สนทนาธรรมที่อุทยานแห่งชาติเขาเขียว แผ่นที่ ๒ ตอนที่ 5


    สนทนาธรรม ที่ อุทยานแห่งชาติเขาเขียว จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

    ตอนที่ ๕


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเวลาที่ๆ ใดมีแข็ง ให้ทราบว่าที่นั้นก็มีธาตุไฟ จะใช้คำว่าอุณหภูมิ จะร้อนมาก ร้อนน้อยหรือว่าเย็น หรืออะไรก็ตามแต่รวมอยู่ด้วย อยู่ด้วยกันที่นั่น แล้วก็มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง คือตึงหรือไหว ที่ตัว เราก็พูดบ่อยๆ วันนี้เมื่อยๆ ตึงๆ ใช่หรือไม่ เรียกสภาพนั้นว่าตึง ไม่ใช่แข็ง แต่ตึง หรือบางทีก็ลมหายใจ หรือว่ากลืนน้ำลาย ก็มีลักษณะที่ไหว ก็แสดงว่ามีสภาพนั้นจริงๆ ซึ่งไม่ได้อยู่กับที่ แต่สามารถที่จะไหวได้ เป็นลักษณะที่ไหว นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเรากำลังพูดถึงธรรมที่มีจริง ธรรมที่มีจริงคือ สิ่งที่พระอริยเจ้าท่านรู้ว่าเป็นโลกแต่ละโลก ไม่ได้รวมกันเลย

    อ.คำปั่น เรื่องโลกในวินัยของพระอริยะ เป็นข้อความที่มีในพระไตรปิฎก และแสดงถึงความจริง เพราะว่าโลกะ หรือ โลกที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันนี้ กับโลกจริงๆ ในพระธรรมมีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะว่าโลกะหรือโลก ความหมายก็คือสภาพธรรมที่แตกดับ สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดแล้วดับ สภาพธรรมนั้นชื่อว่าโลก ซึ่งโลกนี้ก็ไม่พ้นไปจากโลกทั้ง ๖ โลก ไม่ว่าจะเป็นโลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ท่านรู้โลกตามความเป็นจริง ซึ่งจะตรงกันข้ามกับปุถุชน ปุถุชนนี้ไม่รู้โลกตามความเป็นจริง จึงยึดถือโลกว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลอยู่ นี่คือความแตกต่างกัน ก็อยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์ ขยายความต่อในเรื่องของโลกในวินัยของพระอริยะ ต่อจากเมื่อเช้าด้วย

    ท่านอาจารย์ ก็พบกันอีกตอนบ่าย โลกตอนเช้าหายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่ เหลือโลกแต่ละขณะตอนนี้ ถ้าใครกำลังหลับอยู่ ก็คนละโลกแล้ว ใช่ไหม คือไม่มีโลกทางตาปรากฎ ไม่มีโลกทางหู ไม่มีโลกทางจมูก ไม่มีโลกทางลิ้น ไม่มีโลกทางกาย ไม่มีโลกทางใจปรากฎ แต่ยังไม่ตาย เพราะฉะนั้นโลกนั้นก็เป็นโลกที่เกิดดับ โดยไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คือธรรมต้องรู้ว่าเป็นชีวิตจริงๆ แต่ละขณะเพียงแต่ว่า เราไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีเลย เราก็บอกว่าเราหลับ และตอนหลับ โลกอะไรปรากฎ มีไหม ไม่มี แต่ยังไม่ตาย

    เพราะฉะนั้นโลกนั้น แม้มีก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ว่าในขณะนี้ ความละเอียดก็คือว่า เราไม่ได้เคยรู้เลยว่า ชั่วหนึ่งขณะที่สภาพธรรมปรากฏ มีอะไรบ้าง เกินวิสัยที่จะรู้ได้ แต่ก็เป็นอย่างนั้น เช่นในขณะนี้ มีโลกเห็น แน่ๆ โลกหนึ่งเกิดแล้ว เห็นอะไร เห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง แค่นี้ก็ไม่รู้ความจริง กลายเป็นเห็นแล้วก็คิดนึกทันที โดยที่ไม่แยกว่าโลกทางตาเป็นโลกหนึ่ง ซึ่งต่างกับโลกทางใจ ซึ่งต่อกัน เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะมีเห็น ก็จะต้องมีคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็จำว่าเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เวลาที่ได้ยินชั่วขณะนิดเดียว ดับแล้ว ก็ยังจำเป็นเรื่องเป็นราวสนทนากันเยอะแยะเลย

    เมื่อสักครู่นี้กี่โลก นับโลกไม่ถ้วน เห็นมั้ย แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นแต่ละโลกด้วย เหมือนกับว่าเป็นเรื่องเดียวเลย ตั้งแต่เวลานั้นถึงเวลานี้ คุยกันเรื่องอะไรบ้าง แต่ถ้านับหนึ่งขณะจิต และในหนึ่งขณะจิต มีอะไรบ้าง อย่างขณะนี้ มีเห็น เมื่อสักครู่ก็มีเห็น และก็ฟังเรื่องเดียวกันหรือเปล่า เมื่อสักครู่นี้คุยกัน เรื่องนี้หรือเปล่า ก็เป็นเสียงใช่ไหม แต่พอคิด คนละโลก โลกเมื่อสักครู่นี้ เป็นโลกของตัวตน เป็นโลกของเรื่องราว เป็นเรื่องของการที่จะไม่ฟังให้เข้าใจความจริงว่า แม้เมื่อสักครู่นี้ก็มีเสียงปรากฏ แล้วก็มีคิดนึก แต่คนละเรื่อง เดี๋ยวนี้ก็มีเสียง แล้วก็มีได้ยิน แล้วก็มีคิดนึก แต่คนละเรื่อง

    เพราะฉะนั้นเรื่องแต่ละเรื่อง ตามความคิดนึก ไม่เคยรู้ความจริงอย่างละเอียดเลย แต่ถ้ารู้ก็ดีกว่าไม่รู้มากมาย เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ ว่าโลกยังต่างกันตามความคิด โลกของพระอริยเจ้า กับโลกของผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย ไกลกันมาก แล้วทำไมเราต้องเข้าใจอย่างนี้ คนที่รู้ความจริง มีปัญญา มีความเข้าใจถูก หรือว่าไม่มีปัญญา ไม่เข้าใจถูก เห็นไหม อยู่ในโลกของความมืด ของความงมงาย ของความไม่รู้ความจริง กลับค่อยๆ ออกจากโลกมืด มาสู่โลกที่สว่าง แต่สว่างจนกระทั่งสามารถจะเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏนี้หรือยัง ว่าเป็นโลกหนึ่งๆ ๆ แต่ละขณะก็เป็นแต่ละโลกๆ ๆ และโลกที่เกิดก็ดับไปๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าจะใช้คำว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง พระพุทธเจ้ายังทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงของธรรมว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นที่ว่าโลกมี ก็เมื่อมีสิ่งที่เกิด และดับ ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดแล้วดับจะมีโลกหรือไม่ คือเราอาจจะพูดตามพระธรรมได้หมดทุกอย่าง แต่ถ้าเราไตร่ตรองมากขึ้น ความเข้าใจของเราก็ค่อยๆ เป็นแสงสว่าง ทีละน้อยๆ ที่จะเห็นว่าแม้พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นคำธรรมดา แต่ว่าความจริงของสิ่งนั้นมากมายมหาศาล และก็แสดงให้เห็นว่า การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้จริงๆ จนกระทั่งเป็นแสงสว่าง เป็นที่พึ่ง จะช้าหรือจะเร็ว จะมากหรือจะน้อย แม้แต่เพียงโลกทางตาโลกเดียว

    ในพระไตรปิฏกมีหลายโลก ทุกโลกหมดที่ทรงแสดง ทั้ง ๓ ปิฎก แต่ถ้ากล่าวถึงทางตาเพียงโลกเดียว กล่าวไว้ที่สามารถจะทำให้คนฟังเริ่มเข้าใจโลกนี้ ว่าโลกนี้เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาได้ไหม เห็นไหม สิ่งเดียวแต่เพิ่มให้เราฟัง แล้วก็คิด แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นว่า กว่าจะรู้ความจริงของโลกนี้ อีกนานไหม แล้วคำถามที่ว่าเมื่อไรๆ จะตอบอย่างไร ตอบได้แทนคนอื่นหรือไม่ ทีนี้ถ้าไม่ตอบแทนคนอื่น ตอบเอง อีกนานเท่าไร นานจนกระทั่ง จนกว่าจะไม่ถามเมื่อไร เมื่อนั้นก็เริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าถามแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่มีความรู้อะไรเลย ในสิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้ ยังไม่คลายความไม่รู้เลย และก็จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม จะเริ่มเห็นความต่างของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังเลย เขาจะกราบไหว้บูชาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสักเท่าไร ก็ไม่เห็นพระคุณ คือยังไม่รู้จักอยู่นั่นเอง เพราะว่ายังไม่ได้เข้าใจธรรม หรือว่าบางคนอาจจะยังไม่ได้ฟัง บางคนไม่มีแม้อัธยาศัยที่จะฟัง พอมีธรรมเขาก็ปิด หมุนไปหา ถ้าเป็นวิทยุก็รายการอื่นทันที ก็หลายท่านเคยเป็นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยเป็น แต่ก็ยังมีการสะสมที่ทำให้ อาจจะเป็นโอกาส หรืออาจจะเป็นปัจจัยใดๆ ก็ไม่ทราบ แต่ละคนก็แต่ละหนึ่งจริงๆ จะซ้ำกันไม่ได้เลย

    ทำให้เขาจำเป็นต้องได้ยิน ก็มาตั้งแต่จำเป็นต้องได้ยินก่อน จำเป็นต้องได้ยินบ่อยๆ เข้า ก็เริ่มสนใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเปิดเอง ถ้าเป็นวิทยุหรือว่าถึงเวลาแล้วคนอื่นไม่เปิด ก็เตือนให้เปิด นี่เป็นเรื่องของธรรมจริงๆ ทั้งหมด ค่อยๆ ปรับปรุง แล้วก็ค่อยๆ สะสม ที่ใช้คำว่าภาวนา หมายความถึง ค่อยๆ เกิดขึ้น เจริญขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่การฟัง เมื่อสักครู่นี้เราก็พูดเรื่องเห็น เมื่อวันก่อนเราก็พูดเรื่องเห็น และก็พูดว่าเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง บังคับบัญชาไม่ได้ วันนี้จะเปลี่ยนคำพูด มีใครเปลี่ยนบ้าง พอรู้จักธรรมแล้วจะเปลี่ยนไหม ว่าเห็นไม่ใช่ธรรม เป็นเราบังคับให้เห็นก็ได้ ลืมตาขึ้นก็เห็นแล้ว อาจจะคิดง่ายๆ อย่างนี้ แต่คือผู้ที่ไม่ได้ไตร่ตรองพระธรรมว่า พระธรรมได้ทรงแสดงแล้ว แม้คำเดียวที่ตรัสแล้ว ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นการตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม จนถึงที่สุด จะจริงยิ่งกว่านี้อีก ไม่มี

    เพราะฉะนั้นเมื่อตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นต้องดับ ใครจะเปลี่ยนแปลง หรือใครจะปฏิเสธ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการเริ่มฟังธรรม เป็นการเริ่มรู้จักความจริง และเมื่อไตร่ตรองแล้ว ก็รู้ว่าความจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นความจริงเดี๋ยวนี้ มีอะไรบ้าง มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริง เป็นธรรม เป็นโลก ถ้าเป็นโลก และปรากฏหมายความว่าเกิดขึ้น และดับไป จะรู้หรือไม่รู้ ก็เป็นความจริงอย่างนั้น แต่เมื่อเป็นคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ วันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าสิ่งนี้เกิด และดับ

    วันนั้นสำหรับท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อได้ฟังพระปฐมเทศนา สามารถรู้ความจริงที่ทรงแสดง และกำลังปรากฏในขณะนั้น เป็นพระอริยสาวก ก่อนที่ท่านจะได้ฟังปฐมเทศนา ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ชีวิตของท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ และคนอื่นๆ ถอยกลับไปแต่ละภพ แต่ละชาติ ก็เหมือนแต่ละคนขณะนี้ ก็มีเห็น มีได้ยิน แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ แล้วก็ใส่ใจ เงี่ยโสตลงสดับ พิจารณา เมื่อเป็นความจริงที่เข้าใจ ความจริงนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่เปลี่ยน คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เอง

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่ไม่มี และในขณะนั้นที่ทรงตรัสรู้ ก็รู้ความจริงของธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนั้นด้วย ไม่ใช่ในขณะอื่น แต่ว่าพระบารมีที่ได้สะสมมา บารมีคือความดี ถ้าใช้คำภาษาง่ายๆ ความดีต้องเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เรื่องติด สามารถที่จะสละ ความสุขของตัวเอง สามารถที่จะสละทรัพย์สินเงินทอง สามารถที่จะสละความเป็นตัวตน อดกลั้นที่จะไม่โกรธ เด็กที่จะก้าวร้าวทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดี หรือใครก็ตามทั้งหมดตลอดชีวิต เพื่อที่จะได้รู้ว่า สิ่งที่มีจริง แท้จริง ความจริงของสิ่งที่มีจริงนั้นคืออย่างไร

    อย่างเราก่อนฟังธรรม ก็เห็นมีการเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม เกิดมาแล้วก็เปลี่ยน จากเด็กเล็กๆ ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น แล้วก็ไม่ว่าจะมีเรื่องราว สุขทุกข์ต่างๆ ความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก็ต่างๆ กันไป ทำไมบางครั้งได้ยินบางอย่าง ก็โกรธ บางอย่างก็ไม่โกรธ ทุกอย่างไม่เที่ยงไม่แน่นอน แต่ไม่เคยสังเกต พระโพธิสัตว์เห็นความเปลี่ยนแปลงความไม่เที่ยง และรู้ว่า ต้องมีความจริงของสิ่งที่เป็นอย่างนี้

    ด้วยเหตุนี้พระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว ถึงกาลพร้อมที่จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ความจริงอย่างนี้ ของสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ด้วยพระองค์เอง แต่ว่ายิ่งใหญ่มหาศาลมาก เพราะพระบารมีของพระองค์ไม่มีใครเปรียบได้ เพราะฉะนั้นพระปัญญาที่ได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของพระปัญญาของพระองค์ ที่รู้ว่าสัตว์โลกสามารถที่จะเข้าใจได้แค่ไหน ก็ทรงแสดงแค่นั้น สมกับที่ทรงอุปมา จากใบไม้ในพระหัตถ์ ว่าใบไม้ในพระหัตถ์กับใบไม้ในป่า ที่ไหนจะมากกว่ากัน ในพระหัตถ์มีไม่กี่ใบ ใช่มั้ย แต่ในป่ามากกว่านั้นมาก ก็เหมือนพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ แต่ว่าทรงแสดงเพียงพอกับปัญญา ของคนที่สามารถจะเข้าใจได้ แล้วลองเทียบสิ เพียงพอกับคนที่สามารถจะเข้าใจได้ มากมายแค่ไหน รวบรวมเป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ละบทๆ แล้วเราได้ฟังคำเดียว เอาพระธรรมขันธ์ไปคำนวณว่าธรรมขันธ์ ๑ มีกี่คำ ก็มาก ไม่ใช่เพียงคำเดียว

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงพระมหากรุณาแสดง เราเข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นใครก็ตาม อ่านพระไตรปิฏก มีหวังจะเข้าใจด้วยตัวเองไหม พระไตรปิฎกไม่ใช่สำหรับอ่าน แต่สำหรับศึกษาด้วยความเคารพสูงสุด ด้วยความนอบน้อมไตร่ตรอง ในความเป็นจริงอย่างนั้น โดยไม่คิดเอง แต่คนยุคนี้ สมัยนี้ประมาท และก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มีข้อความบางตอน บางคำในพระไตรปิฎกที่พบ ที่ได้ยิน ก็คิดเองหมด เป็นการทำลายพระศาสนาโดยตรง

    เพราะเหตุว่าความหมาย ไม่ได้เป็นอย่างที่คนนั้นคิดเลย ถ้ามีใครจะพูดเรื่องจิต เขาก็เขียนตำรับตำรามากมาย พูดเรื่องโลก ก็เขียนตำรับตำราเยอะแยะ ไม่ตรง กับความจริง ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะฉะนั้นก็เป็นหลักของนักปรัชญา นักจิตวิทยา ซึ่งไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เทียบไม่ได้เลย แล้วเราเชื่อใคร เราสนใจใคร เราอ่านหนังสือของใคร แล้วเราไม่แตะต้องพระไตรปิฎก ไม่ฟัง แล้วไม่พิจารณาด้วยว่า ถ้าเพียงฟังสักหน่อย จะเรื่องอะไรก็ตามแต่ แล้วคิดตามข้อความที่ได้ฟัง ไม่เพิ่มเติม ไม่คิดเอง เราก็จะได้สาระ ได้ประโยชน์มาก เพราะว่าแม้แต่การที่เราจะสนทนากัน ก็ตามพระไตรปิฎก ตามข้อความที่ทรงแสดงไว้ทุกอย่าง ถ้ามีความเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อความตอนใดในพระไตรปิฎกก็ตรง

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ละเอียดคือ แม้คำเดียวก็ไม่เผิน แม้แต่คำว่าธรรม แม้แต่คำว่าโลก ทุกคำต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เป็นพื้นฐาน มั่นคง ฟังต่อไป เปลี่ยนไหม ความเข้าใจของเรา เปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมเป็นธรรม โลกเป็นโลก แต่ว่าเห็นไหมว่า ความต่างของความละเอียดก็คือว่า ธรรมเป็นธรรม นี่แน่นอน คือทุกอย่างเป็นธรรมที่มีจริง และเป็นธรรมหมด แต่สิ่งที่ไม่ใช่โลก พ้นโลกเหนือโลกก็มี เห็นไหม ถ้าเราไม่ได้ฟังต่อไปให้ละเอียดว่า ธรรมที่มีอยู่ทุกวันนี้ เป็นโลก เพราะว่าเกิดแล้วก็ดับ มีอะไรบ้างที่เกิดแล้วไม่ดับ เมื่อสักครู่อาหารอร่อยไหม เดี๋ยวนี้อยู่ไหน ก็ไม่มีแล้ว เมื่อสักครู่คิดเรื่องอาหาร เดี๋ยวนี้คิดเรื่องอะไร ก็ใหม่อีกแล้ว และรู้ไหมว่า จากนั่นไปนั่น ไปนั่นทีละช่วงขณะสั้นๆ ละเอียดแค่ไหน ที่ไม่รู้ตัวเลย สักคนเดียว ว่าธรรมทั้งหมดเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็สืบต่อ ที่ใช้คำว่าแนบเนียนมาก จากเห็นเป็นคิดทันที เห็นสิ่งที่ปรากฏ และก็เป็นคน แล้วก็เป็นต้นไม้ และก็เป็นเรื่องราวต่างๆ ไม่มีการประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นโลก ซึ่งยังไม่ได้รู้จัก เพียงแต่กำลังฟังเรื่องโลก และก็โลกก็เป็นอย่างนี้แหละ พรุ่งนี้โลกเป็นอย่างนี้หรือเปล่า โลกพรุ่งนี้ไม่เป็นอย่างนี้เลย เที่ยง ยั่งยืน เห็นก็เห็นไปตลอด ไม่มีการได้ยินเลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นธรรมใดที่เข้าใจแล้ว ก็มีความเข้าใจอย่างมั่นคงขึ้น แล้วก็เวลาฟังเพิ่มเติมก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะคลายความไม่รู้ แม้แต่ทางตาที่กำลังปรากฏ แล้วก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจถูก เห็นถูก เพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นเป็นใคร เป็นใครไม่ได้เลย เป็นธาตุหรือธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเพียงปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ เป็นโลกหรือเปล่า เป็นไหม หรือใครว่ายังไม่เป็น แน่นอน ไม่ต้องไปหาโลกที่ไหนเลย อะไรที่ปรากฏนั้นแหละโลกแล้ว แต่ว่ายังไม่รู้จักโลกนั้นตามความเป็นจริง แล้วสภาพที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ต้องมีใช่ไหม ต้องเกิด ไม่เกิดจะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะมีสภาพที่กำลังเห็น สิ่งนี้จึงปรากฏได้ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสภาพที่เกิดขึ้นแล้วเห็น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นสภาพที่เกิดขึ้นแล้วเห็น ว่ามีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ให้เห็นได้ สภาพเห็นเป็นโลกหรือเปล่า ก็เป็นโลก ตอนนี้รู้จักโลกในพระวินัยของพระอริยแล้วใช่ไหม ไม่เปลี่ยน ไปหาที่ไหน ไม่ต้อง อยู่เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดนี้ เพียงแต่ว่าไม่ได้รู้ความจริง แต่เริ่มเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อีกไกลไหม เพราะเดี๋ยวนี้เป็นโลกแท้ๆ โลกจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นโลก ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นฟังเมื่อวานนี้ ฟังวันนี้ และฟังต่อไปอีกกี่วัน ก็คือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง และความเข้าใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วก็รู้ว่าตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม เพราะเข้าใจขึ้น บางคนไม่พูดถึงเรื่องการเข้าใจเลย ไปนั่งๆ หลับตาเดี๋ยวก็ประจักษ์การเกิดดับ แต่ความรู้ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นจึงสงสัย และถามว่า อะไร วูบๆ วับๆ นั้นคืออะไร แล้ววูบๆ วับๆ นั่นอะไร แล้วถามทำไม มีประโยชน์อะไร ตอบให้ก็คือว่าคนนั้นก็ยังไม่รู้จักโลก ยังไม่ใช่ปัญญาของตัวเอง

    เพราะฉะนั้นมรดกที่ล้ำค่าที่สุด เหนือทรัพย์ สิ่งใดใดทั้งสิ้น ที่สามารถจะติดตามไปก็คือพระธรรมที่ทรงแสดง ให้คนที่ได้ฟังพิจารณาเข้าใจ เป็นปัญญาหรือความเห็นถูกต้องของตัวเอง ตราบใดที่ฟัง และยังไม่ใช่ความเข้าใจของเราเอง ฟังอีกพิจารณาอีกพอเราเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น นั่นคือความเข้าใจแล้ว นั่นคือปัญญาขั้นต้น ซึ่งจะเจริญขึ้นๆ เป็นภาวนาหมายความว่า จากที่ไม่มี ก็มีขึ้น มีน้อยก็เพิ่มขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งรู้ความหมายของพระอริยบุคคล ไม่ใช่ผู้ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ได้แต่หวังว่าเมื่อไรจะรู้ นั่นไม่ใช่หนทาง และก็เป็นไปไม่ได้ด้วย

    เพราะฉะนั้นวันนี้ก็คงจะไม่สงสัยเรื่องโลก รู้จักโลกว่าอย่างไรบ้าง ว่ามีจริงๆ แต่ยังไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง จนกว่าจะเข้าใจขึ้น ไม่ใช่จนกว่าจะไปทำอะไร ให้ประจักษ์โลกเกิดดับ แต่จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น แม้ว่าทีละน้อยมาก แต่ก็อย่างน้อย ไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรมชั่วคราว ชั่วคราวคือสั้นมาก ไม่ใช่ของใครเลย แต่ละโลกคือแต่ละทาง ไม่ว่าจะเห็น หรือได้ยิน หรือได้กลิ่น หรือลิ้มรส หรือรู้สิ่งที่กำลังกระทบ หรือคิดนึก ต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่เห็นการเกิดดับ ต่อเมื่อใด มีความเข้าใจขึ้น ค่อยๆ คลายความไม่รู้ เพราะว่าพระธรรมทั้งหมด เพื่อละ ถ้าไม่ลืมคำนี้จะมีประโยชน์มาก เพราะว่าพอจะติดก็รู้ว่าหลงทาง อะไรทำให้หลง ความไม่รู้ และความติดข้อง

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ทรงตรัสรู้แล้ว เปล่งอุทานว่า ได้พบนายช่างผู้สร้างเรือน เรือนคือภพชาติของสังสารวัฎฏ์ แต่ละชาติๆ เป็นที่อยู่ เหมือนกับว่าเราอยู่ในโลกกว้างใหญ่ แต่ความจริง แต่ละสิ่งที่มีจริง ที่เราเข้าใจว่าเป็นเรานั้น คือเรือนของที่อยู่ของเรา อย่างเวลาเห็นอย่างนี้ เห็นมีที่อยู่ไหม เห็นอยู่ในบ้าน หรืออยู่ในป่า หรืออยู่ในน้ำ หรืออยู่ในอากาศ แต่เห็นอยู่ที่ขณะนั้นที่เห็น เป็นขันธ์ ขันธะ หมายความถึงสิ่งที่มี เกิดดับ แต่ละอย่างไม่มีเหมือนกันเลย แสนโกฏกัปป์มาแล้ว จนกระทั่งถึงเมื่อสักครู่นี้ เห็นเป็นเห็น สิ่งที่ปรากฏต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เป็นอันเก่าหรือเปล่า เหมือนอันเก่าหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เห็น ทรงแสดงความละเอียดให้เพิ่มขึ้นอีก ที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งเกิดเองเปล่าๆ ขึ้นมาไม่ได้เลย ต้องมีสภาพที่เป็นปัจจัยปรุงแต่ง เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่มีทางที่ใครจะพูดให้เข้าใจได้หมด ในเวลาที่สั้นๆ เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งมาก ยิ่งพูดก็ยิ่งยาว ยิ่งพูดก็ยิ่งลึก ยิ่งพูดก็ยิ่งละเอียด

    เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เลย ว่าการพูดหรือการฟังแต่ละครั้ง เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อย ในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่ของตน เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ กับขณะก่อน ต่างกันหรือเหมือนกัน เป็นธรรมแน่นอน ถูกต้องไหม ทุกอย่างเป็นธรรมแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแน่นอน แต่เป็นธาตุที่ไม่มีรูปร่างเลย ลองคิดดู ในความมืดสนิท มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่สว่าง สิ่งที่ปรากฏเวลานี้ มองเห็นเป็นรูปร่างต่างๆ แต่ว่าตัวธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็นนั้น มืดสนิท เพราะไม่ใช่รูป ธาตุเห็นขณะนี้เกิดขึ้นได้ เพราะมีนามธาตุ คือเจตสิก ธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ๗ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นจิตเห็นของเทวดา ของนก ของงู ของช้าง ของเปรต ของเทพ ของพรหม เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นที่เกิดขึ้น เป็นธรรมแน่นอน เป็นธาตุแน่นอน มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ แน่นอน แต่เห็นขณะนี้ ไม่ใช่เห็นขณะก่อน ไม่มีทางที่เห็นขณะก่อน จะกลับมาเป็นเห็นขณะนี้ได้เลย

    เพราะเหตุว่าธรรมใดที่เกิด ธรรมนั้นดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นความต่างคือแม้เป็นประเภทเดียวกัน แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน นี่คือความเข้าใจของธรรม ถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ เราจะตอบคำถามได้ทุกคำถามหรือไม่ ไม่ว่าจะถามว่าเห็นเดี๋ยวนี้ กับเห็นขณะก่อนต่างกันหรือเหมือนกัน ถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ เราก็สามารถที่จะรู้ได้ ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น จะให้ตอบเป็นอย่างอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมขณะนี้กำลังสะสม เพื่อที่จะเข้าใจแต่ละหนึ่งขณะของชาตินี้ และของสังสารวัฎฎ์ ซึ่งไม่ได้กลับมาอีกเลย แล้วเราจะอยู่ที่ไหน นอกจากเพราะไม่รู้ความจริง ก็เลยทึกทักเข้าใจเอาว่า ทุกอย่างเป็นเราหมด เมื่อวานนี้ก็เราเห็น หายไปหมด ไม่กลับมาอีกเลย ก็ยังเป็นเรา ไม่รู้จะเป็นเราได้อย่างไร ในสิ่งที่หมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกเลย ถึงเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดงว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล แต่มีธรรม ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป เป็นมรดกที่ล้ำค่าไหม สำหรับคนที่ได้ยิน ได้ฟัง เกิดความเห็นถูกของตัวเอง และความเห็นถูกนี้ ก็สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ ซึ่งเกิดจากกิเลส เพราะเหตุว่าทุกคนเป็นทุกข์ เพราะกิเลสโดยไม่รู้ตัว ใครปฏิเสธบ้างว่าไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ว่าเพราะกิเลส จึงเป็นทุกข์

    ลองคิดถึงมีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ไม่ติดข้องในสิ่งนั้นเลย รู้ว่าสิ่งนั้นชั่วคราว เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น ทางตาปรากฏเป็นสีสันวรรณะ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทางหูก็เป็นเสียงต่างๆ เดี๋ยวเสียงดนตรี เดี๋ยวเสียงลม เดี๋ยวเสียงฝน ไม่มีความติดข้องใดๆ เลย ในสิ่งที่ปรากฏ กลิ่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอม กลิ่นไม่สะอาด กลิ่นเหม็นหรืออะไรก็ตามแต่ ก็ไม่มีเยื่อใย ไม่มีความต้องการในสิ่งที่ปรากฏ รสต่างๆ เกิดจริง ปรากฏจริง เพราะมีธรรมที่ทำให้ ธาตุที่กำลังลิ้มรส เกิดขึ้นรู้รส ในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร แต่ก็ไม่ติดข้อง สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย อย่างเจ้าชายศากยะทั้งหลาย ที่ปราสาทราชวัง กับแข็งในป่า บนหญ้า หรือที่ไหนก็ตามแต่ เหมือนกัน คือเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าอะไรทั้งโลก ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ติดข้องได้เลยสักอย่างเดียว

    ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเดือดร้อนอะไรไหม เห็นหรือไม่ แค่นี้เราก็มองไม่เห็นเลย ว่าความเดือดร้อน ความทุกข์ มาจากกิเลส เพราะอยากได้ เพราะต้องการ กว่าจะมาที่นี่ ไปหาอะไรกันมาบ้าง เยอะแยะก่อนจะมา บางคนหาเสื้อหาผ้าด้วย หาหมดเลย เต็มเลย เป็นทุกข์หรือเปล่า แต่ถ้าเรารู้ความจริง แล้วก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ยังมีความติดข้องมาก ดีหรือไม่ ที่จะรู้ความจริง ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง สามารถให้สิ่งที่สะสมไว้มากมาย ออกไปจนหมด ไม่เหลือเลย เกลี้ยงเกลาสนิท ไม่มีแม้แต่เชื้อที่จะทำให้เกิดอีกได้ นั่นคือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรารู้จักพระองค์หรือยัง และเราเข้าใจคำสอนบ้างไหม ถ้าเข้าใจคำสอนแค่ไหน ก็คือรู้จักแค่นั้น ยิ่งสามารถที่จะเข้าใจขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณของพระองค์

    เมื่อคืนนี้หลังจากที่ฟังธรรมแล้ว ก็คงจะมีการกราบพระ สวดมนต์หรือเปล่า สวดสั้นๆ หรือสวดยาวๆ สั้นๆ มีใครสวดยาวๆ ไหม สวดสั้นกับสวดยาวใช่ไหม สั้นๆ แค่ไหน ยาวๆ แค่ไหน ต่อให้ยาวแค่ไหนหรือสั้นแค่ไหน รู้พระคุณของพระองค์ ในขณะที่กำลังกล่าวคำสวดมนต์หรือเปล่า นี่เห็นแล้วใช่ไหม สวดก็สวดได้ แต่รู้มั้ยว่าคำสวดแต่ละคำ สรรเสริญพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทุกครั้งที่สวด

    เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากราบไหว้ และสวดมนต์ก่อนเข้าใจพระธรรมอย่างหนึ่ง แต่เมื่อคืนนี้พอรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ที่ระลึกได้ในขณะที่ไม่ลืมว่า เป็นธรรม คำนี้ได้ยินเพราะได้ทรงพระมหากรุณาแสดง ให้ผู้อื่นสามารถที่จะเข้าใจ แล้วเราก็ได้เข้าใจคำหนึ่ง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม การกราบระลึกถึงพระคุณเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เห็นไหม น้อยจนรู้สึกหรือเปล่า หรือเกือบไม่รู้สึกเลย เหมือนเดิม เพราะว่าที่ได้ฟังว่าเป็นธรรมก็หมดไปแล้ว แล้วขณะที่กลับก็ลืมไปด้วย ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ กว่าจะรู้ความจริงของพระธรรมได้ สะสมมาที่จะหลงลืม



    หมายเลข 162
    27 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ