สนทนาธรรมที่อุทยานแห่งชาติเขาเขียว แผ่นที่ 1 ตอนที่ 3
สนทนาธรรม ที่ อุทยานแห่งชาติเขาเขียว จ.นครราชสีมา
วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ตอนที่ ๓
ผู้ฟัง เมื่อไรจะหมดโลกสักทีครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญา ก็อย่าหวังเลย หมดหวัง
อ.คำปั่น ก็เป็นธรรมที่ละเอียด ก็กราบเรียนท่านอาจารย์อธิบายภัทเทกรัตต หมายถึงราตรีหนึ่งเจริญ หรือว่าราตรีเดียวเจริญ คือก็ไม่ได้หมายความว่า เฉพาะในกลางคืน ใช่ไหมครับ เพราะเหตุว่าการที่จะมีสติปัญญา รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริง ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเวลาใด เวลาหนึ่งโดยเฉพาะ ก็สามารถที่จะมีปัญญาเกิดขึ้น รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นจึงมีพุทธพจน์ที่เตือนไว้ว่า ควรทำความเพียรเสียตั้งแต่ในวันนี้ เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ความตายจะมาถึงเมื่อไร นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่สำคัญก็คือไม่ประมาทในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ประมาทในการที่จะศึกษาธรรม ฟังธรรม
เพราะเหตุว่าผู้ที่ประมาทก็เปรียบเหมือนกับ บุคคลผู้ที่ตายแล้ว เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าผู้ที่ตายแล้วไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม ไม่มีโอกาสที่จะได้อบรมเจริญปัญญา ไม่มีโอกาสที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ท่านจึงเปรียบเหมือนกับผู้ที่ประมาทนั่นเอง ผู้ที่ประมาทถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวเป็น ๗๐ ปี ๘๐ ปี หรือเป็น ๑๐๐ ปี แต่ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้เจริญกุศลประการใดๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระพุทธพจน์ที่เตือนไว้ดีมากเลย ว่าควรอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม ไม่มีจำกัด กราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติมด้วยครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าเรามีความเข้าใจว่า ไม่ควรที่จะละโอกาส ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งสั้นมาก เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เวลาที่ได้อ่านพระสูตร หรือฟังธรรมก็ตาม แม้ว่าข้อความนั้นจะกล่าวเฉพาะตรงนั้นคือ ราตรีหนึ่งเจริญ เราก็สามารถที่จะเข้าใจถึงความจริงว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะราตรีเท่านั้น ก็รวมทั้งกลางวันด้วย หมายความว่าทุกขณะ ซึ่งเลือกไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้เลย แม้ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่เรารู้ว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ที่จะให้สามารถเข้าใจความจริงของธรรม ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันหมด มิฉะนั้นก็จะมีปัญหาเสมอ ใช่ไหม
อย่างเวลาที่คุยกัน ก็บอกว่าแล้วเมื่อไรเราจะรู้ธรรม ก็ลืมอีกแล้วว่าธรรมเป็นอนัตตา จะไปเอาเมื่อไร มาจากไหน แต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วคำถามนี้จะตอบว่าอย่างไร ไม่มีความเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏเลย กับคำถามที่ว่า แล้วเมื่อไรจะรู้ธรรมตามความเป็นจริง คำตอบก็มีอยู่ในตัวแล้ว ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ก็เป็นคำ ที่เป็นปกติ ตามความเป็นจริง ตามเหตุตามปัจจัยขณะนี้มีธรรม แล้วไม่รู้ ก็เป็นธรรมดา ฟัง แค่ฟัง แล้วจะรู้ ใครจะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้งมาก แล้วก็ไม่ข้ามด้วยที่จะไปรู้อย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะฟังข้อความใดก็ตาม จะไปเตือนให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ที่ยังไม่รู้ ที่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนั้น จนกว่าความเข้าใจจากการฟัง จะเพิ่มขึ้นๆ
ตื่นมาก็ไม่กี่ชั่วโมง ใช่หรือไม่ กุศลมากหรืออกุศลมาก ก็ตอบกันได้ทุกคน แล้วก็คงจะหวังเล็กๆ ว่าแล้วเมื่อไร อกุศลจะหมดไป เพราะได้ยินคำว่ากุศล ก็ไม่มีใครชอบเลย ไม่ชอบ แต่ก็เป็นธรรม ถ้ายังคงไม่ชอบอยู่ต่อไป จะเข้าใจไหมว่าเป็นธรรม ก็เป็นตัวเรานั่นแหละ ที่ไม่ชอบ แล้วก็ชอบฝ่ายกุศล ไม่ชอบฝ่ายอกุศลไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่า อกุศลก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อไหร่จะอาจหาญร่าเริง ที่จะรู้ความจริงว่า เป็นธรรมเท่านั้นเอง ไม่ใช่ของใคร พอถึงกุศล ดีใจว่าเป็นของเรา วันนี้กุศลเกิดเยอะ แต่ว่ากุศลก็ไม่ใช่ของเรา กุศลก็เป็นธรรม แต่แม้กระนั้น การที่ยึดถือสภาพธรรม ที่เป็นฝ่ายดี และอยากจะให้มีมากๆ โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้น มีความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน และเป็นความต้องการด้วย ที่จะให้ตัวนี้ จิตนี้ของแต่ละคน เป็นจิตที่ดีขึ้น แต่จะดีไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรม ถึงจะมีความสงบมากมาย เกิดในอรูปพรหมภูมิ รูปพรหมบุคคล สบายหรือไม่อรูปพรหม ไม่มีรูปร่างกาย ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องรับประทานอาหาร ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องพยาบาลรักษาอะไรเลย แต่ก็มีจิต ซึ่งยังไม่เข้าใจลักษณะสภาพของจิตในขณะนั้นว่า เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีความสงบ ซึ่งหลายคนอาจจะต้องการมาก อย่างไรๆ ก็ขอนั่งเฉยๆ หลับตา สงบ แต่โดยที่ว่าไม่มีปัญญา ไม่ได้รู้เลยว่าขณะนั้น สงบหรือไม่สงบแต่ก็เข้าใจว่านั่งเฉยๆ นั่นแหละ สงบ ก็เป็นการคิดเอาเองทั้งหมด โดยไม่รู้ว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง คิดเองไม่ได้ คิดเองคือผิดทุกที ถ้าถูกเราก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ไหม แค่คิดก็ถูกแล้ว แต่นี่ไม่มีทางเลย ทุกคำเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ก็ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครๆ เข้าใจว่า พอฟังแล้ว ก็รู้ไปหมดแล้ว เป็นธรรม ไม่ใช่เราก็ไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง แล้วก็เข้าใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างที่มีเหมือนเดิม ก่อนฟังธรรม เห็นก็เป็นเห็น ฟังธรรมแล้ว เห็นก็เป็นเห็น แต่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เห็นอย่างนี้เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สภาพธรรมนั้นโดยประการทั้งปวง ถึงสัจจะที่เป็นความจริงของสภาพธรรมนั้น ซึ่งทำให้ทรงแสดงสิ่งที่ตรัสรู้ ให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย ว่าขณะนี้เองเห็นธรรมดาๆ อย่างนี้ ก่อนเห็นก็ไม่มีเห็น แต่แล้วก็มีปัจจัย ที่ทำให้เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วเห็นก็ดับไป แล้วจะเป็นของใคร ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ ก็เป็นแต่ละขณะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป จนกว่าจะหมดปัจจัย มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากสังสารวัฏฏ์ ก็เป็นธรรมที่มีปัจจัยเกิดดับๆ อยู่นั่นเอง ขณะนี้สภาพธรรมเกิดหรือไม่ ถ้าไม่เกิด จะปรากฏไหม แค่นี้ ก็ยังไม่เห็นการเกิดขึ้นของธรรมอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เพียงเข้าใจว่า ขณะนี้สิ่งที่มีต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย เมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ดับนี้ ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นการศึกษา และเริ่มเข้าใจธรรมเล็กน้อยหรือไม่ ฟังแล้วเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย เพราะตามความเป็นจริง แม้แต่คำว่าสภาพธรรมเกิดดับ ก็ยังไม่รู้การเกิดดับ แต่ว่าต้องเกิดแน่นอน ไม่เกิด ไม่ปรากฎ และเกิดแล้วก็ดับไป เร็วมากด้วย จนกระทั่งเหมือนไม่มีอะไรดับเลย ทำให้มีการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง ยั่งยืน แม้แต่เรา แม้แต่เขา แล้วก็สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่ได้ปรากฎว่าดับ
แต่เมื่อความจริงคือ ธรรมเกิดดับ ควรรู้หรือไม่ และไม่ใช่อย่างอื่นเลย สิ่งที่ปรากฏเดียวนี้แหละ คือสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ก็เกิดดับ เห็น ซึ่งกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เกิดดับด้วย ได้ยิน ก็เกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็ดับไป เสียงก็ดับไป เพราะฉะนั้นทั้งหมดไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ที่สมควรจะยึดถือว่าเป็นเรา แต่ก็ยึดด้วยความไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตาย กี่ภพ กี่ชาติ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่มีทางที่จะเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งปรากฏให้รู้ได้แต่ละทางแล้วก็ดับไป ลืมหรือเปล่า ภัทเทกรัตตสูตร เดี๋ยวนี้คืนก็ตาม มีธรรมทั้งหมด ตราบใดที่ยังไม่ได้หลับสนิท ก็จะมีธรรมที่ปรากฎ แล้วก็ค่อยๆ ฟัง และก็เป็นปกติ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นปกติจริงๆ
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ พอดีเมื่อเช้าก็ได้คุยกับ ท่านผู้ฟังใหม่ท่านหนึ่ง ท่านก็บอกว่า ได้ฟังธรรมครั้งแรก ก็รู้สึกว่าจะมีปัญหาอยู่ในใจก็คือ ศึกษาอย่างไรจึงจะเข้าใจ แม้แต่ได้ฟังเรื่องจิต เจตสิกเมื่อวาน ก็เหมือนกับว่าจะยังเข้าใจยากอยู่ครับ ก็อยากให้ท่านอาจารย์ ได้ขยายความสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะจิต และเจตสิกด้วยครับ
ท่านอาจารย์ ศึกษาอย่างไรจะเข้าใจ กำลังฟัง คิดอย่างอื่นหรือเปล่า และจะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรม ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย บางแห่งก็จะใช้คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภาษาบาลีว่า ภิกขเว ทำไมต้องเรียกอย่างนี้ ทำไมต้องพูดอย่างนี้นำทุกครั้ง เพราะก่อนพูดถึง คิดอะไรกันก็ไม่รู้ แต่ว่า ณ บัดนี้ ที่จะได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ก็ตรัสเรียกภิกษุ ซึ่งขณะนั้นจะคิดอะไรก็ตามแต่ เมื่อได้ยินอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้แล้ว ก็สดับพระธรรมเทศนา ฟัง การฟังก็เพราะเหตุว่า ทุกคนมีเหตุที่จะให้ได้ยินเกิดขึ้น คือต้องมีโสตปสาทรูป สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติ เราไม่สามารถที่จะรู้ด้วยความรวดเร็วของสภาพธรรมนั้น ว่าต้องมีปัจจัยทำให้เกิดทันทีเลย แต่ว่าต้องมีเหตุที่เป็นปัจจัยก่อน ถ้าไม่มี ภาษาไทยใช้คำว่า หู แต่ว่าจริงๆ แล้ว เราคิดถึงหู ทั้งใบหูเลย ใช่หรือไม่ แต่ว่าโสตปสาทอยู่ข้างใน เป็นรูปที่สามารถกระทบเสียง เห็นหรือไม่ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะมีรูปหลากหลายประเภท และรูปหนึ่งที่อยู่กลางหู เป็นรูปพิเศษ เป็นรูปเดียวที่สามารถกระทบเสียง แขนกระทบเสียงได้ไหม ขากระทบเสียงได้หรือไม่ แม้แต่ใบหูทั้งใบข้างนอก ก็กระทบเสียงไม่ได้ แต่ว่ามีรูปที่กรรมเป็นปัจจัย ทำให้เป็นรูปที่สามารถกระทบได้กับเสียง กระทบอย่างอื่นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นแม้แต่เสียง มีจริงๆ แต่ว่าถ้าจิตได้ยินไม่เกิด ใครจะรู้ว่ามีเสียง เมื่อวานนี้เราก็ผ่านโรงเรียน เด็กหูหนวก ใช่มั้ย โลกเงียบ มีสิ่งที่ปรากฏการเคลื่อนไหวให้เห็น แต่ว่าไม่มีเสียงเลย เพราะฉะนั้นเขาไม่สามารถที่จะรู้ว่าเสียงมีลักษณะอย่างไร เสียงมีจริงๆ อย่างไร ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าคนที่มีโสตปสาท กรรมเป็นปัจจัยให้รูปนี้เกิดขึ้นกระทบเสียง แต่รูปทุกรูป รูปทั้งหมด ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะได้ยิน ไม่สามารถจะคิด ไม่สามารถจะจำได้เลย รูปแต่ละรูปก็มีลักษณะเฉพาะรูปนั้นๆ อย่างโสตปสาทรูป ไม่ใช่เสียง เสียงเป็นเสียง และโสตประสาทที่อยู่ในกลางหู ที่สามารถกระทบเสียง ก็มีจริงๆ เมื่อเสียงกระทบกับโสตปสาท โสตปสาทไม่ได้ยินเสียงเลย แต่ว่าเป็นปัจจัยให้ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยโสตปสาทเป็นทวาร คือธาตุรู้ที่เราใช้คำว่าจิต เกิดขึ้นในขณะนั้น ได้ยินเสียง
เพราะฉะนั้นแม้แต่การฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็เพื่อให้ใส่ใจ ในเสียงที่ได้ยิน เพื่อที่จะได้เข้าใจความหมายของเสียงแต่ละคำ ว่าหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัย