์ เพราะกิเลสของตัวเอง ไม่มีทางที่กิเลสของคนอื่น จะมาทำให้ใครเป็นทุกข์ได้เลย ขณะนี้แต่ละจิต แต่ละหนึ่งๆ จริงๆ ที่สะสมมา หลากหลายต่างๆ กันมาก ไม่ซ้ำกัน แล้วก็ไม่เหมือนกันด้วย และแต่ละหนึ่งขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ ก็มีความเข้าใจมากบ้าง น้อยบ้าง เห็นประโยชน์มากบ้าง น้อยบ้าง ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ให้ทราบว่า ชีวิตถ้าแบ่งอย่างละเอียดยิบ ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่คิด ขณะที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่ขณะที่คิด และก็แต่ละขณะนี่ก็สั้นมาก เหมือนฟ้าแลบ เร็วอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องฟัง จนกว่าจะมีความเข้าใจธรรม และความเข้าใจธรรม ก็จะทำให้รู้ว่าสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ฟังแล้วเป็นธรรม กำลังเป็นธรรม ใช่ไหม ไม่มีคน มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึกเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ผมก็ยังเป็นคนใหม่ เป็นคนฟังครั้งแรกอยู่ สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจ มันไม่ใช่ เรายังไม่รู้อีกเยอะ เราจะเข้าใจว่าเรารู้แล้ว เราก็ต้องฟังต่อครับอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ที่พูดทั้งหมด เป็นความจริงใช่ไหม แน่นอน และก็จริงสำหรับทุกคนด้วย ถ้ายังไม่คุ้นเคยกับลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ก็เป็นการสะสมการฟัง เพื่อที่จะไม่หลงผิด ว่าธรรมเป็นที่อื่น อย่างอื่น แต่จะมีความเข้าใจว่า มีแต่ธรรมซึ่งเรายังไม่รู้จัก อย่างขณะนี้ใครรู้บ้าง ถ้าไม่ฟังธรรมว่ามีเห็น ลืมไปเลย ใช่ไหม กลายเป็นคนนั้นคนนี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วเห็น ไม่ได้เห็นคน ต้องมีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เป็นอย่างหนึ่ง นี่เป็นความละเอียดที่ว่าขณะนี้ ตามความเป็นจริงคือ เมื่อเห็นเกิดขึ้นเมื่อไร มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง แค่นั้นเอง และจะเป็นอย่างนี้ได้ไหม ความเข้าใจของเรา จากการที่เห็นเป็นคนนั้นคนนี้ เริ่มจะมีความเห็นถูกต้องว่า เห็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง แล้วก็ดับไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นที่คุณไพโรจน์พูด เป็นอย่างนี้ไปตลอดเวลา เพราะเหตุว่าความเข้าใจที่มีค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยๆ จากการฟัง และก็ฟังแล้ว และก็ฟังอีก ก็มีสิ่งที่ปรากฏจนกว่าสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนี้ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มีใครปฏิเสธหรือไม่ สามารถจะเห็นอย่างอื่นได้ไหม เห็นอย่างอื่น เห็นได้ไหม นอกจากเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ นี่คือธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    ถ้าเป็นชื่อรู้สึกว่าจะได้เรื่องได้ราวเยอะแยะ แต่พอถึงตัวธรรมจริงๆ จะรู้ได้เลยว่า กว่าจะสามารถเริ่มเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เพราะเราเคยชินว่าเราเห็นดอกไม้ เห็นคน แต่ลืมสนิท ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็น จะมีคนนั้น คนนี้ ดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้หรือไม่ ก็ไม่มี แต่ว่ามีความจริงคือ สิ่งนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ใครก็บังคับให้ปรากฏไม่ได้เลย แม้ว่ามี จนกว่าจะมีธาตุหรือจิตเกิดขึ้นเห็น ที่เราใช้คำว่าเห็น คือรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างนี้ ความจริงแค่นี้เอง เพียงแค่นี้ไม่กี่คำ แต่ว่าเมื่อไรจะรู้จริงๆ อย่างนี้

    ก็เป็นสิ่งที่จะฟังธรรมด้วยความไม่ประมาท ด้วยไม่ใช่มีความเป็นเรา เร่งรีบที่จะไปรู้ความจริง เพราะถึงฟังเท่าไร ก็จะไม่เกินสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง ว่าสิ่งที่มีปรากฏทางตาได้ ขณะนี้กำลังปรากฏ แล้วไม่รู้ นานแสนนานมาแล้ว พอได้ฟังก็ลองพิจารณาดูว่าจริงหรือเปล่า ว่าไม่มีใครบังคับให้เห็นเกิดขึ้น และก็ไม่มีใครบังคับให้สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนี้ด้วย แต่สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏทางตา ลองคิดลึกไปอีกขณะหนึ่งว่า ต้องเกิดขึ้น ไม่เกิดจะปรากฎได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงสิ่งที่เกิด แล้วปรากฏก็ไม่รู้ว่าเกิด และเกิดปรากฎแล้วดับ ก็ไม่รู้ว่าดับ นี่เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ และก็รู้ด้วยว่า คนที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็มีอินทรีย์คืออัธยาศัยที่สะสมต่างกัน บางคนกิเลสมาก บางคนกิเลสน้อย บางคนสะสมปัญญามามาก บางคนสะสมปัญญามาน้อย แต่ถึงกระนั้นเมื่อได้ฟังแล้วก็ยังสามารถ ที่จะเริ่มได้ยิน ได้ฟัง เริ่มเข้าใจว่าเป็นความจริง เริ่มรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ปัญญายังไม่ถึงระดับที่สามารถจะประจักษ์ความจริงได้ แต่เปลี่ยนความจริงไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็มั่นคง ในการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง เพราะว่าเป็นสิ่งที่สามารถประจักษ์แจ้งได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์แจ้งอย่างนี้ จึงทรงแสดงพระธรรมอย่างนี้ ให้คนที่สามารถรู้ความจริงอย่างนี้ ได้ประจักษ์ความจริงอย่างนี้ จนเป็นพระอรหันต์ และเป็นพระอริยบุคคล พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี มากมาย แต่ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ จะไปเหมือนท่านที่รู้แล้วได้อย่างไร แต่หนทางที่จะรู้ก็คือฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจ ด้วยความไม่ใช่เรา แต่รู้ว่าปัญญาที่เพิ่งเริ่มฟังยังน้อยมาก แล้วก็กว่าจะค่อยๆ เข้าใจ ก็คือว่าเห็นประโยชน์มากขึ้น แต่ละชาติที่ไม่รู้ว่ามีโอกาสจะได้ฟังธรรมอีกนานเท่าไร

    แต่ทั้งหมดของชาตินี้ ประโยชน์สูงสุดคือขณะที่ได้ฟัง เพราะว่าถ้าไม่ได้ฟัง ไม่มีโอกาสจะคิดเอง หรือว่าจะเข้าใจได้เลย ก็เป็นสิ่งซึ่งได้ฟังแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เห็นประโยชน์ และก็ต่อไปชาติไหน ก็ได้ฟังอีก เพราะเราไม่รู้เลย ว่าเราเคยฟังมาแล้วมากน้อยเท่าไร แต่ว่าปัญญาความเข้าใจถูกในแต่ละชาติ ก็ค่อยๆ สะสม ทีละเล็กทีละน้อย

    อ.นิภัทร เดี๋ยวนี้ถ้าเราเข้าใจ ก็แปลว่าเราอยู่กับธรรมตลอด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ก็อยู่ตลอด สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ พ้นจากทุกข์ทั้งปวง คือพ้นจากสิ่งที่เราเคยยึด เคยติด ว่าเป็นเรา เป็นเขา เดือดร้อนตามไป เพราะไม่เป็นตามที่เราต้องการ เมื่อเราวางปล่อยได้ ก็ทนได้ แต่มันจะต้องเข้าใจ ผมก็ฟังท่านอาจารย์มา ผมก็ยึดอยู่แนวนี้ เพราะท่านอาจารย์ ท่านก็ชี้บอกพวกเรา โดยอาศัยหลักฐานในพระคัมภีร์ พระไตรปิฎกอรรถกถา มีอะไรถาม ถามเลย

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเป็นปกติไหม ฟังแล้วเป็นปกติหรือผิดปกติ เป็นปกติ ธรรมเป็นปกติ อย่าไปคิด ได้ฟังแล้ว เราจะต้องเปลี่ยนแปลง แต่ก็คือว่าได้ยินแค่ไหน เข้าใจแค่ไหน ก็คือเป็นปกติ ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลง เพราะว่าบางคนก็คิดว่าฟังแล้ว จะต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าจะต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเดี๋ยวชาวบ้านเขาบอกว่าฟังธรรมแล้วไม่เห็นเปลี่ยนเลย ก็คือเขาไม่เข้าใจว่าเป็นปกติ

    เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เข้าใจความเป็นปกติ ฟังธรรมแล้วเป็นปกติ และรู้ความเป็นปกติว่า ได้ฟังอย่างนี้ เข้าใจได้แค่ไหน และก็เป็นเรื่องอื่นไปอีกแล้ว ใช่ไหม แล้วก็เป็นปกติอีก แล้วก็ได้ฟังอีก เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็คือรู้ความเป็นปกติ ฟังโดยไม่หวัง เพียงแต่รู้ว่าได้ฟัง แล้วก็เวลาที่ฟังด้วยความศรัทธา เห็นประโยชน์ ก็จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ในภาษาที่สามารถที่จะเข้าใจได้ เช่นขณะนี้ จริงไหม นั่งอยู่ตรงนี้ จริงหรือเปล่า หรือว่าเราอยู่กรุงเทพ จริงคือตรงนี้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏว่ามี เป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจในขั้นต้น ว่าทุกอย่างที่มีจริๆ จะเป็นอะไร ก็จริงใช่ไหม ไม่ต้องเรียกชื่อ ก็จริง อย่างเย็นก็จริง เสียงก็จริง ทุกอย่างมีจริง ก็คือเป็นธรรมนั่นเอง เริ่มมีความเข้าใจความหมายของคำว่าธรรม และตัวธรรม คำว่าธรรมไม่ได้เลื่อนลอย ไม่ใช่ไปเที่ยวเรียกอะไรๆ โดยที่ไม่มีสิ่งนั้นเลย แต่สิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียก ก็มีจริง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ต่อไปก็จะใช้คำว่า สัจจธรรม ซึ่งสัจจะ คนไทยก็เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าจริง เพราะฉะนั้นธรรมที่มีจริง ก็คืออะไรก็ตาม ที่มีจริงขณะนี้ เป็นธรรม แล้วถ้าเราเข้าใจว่าธรรมนั้นจริง ก็เป็นสัจจธรรม และความจริงนั้นใครเปลี่ยนแปลงได้ไหม อย่างเสียงนี่เกิดแล้วดับแล้ว เป็นเสียง ให้เป็นอย่างอื่นได้หรือไม่ ใครทำเสียงให้เป็นอย่างอื่น เมื่อเสียงเกิด เป็นเสียงแล้วก็ดับ ทำไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นสภาพนี้แหละ ที่เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม เราใช้คำนี้กันบ่อยๆ แต่ถ้าจะเข้าใจธรรมดา อย่างในภาษาไทย ก็คือว่าสิ่งที่มีจริง ที่ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ปรมะ

    อ.คำปั่น ซึ่งคำว่าปรมัตถธรรม ก็มีคำ ๓ คำ รวมกัน คำแรกก็คือ ปรมะ หมายถึงอย่างยิ่ง คำที่สองคือ อรรถ หมายถึงเนื้อความหรือความหมาย แล้วก็บวกกับธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อรวมกันแล้ว เป็นปรมัตถธรรม หมายถึง ธรรมที่มีอรรถอย่างยิ่ง มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะว่าธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะ ของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ นั้นได้เลย เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรม หมายถึง ธรรมที่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ปรมัตถธรรมก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก รูป และรวมถึงพระนิพพานด้วย เป็นปรมัตถธรรม คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งมากเลย ก็คือมีอรรถอย่างยิ่ง ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

    อ.นิภัทร ถ้าเรารู้แล้ว เราจะเห็นว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงตรัสรู้ที่นี่ พระองค์ตรัสรู้ที่พระองค์เอง พระองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ตรัสรู้ที่พระองค์เอง แล้วก็นำสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ มาสอนพวกเรา ก็สอนอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ท่านรู้อะไร พระองค์รู้สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฎทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็หมดแล้ว ก็หมดโลกแล้ว ที่ว่าโลกนี่แหละ โลกนี่แหล่ะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอยู่ ๖ โลก โลกก็คือสิ่งที่แตกสลาย ไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร ความหมายของเขา ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว ต้องรู้จนเห็นเป็นจริงเป็นธรรมจริงๆ ถึงจะละความยึด มีปัญญาพอที่จะละกิเลสได้ เราก็ไม่ต้องคิดว่า เราจะละเดี๋ยวนี้ วันนี้ ขณะนี้ เป็นแต่ให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วธรรมคืออย่างนี้ แล้วก็ต้องเสพ คือ คิดเนืองๆ บ่อยๆ ด้วย ให้เห็นว่าสิ่งที่เรามีอยู่นี้ เป็นธรรม ก็จะได้ประโยชน์

    อ.คำปั่น การฟังธรรมเป็นประโยชน์จริงๆ จากที่ไม่เคยรู้ ก็จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทำให้เป็นผู้ที่มีปัญญาที่เพิ่มขึ้น แล้วที่สำคัญ มีจุดประสงค์ในการศึกษาที่ถูกต้อง ก็คือศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ได้ศึกษาเพื่ออย่างอื่นเลย การศึกษาพระธรรมในทางพุทธศาสนานั้น ก็คือประโยชน์สูงสุด เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้เท่านั้นเอง การศึกษาพระธรรมทางพระพุทธศาสนา ผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรม ตรัสรู้ธรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ มีชีวิตที่แตกต่างกันไปมากมายเลย ไม่ว่าจะเป็นพระราชา เป็นพราหมณ์ เป็นคฤหบดี หรือแม้กระทั่งเป็นคนยาก คนจน

    การดำรงชีวิตนั้นอาจจะมีความแตกต่างกัน เป็นปกติของแต่ละบุคคล แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือ ปัญญาที่เข้าใจความจริง ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นที่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งธรรม สามารถที่จะดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด อันนี้คือสิ่งที่สำคัญ จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดี ว่าฟังธรรมแล้วเป็นปกติ แล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ เป็นปกติ ซึ่งก็คือขณะนี้ เป็นปกติ จึงไม่มีเครื่องกั้นเลย ในการที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก แต่ว่าที่สำคัญก็คือ ไม่ขาดการฟังการศึกษา

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ และท่านอาจารย์วิทยากร ได้มาฟังท่านอาจารย์ถึงจะค่อยๆ เข้าใจว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์สอน พระอภิธรรมคืออะไร ก็คนมาใหม่ก็ให้ช่วยอธิบายเรื่องขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็คือมีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ ขณะเห็นก็มีขันธ์ ๕ คือจิตที่เห็น ก็คือเป็นวิญญาณขันธ์ สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ความจริงคืออะไร ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะนี้ เป็นปกติ อะไรที่กำลังปรากฏ ขณะนี้คือเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เราต้องศึกษาให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คุณเมตตาก็พามาสู่ การจำชื่อกับเรื่องราวต่างๆ ใช่ไหม เช่นชื่อขันธ์ ไม่เคยได้ยิน ก็ได้ยินแล้ว จะได้จำไว้ ใช่ไหม แล้วก็ ๕ อะไรบ้าง ก็ไม่เคยได้ยิน ก็ได้ยินก็จะได้จำไว้ แต่ว่าความเข้าใจ ไม่ใช่ให้จำชื่อ แต่ให้รู้ความจริง อย่างที่คนอ่านหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป แต่ไม่พูดเลยว่า หนังสือปรมัตธรรมสังเขป หนังสือสีชมพู หนังสือสีม่วง หนังสือสีเขียว หนังสือสีน้ำเงิน เพราะว่ามีหลายสี ไม่เรียกว่าปรมัตถธรรมสังเขปเลย หนังสือเล่มนั้น หนังสือสีชมพู ก็คือว่าไม่ได้ชิน หรือว่าติด หรือว่ากล่าวถึง ความจริงของหนังสือนั้น ว่าเรื่องอะไร หนังสือนั้นไม่ใช่เรื่องสีชมพู แล้วก็ไม่ใช่เรื่องสีม่วง แต่ว่าเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าสภาพธรรมมีจริง แต่เดี๋ยวก็ลืมๆ ใช่ไหม ในยุคต้นๆ ไม่มีการจารึกเลย แต่ว่าความจำ และความเข้าใจของคนที่ได้ฟัง จำด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่จำชื่อไว้ก่อน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ไม่ประมาทเลย แม้แต่สิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องรู้ว่ามีจริงเมื่อไร เมื่อเกิดขึ้น และกำลังปรากฏ คือแม้แต่ แต่ละคำ อย่าเผิน แล้วอย่าข้าม แต่ต้องลึก และรู้ว่าเราเข้าใจแค่ไหน เพราะว่าสิ่งที่มีจริง เสียงมีจริงเมื่อไร ถ้าเสียงไม่เกิดขึ้น ปรากฏว่ามีจริงๆ ขณะนั้นอย่างอื่นจริง ที่ไม่ใช่เสียง ใช่หรือไม่ เพราะว่าขณะนั้นที่ไม่มีเสียง ต้องมีคิดนึก หรือว่ามีเห็น หรือมีกลิ่น หรือมีอะไรก็แล้วแต่

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ ต้องเป็นการที่รู้จักธรรม เข้าใจธรรมแล้วเราใช้ชื่อ เพื่อบ่งถึงว่าหมายความถึงธรรมอะไร เพราะว่าธรรมหลากหลายมาก แม้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง เพียงปรากฏแสนสั้น เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็หมดไป แต่จริงเมื่อเกิด ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ ถ้าไม่ลืมตอนต้นที่เราสนทนากันก็คือว่า เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏแน่ๆ สิ่งที่ปรากฏมีจริง เห็นก็มีจริง และก็เห็นมีจริงคือ ขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย ไม่ใช่มีแต่เห็น โดยที่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และทั้งเห็น และสิ่งที่มีจริงเมื่อสักครู่นี้ ฟังแล้วดับหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่จะต้องเข้าใจความจริง ว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่อย่างนั้นเราก็ไปเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด จำเรื่องราวไว้ แต่ลืมว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้เลย เสียงเมื่อสักครู่นี้ ก็ไม่ใช่เสียงเดี๋ยวนี้ คือต้องลึกถึงความเป็นจริงของธรรม ที่ได้ฟังว่า สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็ดับไป และก็ลองพิจารณาว่าจริงไหม ไม่มีใครเห็นตลอดเวลา เห็นแล้วถามต่อไปว่าเห็นอะไร ก็ตอบได้ เห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ แต่ต้องมีการเห็นก่อน ถ้าไม่มีการเห็น จะไม่มีการจำรูปร่างสัณฐาน ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเรา ที่ได้ฟังแล้วลืมไม่ได้ ทิ้งไปไม่ได้ ต้องประกอบกันหมดว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเมื่อไร เมื่อปรากฏ ปรากฎเมื่อไร เมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้น จะปรากฏได้อย่างไร ปรากฏแล้วก็ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีก



    หมายเลข 161
    5 มิ.ย. 2567