สนทนาธรรมที่อุทยานแห่งชาติเขาเขียว แผ่นที่ ๒ ตอนที่ 4


    สนทนาธรรม ที่ อุทยานแห่งชาติเขาเขียว จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

    ตอนที่ ๔


    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นป่า แล้วก็มีเสียงจักจั่นเรไร แต่ไม่มีธาตุที่เกิดขึ้นได้ยิน ก็ไม่มีอะไรที่จะปรากฏ หรือถ้าตาบอด แล้วก็มีป่า แล้วก็มีพวกสัตว์ป่า ก็ไม่มีการเห็นใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แต่ละทาง มีตาให้รู้ว่ามีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น มีหูซึ่งสามารถจะทำให้จิตเกิดได้ยินเสียง แต่ละเสียง ชัดเจนว่าเป็นเสียงที่หลากหลาย มีกลิ่นต่างๆ ซึ่งจมูกไม่สามารถที่จะรู้กลิ่นเลย แต่ว่าเป็นทางที่จะทำให้ธาตุรู้ คือจิตเกิดขึ้น ได้กลิ่น ในขณะที่กลิ่นกระทบกับฆานปสาท ขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฎไม่ได้ เสียงก็ปรากฎไม่ได้ เฉพาะกลิ่นอย่างเดียวที่ปรากฎ

    นี่คือธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะให้คนที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจคำว่าธรรม ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่ว่าหมายความถึง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดเมื่อไร ปรากฎให้รู้เมื่อไร ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะ ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะเหตุว่ามีจริงๆ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    กำลังฟัง คิดถึงเรื่องอื่นหรือเปล่า แล้วจะเข้าใจสิ่งที่ฟังไหม เห็นหรือไม่ กว่าแม้แต่มีเสียง และก็มีคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่ถ้าไม่ได้อบรมความศรัทธา ที่จะสดับ หมายความว่าเห็นประโยชน์ของการที่แต่ละคำมีความหมาย ที่จะทำให้เข้าใจขึ้นๆ ก็ทำให้ฟังไป เผลอไป แล้วก็คิดเรื่องอื่น แทนที่จะเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าใครสั่งสมมาที่จะเป็นผู้ฟัง มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่จะทำให้เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องขึ้น แต่ถ้าใครไม่ได้สะสมมาเป็นผู้ฟัง เป็นผู้คิด เป็นผู้พูด แม้กำลังได้ยินเสียงอย่างนี้ ก็คิดเรื่องอื่น พูดเรื่องอื่น ไม่มีโอกาสที่จะได้แม้เข้าใจคำที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ แต่ละขณะนี้ ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ซึ่งเป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟัง ที่คนถามว่าฟังอย่างไร จะเข้าใจ ใช่ไหม ก็คือว่าต้องฟังด้วยความเข้าใจ แล้วก็เห็นประโยชน์ ว่าสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง หมายความถึงอะไร และสิ่งที่กล่าวถึงนั้น เดี๋ยวนี้มีจริงๆ หรือเปล่า เมื่อมีจริง เป็นจริงอย่างที่กล่าวหรือเปล่า กว่าจะค่อยๆ สะสมความเข้าใจ หรือความเห็นที่ถูกต้อง ก็ต้องรู้อัธยาศัยของตัวเอง ว่าถ้าไม่เพียงสนใจ ศรัทธาที่จะฟัง เป็นเรื่องอื่นไปแล้ว แล้วก็ต้องถามกันอีก เมื่อสักครู่พูดว่าอะไร แล้วธรรมเป็นอนัตตาอย่างไร ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า บุคคลนั้นก็จะรู้อัธยาศัยของตัวเอง ว่าเป็นผู้ฟังที่จะเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง หรือว่าเป็นผู้ฟังที่ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้ฟัง เพียงแต่ได้ยินแล้วก็ผ่านไป

    อ.นิภัทร ความจริงคำว่า ภิกษุ เป็นภาษาบาลี ก็คือภิกขุ ตามหลักฐานดั้งเดิมว่า ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ คำว่า ภิกษุ ภยํ อิกฺขตีติ ภิกขุ ชื่อว่าภิกษุ เพราะว่า เป็นผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ความเกิดนี้เป็นภัย เพราะอะไรต่างๆ ที่จะมีตามมานั้น ก็เพราะเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี ที่จะตามเกิดมาก็คือชราภัย ความแก่ เพราะว่าเกิดแล้วก็แก่มาเรื่อยๆ พยาธิภัย ความเจ็บไข้ได้ป่วย สุดท้ายก็คือมรณภัย ความตาย พวกเราเกิดมาแล้วจะต้องต้องประสบภัย ต้องอยู่กับภัยทั้ง ๔ อย่างนี้คือ ชาติภัยชราภัย พยาธิภัย มรณภัย อยู่เป็นประจำ ถ้าไม่เห็นภัยเหล่านี้ ก็ยังติด ยังข้องอยู่ ไม่สามารถจะพ้นไปได้

    ผู้ฟัง การศึกษาธรรมได้รู้ ได้เข้าใจในส่วนนั้นได้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เกื้อกูลได้ ความเห็นก็คือว่าปัจจุบันนี้ โดยส่วนตัวก็คือตาก็บอดอยู่ หูก็ยังหนวกอยู่ ก็ยังเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาให้เกิดแสงสว่าง ก็คือความเข้าใจธรรมเพิ่มมากขึ้น ก็กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืม ฟังธรรมเพื่ออะไร ไม่ใช่อย่างอื่น ใช่หรือไม่ ทุกอย่างก็คือเพื่อสิ่งนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นการฟัง เราไม่ได้ฟังอย่างอื่น แต่เราฟัง สิ่งที่เราไม่เคยฟังมาก่อน เพื่อที่จะให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ ใครสามารถที่จะรู้ได้ บอกได้ ให้เห็นความจริงของสิ่งนั้นได้ ผู้นั้นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวพุทธก็มีโอกาส ที่จะได้ยินได้ฟังคำสอน เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ศรัทธา ที่จะเห็นคุณค่าว่า คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ลึกซึ้งจริงๆ ไม่ควรประมาท เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะคิดเรื่องอื่นมากมาย แต่ขณะนี้ก็กำลังเป็นธรรม ฟังเพื่อให้เข้าใจจนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรมหมดแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไรจะรู้ว่าเป็นธรรมจนกว่าจะฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจ ในสิ่งที่ได้ฟังว่า สิ่งที่มีจริงเป็นปกติขณะนี้ ยังไม่รู้พอที่จะละการยึดถือสภาพธรรมนั้น ว่าเป็นตัวตนหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริงจะเป็นอะไรไม่ได้ มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เป็นแต่เพียงธรรมหรือว่าธาตุแต่ละอย่างเท่านั้นเอง

    คือใครจะเป็นอย่างไรๆ ก็ตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น จะคิดอะไรๆ ก็ตามเหตุตามปัจจัย แต่ขณะใดที่ได้ฟังธรรมก็รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เมื่อมีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้คลายการยึดถือในขั้นการฟัง แต่ยังไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ จนกว่าไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่กำลังรู้เฉพาะลักษณะที่กำลังเป็นธรรมจริงๆ ก็คือคำสอนตั้งแต่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีข้อความเยอะมากในพระไตรปิฎก แต่ก็คือเป็นเรื่องราวของสภาพธรรม ที่กำลังมีจริงในขณะนี้ ก็เก็บเล็กผสมน้อยจากการได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะละความคิดเรื่องอื่น ด้วยความเป็นตัวตน ที่ต้องการที่จะได้ผลจากการฟังมากๆ เหมือนอย่างท่านพระจักขุบาลบ้าง หรือว่าเหมือนคนที่เป็นโจรสองสหาย และก็คนหนึ่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อีกคนหนึ่งก็ได้ทรัพย์จากชายพกไป เท่านั้นเอง ก็เป็นชีวิตในสังสารวัฏฏ์ ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่าสังสารวัฏฏ์ข้างหน้า ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าใครจะไปทางไหน เป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะเป็นแบบไหน แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ซ้ำกันเลยสักคนเดียว

    อ.คำปั่น ขณะนี้เป็นมนุษย์ มีโอกาสเจริญกุศล ได้ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การรักษาศีล การอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่เทวดาท่านใด ที่จะเคลื่อนจากสวรรค์ หมายถึงว่าจะจุติแล้ว เทวดาท่านอื่นก็จะให้พรว่า ขอให้ท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ศรัทธาที่มั่นคงในพระรัตนตรัยด้วย นี้คือเป็นคำที่เทวดา ท่านให้พรกับเทวดาท่านที่จะเคลื่อนจากความเป็นเทวดา

    เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ที่มีโอกาสได้เจริญกุศลได้ทุกอย่างเลย ไม่มีเว้นเลย และในทางตรงข้าม ขณะที่เป็นมนุษย์แล้ว ภพหน้าต่อไปก็สามารถเป็นได้ทุกอย่างเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับการกระทำ ขึ้นอยู่กับสะสมมาของผู้นั้น เพราะเหตุว่าถ้าเจริญเหตุที่ดี มีการเจริญกุศลประการต่างๆ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล ภพภูมิข้างหน้าก็จะเป็นภพภูมิที่ดี แต่ถ้ากระทำอกุศลกรรม ทำแต่ความชั่วทั้งหลาย ประตูอบายก็เปิดรออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเป็นไปได้ทั้งหมดเลย แต่ที่สำคัญที่ควรจะใส่ใจอยู่ตลอดเวลาก็คือ ขณะนี้มีพระธรรมคำสอน และก็มีผู้ที่แสดงธรรม ก็ควรที่จะฟัง ควรที่จะศึกษา

    เพราะว่าศึกษาธรรม ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างอื่นเลย คือศึกษาสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมดเลย เพราะเหตุว่า ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงก็ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน ดูเหมือนว่าเราอยู่กับสภาพธรรมตลอดเวลา แต่ว่ายังไม่มีปัญญา ที่จะเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยการฟัง การศึกษา จึงจะเข้าใจไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ควรที่จะศึกษา ควรที่จะรู้ สิ่งทั้งปวงควรรู้ ควรรู้ยิ่งด้วย เพราะเหตุว่าพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่ท่านรู้แจ้งธรรม ท่านก็รู้อย่างนี้ รู้สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย สมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ได้ตรัสรู้ สภาพธรรมก็มีจริง สภาพธรรมก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ว่ายังไม่มีผู้ที่ตรัสรู้ แล้วก็ยังไม่มีผู้ที่นำมาประกาศให้กับเวไนยสัตว์

    แต่เมื่อพระผู้มีพระภาค พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และเวลาที่พระองค์ทรงแสดง ก็ทรงแสดงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นผู้ฟัง ก็ได้ฟังสิ่งที่มีจริง เมื่อได้ฟังสิ่งที่มีจริง ความรู้ ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ทุกอย่าง ก็จะเจริญขึ้นด้วย กุศลประการต่างๆ ก็จะพลอยเจริญขึ้นตามลำดับ ตามกำลังของปัญญาที่เจริญขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการมีโอกาสได้ศึกษาธรรม จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้พูดถึง จุติของเทวดา และก็จะมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นเทวดาด้วยกัน ก็จะมาแสดงความยินดี เหมือนเฉลิมฉลองว่าดีแล้ว ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นถิ่นที่จะสามารถ สร้างกุศลได้ทุกประการ กลับไปแล้วก็ขอให้อย่าลืม ให้ทำกุศลมากๆ กุศลในส่วนที่ทำนี้ ก็จะมีผลให้เกิดในภพ ซึ่งเป็นสุคติ ทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา และชั้นพรหม แต่อย่างไรก็ตาม ในบางแห่งที่ท่านบอกว่า แม้ทำกุศลแต่ก็ยังเกิดอยู่ในภพภูมิที่ดีนั้น ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทาอยู่ดี เพราะว่ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุด ประเด็นนี้ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ ได้กรุณาแนะนำ

    ท่านอาจารย์ มาจากไหน ไม่รู้ ใช่หรือไม่ แต่ต้องมีแน่ ใช่ไหม แล้วก็จะไปไหน ไม่รู้ ไปแน่ และระหว่างที่ยังไม่ไป ทำอะไรไว้บ้าง ที่จะเป็นหนทางที่จะทำให้ไปไหน คือโดยมาก เราคิดถึงเรื่องราวแล้วก็ เมื่อวานนี้เราก็ได้ฟังเรื่องธรรม แล้วก็มีความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม วันนี้ก็มีเรื่องราวเยอะแยะ เรื่องนั้นบ้าง เรื่องท่านพระจักขุบาลบ้าง เรื่องอะไรบ้าง แต่ก็คือลืมหรือเปล่า ว่าก็เป็นเพียงธรรมชั่วขณะเดียว เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เร็วมาก จะเป็นใคร ทำอะไรที่ไหน จะตาบอด จะหูหนวก จะได้ฟังธรรม เข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ก็คือชั่วขณะหนึ่ง ที่มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความมั่นคง เราฟังธรรมเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเป็นธรรม จบแล้ว วันนี้ก็แค่นั้นใช่ไหม ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะว่าสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ทุกอย่างก็หมดไป จะไปจำเรื่องท่านพระจักขุบาลไว้มากมายหรือไม่ ว่าท่านเป็นใคร และก็ท่านตาบอดเพราะอะไร แล้วถึงแม้ว่าตาบอด ท่านก็ได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปนั่งคิด ด้วยความเป็นเรา ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เข้าใจธรรม ที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อย และชั่วคราวมากจริงๆ ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ก็เป็นเราที่ติดข้องสะสม และก็จะมีการติดข้องทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เรื่อยๆ ไป แต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเอาปัญญามาใส่ให้เราเยอะๆ หรือว่าจะเอากิเลสของเรา ความไม่รู้ของเราที่มีอยู่มากมาย ออกไปให้หมดได้ ต้องเป็นความเข้าใจ เพราะว่าเป็นธรรม ที่เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเจริญขึ้น เราเลือกที่ไปไม่ได้ เหมือนเราเลือกที่มาเป็นบุคคลนี้ก็ไม่ได้ แต่การที่มาเป็นบุคคลนี้ แล้วก็ได้มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจพระธรรม

    การเข้าใจพระธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จะมากน้อยสักแค่ไหน ก็อย่าหวัง เพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียด และลึกซึ้งมาก เพียงแต่ว่าถ้ามีโอกาสได้ฟังอีก ก็เป็นเรื่องซึ่งเกิดเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ฟังธรรมบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง แต่ว่ายังเป็นผู้ที่มีโอกาสได้สะสมความเห็นถูก จึงสามารถที่จะได้ยิน ได้ฟัง สิ่งซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เกิดแล้วดับแล้ว คิดดูก็แล้วกัน ทุกขณะเลย เหมือนอยู่ในโลกของนิมิต ที่ทำให้เราคิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ โดยที่สภาพธรรมนั้นไม่เหลือเลยสักขณะเดียว

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ไม่ลืมว่า ความจริงแท้ๆ ที่ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม สิ่งที่มีจริงแท้ๆ เกิดเพราะเหตุปัจจัย สภาพธรรมที่หลากหลายมาก ถ้าเราจะคิดถึง สิ่งที่มีตั้งแต่เช้าจนถึงบัดนี้ ก็จะมีการเห็น เห็นอย่างเดียวหรือไม่ เดี๋ยวเห็นโน่น เดี๋ยวเห็นนี่ เดี๋ยวไปที่น้ำตก ไปเห็นอะไรมา เดี๋ยวมาตรงนี้ก็มาเห็นอย่างอื่นอีก ก็เป็นเรื่องเห็นหลากหลายมากเลย แล้วเห็น และก็หมดไป เพราะฉะนั้นสาระจากการเห็นทั้งหมดที่เห็นมาแล้ว ทั้งเมื่อวานนี้ ทั้งก่อนๆ นี้ รวมทั้งวันนี้ และต่อไป ไม่ใช่ไปเห็นสิ่งที่ปรากฎให้เห็นแล้วก็หมดไป แล้วก็คิดถึงสิ่งที่หมดไปแล้ว แต่สามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริง คือเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง คือสิ่งที่เราจะได้ฟังกี่ภพกี่ชาติก็ตาม

    มาจากสวรรค์ เทวดาก็อนุโมทนา ว่าจะได้ยินเรื่องนี้ จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นอย่างนี้ และรู้ว่าเป็นธรรม แม้แต่จิตเห็น ซึ่งเห็นจริงๆ แล้วก็หมดไปจริงๆ ด้วย ก็สามารถที่จะมีความเห็นประโยชน์ ของการที่จะเข้าใจความเป็นธรรมที่ไม่เที่ยง สะสมไปแต่ละภพแต่ละชาติ เพราะว่าความสนใจของเรา ไม่ได้อยู่แต่เฉพาะเพียงสิ่งที่ปรากฏ และก็ฟัง และก็รู้ว่าจริงๆ แล้วก็เกิดดับ แค่นี้ไม่พอเลย ไปเห็นอีก เรื่องราวมากมายก็ลืมอีก เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก ว่าชีวิตจริงๆ ก็คือแต่ละขณะจริงๆ ขณะที่เห็น ไม่มีเมื่อวานนี้ หมดไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึง ขณะต่อไปก็มาไม่ถึง ก็มีขณะนี้ซึ่งเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม คือเพื่อประโยชน์ที่จะมีความเห็นจริงๆ ที่ถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ก็จะถามคำถาม ซึ่งตอนมาฟังอาจารย์ครั้งแรก รู้สึกฟังแล้วประทับใจมาก ชอบมาก แล้วก็คิดอย่างนั้นมาตลอด พิจารณามาตลอด แต่ก็ยังไม่แจ่มแจ้ง คือคำว่า โลกในพระวินัยของพระอริยเจ้า กราบเรียนท่านอาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายอีกครั้ง

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังคำนี้ก็สะกิดใจ ใช่ไหม ต้องเป็นโลกที่ต่างกันแน่ เพราะว่าโลกของชาวบ้านกับโลกในวินัยของพระอริยเจ้า แสดงให้เห็นว่าชาวบ้าน ไม่ได้รู้จักโลกเลย หรือเข้าใจโลกต่างกับพระอริยเจ้า แต่พระอริยเจ้า รู้จักโลกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ขอทราบโลกของชาวบ้านก่อน โลกของชาวบ้านเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง โลกของชาวบ้านจะเดือดร้อนกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ โลกของชาวบ้านคือโลกของตัวตน เกิดมาก็เป็นเราเลย รู้หรือไม่ว่าขณะที่เกิด อะไรเกิด แล้วใครไปทำให้เกิด แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ก็คือศึกษาสิ่งที่มีจริงๆ ต่างจากโลกของชาวบ้าน โลกของชาวบ้านมีคนเกิดขึ้น แต่สำหรับพระอริยเจ้า ท่านทราบว่าสภาพธรรมต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วเกิด ขณะนี้มีเห็น ใครทำให้เห็นเกิดได้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นโลกๆ หนึ่ง ไม่ปะปนกับโลกอื่นเลย โลกนี้สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่ว่าโลกของชาวบ้าน เห็นแล้วก็ไม่รู้เลย เห็นต้นไม้ แล้วเราก็อยู่ในประเทศไทย และเราก็มีเพื่อนเยอะ มีคน มีวัตถุสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เราว่ามี แท้ที่จริงคืออะไร ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดขึ้น

    ต้นไม้เกิดขึ้นก็ค่อยๆ โตขึ้นใช่ไหม ต้นไม้รู้อะไรหรือไม่ ต่อให้ตั้งแต่เป็นเมล็ด จนกระทั่งเติบโต จนกระทั่งมีอายุตั้ง ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี บางต้นก็ถึง ๒,๐๐๐ ปีก็มี แล้วรู้อะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิด มี แต่ว่าสิ่งที่เกิดมีลักษณะที่ต่างกัน คือสิ่งหนึ่งเกิดเป็นแข็ง เกิดเป็นแข็ง มีหรือไม่ แค่นี้ก็งง ใช่ไหม ต้นไม้แข็งหรือไม่ ยังไม่มีใครเรียกว่าต้นไม้เลย อะไรเกิดขึ้น แข็งเกิด เพราะฉะนั้นแข็งเกิด เป็นแข็ง ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น

    นี่คือการที่เริ่มจะรู้จักโลกของพระอริยะ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นแข็งมีหรือไม่ เกิดเป็นเสียงมีหรือไม่ เกิดเป็นกลิ่นมีไหม แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่นแข็งที่เป็นต้นไม้เกิด แต่ก็ไม่รู้อะไรได้ ตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่รู้อะไรได้ แต่ได้ยินมีหรือไม่ เห็นไหม อีกโลกหนึ่งแล้ว แต่ละอย่าง เป็นแต่ละโลก เพราะว่าถ้าไม่มีแต่ละอย่างๆ โลกจะมีได้หรือไม่ โลกทั้งโลกที่ชาวบ้านเคยทรงจำไว้ว่าเป็นโลก เป็นประเทศ เป็นภูมิศาสตร์ เป็นภูเขาไฟ เป็นแผ่นดินหรืออะไรต่างๆ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แต่ละอย่างๆ จะมีโลกได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่

    เพราะฉะนั้นโลกของชาวบ้าน ก็คือโลกตามที่เขาเกิดมา แล้วก็คิดว่าเขาอยู่ในโลกนี้ แล้วโลกนี้มีอะไรบ้าง แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า แต่ละหนึ่งอย่าง เป็นแต่ละโลก อย่างเห็น มีจริงๆ ขณะนี้กำลังเห็น ถ้าไม่เห็นจะมีที่นี่หรือไม่ นั่งอยู่ที่นี่ได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นโลกหนึ่ง ไม่ใช่ได้ยิน ขณะที่ได้ยินอยู่ที่ไหน ตอนที่กำลังได้ยิน ได้ยินอยู่ที่ไหน หาที่ไม่เจอ แล้วอยู่ที่ไหนได้ยิน

    เราไม่รู้จักโลก เพราะเรารวมทุกอย่างเป็นโลก แต่ถ้าแยกเป็นแต่ละโลก เราเริ่มรู้จักโลก อย่างเห็น อยู่ที่ไหน ในน้ำมีเห็นหรือไม่ ในอากาศมีเห็นไหม บนบกมีหรือไม่ ในถ้ำมีไหม เพราะอะไร เพราะเห็นเป็นเห็น เริ่มแยกโลกในวินัยของพระอริยเจ้า เป็นแต่ละโลกจริงๆ เห็นเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ ที่มีจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท ที่ไหนๆ ก็ไม่มีเห็น จะมีเห็นได้อย่างไร ในเมื่อเห็น เห็นสิ่งที่สามารถจะกระทบกับตา ที่เราใช้คำว่าตาคือ จักขุปสาท แต่ว่าเพียงตาที่ถูกกระทบ ก็ไม่เห็นอะไร แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฎขณะนี้ นี่คือโลกของพระอริยเจ้า

    รูปทั่วทั้งตัวตรงไหน สามารถจะกระทบกับสิ่งที่ปรากฎให้เห็นได้ เฉพาะตรงกลางตารูปเดียว และเราก็คิดว่า เรามีรูปเป็นของเรา ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า แต่ความจริงรูปไม่ใช่ของใครเลย แต่ละรูปเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย รูปที่เกิดจากรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็นความร้อนก็มี รูปที่เกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปก็มี เพราะฉะนั้นทั้งๆ ที่เข้าใจว่าเรามีรูปร่างกายเป็นตัวเรา เพราะไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง แต่ละลักษณะ เป็นแต่ละโลก ที่รวมกันแล้วเข้าใจว่า เป็นเราโลกหนึ่ง เป็นเขาอีกโลกหนึ่ง หรือเป็นประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ก็แต่ละโลกไป ก็คือไม่รู้จักอะไรเลยทั้งสิ้น ว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือ ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่างจริงๆ เกิดดับ แต่เร็วมาก และรวมกัน ก็เลยเหมือนกับโลกเดียวกัน ตั้งแต่ที่นี่ทั้งหมด ก็เป็นคนนี้ ที่โน่นก็เป็นคนโน้น หลายๆ คนรวมกันก็เป็นโลกใบเดียวกัน

    แท้ที่จริงก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งปรากฎได้เพียงทีละอย่าง แล้วก็ซ้อนกันไม่ได้ พร้อมกันไม่ได้ด้วย จะทั้งเห็น และได้ยินไม่ได้ แต่เพราะความรวดเร็วก็ทำให้ดูเสมือนว่า เห็นด้วย ได้ยินด้วย ด้วยเหตุนี้ศึกษาธรรมคือ แม้ในขั้นการฟัง ก็ให้เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงโลกในพระวินัยของพระอริยเจ้าว่า เป็นแต่ละโลก ซึ่งรวมกันไม่ได้เลย แต่เพราะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครเห็นการเกิดดับสืบต่อ ก็รวมทุกโลกเป็นโลกเดียว แต่ความจริงถ้าแยกออกแล้ว แต่ละลักษณะเป็นแต่ละโลก ขณะนี้ใครมีตับ ไต ไส้ พุงบ้าง คุณคำปั่น มีหรือไม่

    อ.คำปั่น ก็มีในความคิด เพราะว่าจริงๆ ก็มีแต่สภาพธรรมเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เมื่อเช้านี้รับประทานอาหาร คิดถึงตับ ไต ไส้ พุงหรือเปล่า รับประทานอาหารไม่ได้คิดถึงตับ ไต ไส้ พุงเลย แต่จำว่า มี เมื่อไรก็คือเมื่อนั้น เข้าใจว่ายังมี แต่ความจริงขณะเห็น เป็นเพียงหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป ไม่มีความคิดว่ามีตับ ไต ไส้ พุง แต่พอคิดว่า มีตา ใช่ไหม ขณะนั้นก็จึงเข้าใจว่ามีตา เมื่อคิด แต่ขณะเห็นมีตาหรือไม่ จะมีได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาโลกในวินัยของพระอริยะ ก็คือว่าสามารถที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งไม่รวมกัน แล้วก็เป็นแต่ละโลกด้วย แล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปด้วย ตะกร้าใบนี้ มีอากาศธาตุแทรกคั่นหรือไม่ พร้อมที่จะแตกดับ ละเอียดยิบ แต่ไม่รู้ใช่หรือไม่ ว่ารูปที่กำลังมองเห็น เกิดขึ้น และดับไปด้วย ถ้าถามว่าสิ่งที่ปรากฎทางตา อยู่ที่ไหน เริ่มยากเข้ามาอีกเรื่อยๆ เลย ธรรมเป็นเรื่องซึ่งถ้าไม่ฟังก็ไม่คิด เหมือนกับว่าง่ายไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ถ้าคิดเอง คิดไม่ออก ใครก็คิดไม่ออก คิดออกได้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นพระอริยเจ้า ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย แต่สิ่งใดก็ตามที่มีจริง สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฎแต่ละอย่าง ก็ต้องมีที่อยู่ ที่อาศัย เพราะฉะนั้นในภาษาธรรม พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องรูปใหญ่ รูปที่เป็นประธานของรูปทั้งหมดเลย มี ๔ รูป ภาษาไทยก็พูดบ่อยๆ ใช่หรือไม่ หมายความถึงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีใครไม่ได้ยิน ๔ คำนี้บ้าง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม คนยุคก่อนตั้งแต่สมัยโน้น ก็สืบต่อๆ กันมา เวลาพูดถึงเรื่องธาตุ ๔ ก็หมายความถึง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ว่าถ้าเราไม่ได้ใส่ใจจริงๆ เราเพียงได้ยิน แต่เราไม่รู้ว่า ทำไมพูดถึงเรื่องธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าชื่อนี้ แต่ธาตุดินอยู่ที่ไหน เห็นหรือไม่ ถ้าเป็นคนที่ไม่ละเอียด จะได้สาระจากพระธรรมหรือไม่ ก็เผินมากเลย คนไทยก็ได้ยินคำว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ได้ยินมา เติบโตมา ก็ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วคืออะไร ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ละเอียด แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดก็ต้องรู้ว่า ธาตุดินคือคืออะไร

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมทั้งหมด ที่จะให้เข้าใจก็คือว่า คืออะไรก่อน ถ้ายังไม่รู้ว่าคืออะไร เราก็ไม่ทางที่จะเข้าใจสิ่งนั้นให้ละเอียดขึ้นได้เลย เพราะว่าพูดกันไปพูดกันมา ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วจะมีประโยชน์อะไร พระไตรปิฎก อายตนะ ขันธ์ ธาตุ อริยสัจจ์ ๔ พูดไป พูดมา แล้วอยู่ที่ไหน คืออะไรก็ไม่รู้ ถ้าเผิน เพราะฉะนั้นทุกคำต้อง คืออะไร แม้แต่คำสามัญธรรมดา ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ว่า คำว่าดินหรือธาตุดินคืออะไร มีจริงๆ หรือเปล่า มีลักษณะอย่างไร แล้วก็อยู่ที่ไหนด้วย

    ธาตุดินใช่หรือไม่ ภาษาบาลีใช้คำว่า ปฐวี คนไทยไม่ใช้คำว่า ปฐวี แต่ใช้คำว่า ดิน หมายความถึงอะไร และคืออะไร ลักษณะที่แข็ง ไม่ใช่ดินที่ปลูกต้นไม้ ใช่หรือไม่ นั้นเป็นคำสมมติเรียก ดิน แต่ว่าหมายความถึง แข็ง เพราะฉะนั้นที่โต๊ะ มีธาตุดินไหม มีเพราะอะไร แข็ง เพราะฉะนั้นอะไรที่แข็งทั้งหมด จะใช้ภาษาบาลี ก็ใช้คำว่าปฐวี ถ้าใช้ภาษาไทยก็คือธาตุดิน หนึ่งแล้ว ธาตุดินล้วนๆ ลำพังเกิดขึ้นมาได้ไหม ไม่ได้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ทั้งนามธรรม และรูปธรรม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี เกิดขึ้นต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นปัจจัยปรุงแต่ง จะกล่าวว่าอาศัยกัน และกัน เกิดขึ้นก็ได้ จะไม่เกิดขึ้นตามลำพังเลย

    เพราะฉะนั้นธาตุใดที่มีลักษณะที่แข็ง เกิดแล้วเป็นแข็ง ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นที่เกิดร่วมกัน โดยแยกกันไม่ได้เลย คือธาตุไฟ ลักษณะที่เย็นหรือร้อน เย็นหรือร้อนไม่มีธาตุดินเป็นที่อาศัยได้หรือไม่ อะไรก็ตามที่ร้อน เราบอกได้เลย ถ้วยแก้วร้อน ใช่หรือไม่ น้ำร้อน กระทะร้อน เตาร้อน ก็มีลักษณะที่แข็ง แต่ก็มีลักษณะที่ร้อนรวมอยู่ แต่ว่าไม่ใช่ลักษณะเดียวกัน ที่ๆ แข็ง แข็งไม่ใช่ร้อน ที่ๆ ร้อนอยู่กับแข็ง แต่ว่าร้อนนั้นไม่ใช่แข็ง นี่คือธรรม โลกของพระอริยเจ้า คือเป็นโลกที่สามารถ ที่จะรู้ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ไม่ว่าสภาพธรรมที่มีจริงนั้น เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม หรือไม่ใช้คำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่าลักษณะนั้นก็มีจริงๆ



    หมายเลข 162
    25 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ