ชุด อกุศลธรรม ๙ กอง แผ่นที่ 1 ตอนที่ 2


    ถ้าปัญญาไม่เกิด ไม่เจริญ ไม่มีอะไรที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจเพียงว่า การไม่บริโภคเนื้อสัตว์จะทำให้ดับกิเลส และ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ไปเรื่อยๆ โดยคิดว่ากิเลสจะลดน้อยลงไปเพราะการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็เป็นสีลัพพตุปาทาน เป็นการเข้าใจข้อปฏิบัติที่ผิด ทำให้ไม่สามารถอบรมเจริญข้อปฏิบัติที่ถูกได้

    มีท่านผู้ฟังที่ขอเวลาสนทนาด้วย และขอข้อปฏิบัติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ในชีวิตประจำวันซึ่งสอดคล้องกับการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ด้วย นี่เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ เพราะว่าการไม่บริโภคเนื้อสัตว์มีประโยชน์สำหรับสุขภาพร่างกาย ก็จริง แต่ก็มีผู้ที่เคยไม่บริโภคเนื้อสัตว์ และภายหลังก็บริโภคเนื้อสัตว์ เพราะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และลำบาก ไม่ใช่เป็นผู้ที่เลี้ยงง่าย

    ถ้าเป็นผู้ที่เห็นว่าการไม่บริโภคเนื้อสัตว์มีประโยชน์กับสุขภาพร่างกาย แต่ว่าแล้วแต่เหตุการณ์ คือ ไม่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนวุ่นวาย เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องบริโภคสิ่งอื่นก็สามารถบริโภคได้ โดยที่ไม่ยึดถือว่าจำเป็นต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็จะ เป็นทางสายกลางได้

    แต่ไม่ใช่หมายความว่า เมื่อมีผู้ที่สนใจจะไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่สมควร และคิดว่าการเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ด้วย นั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าการที่จะดับกิเลสได้ต้องเพราะปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง

    บางท่านเมื่อได้อ่านพระสูตรที่ว่า การเจริญอานาปานสติมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เช่น ข้อความใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อานาปานสังยุต เอกธรรมวรรคที่ ๑ ข้อ ๑๓๐๕ – ๑๓๔๗ ก็พยายามจะเจริญอานาปานสติ

    นี่เป็นเรื่องที่ผ่านพระสูตรบางตอน และพยายามจริงๆ ที่จะได้ผล เพราะว่า อานาปานสติมีผลมาก มีอานิสงส์มาก แต่ต้องเข้าใจว่าการที่อานาปานสติจะมีผลมาก มีอานิสงส์มากนั้น สำหรับผู้ที่สติระลึกลักษณะของลมหายใจ และปัญญารู้ชัดเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น เวลานี้กำลังเห็น กำลังได้ยิน สติระลึกที่ลมหายใจหรือเปล่า อานาปานสติที่จะมีผลมาก มีอานิสงส์มากนั้น สำหรับผู้ที่สติระลึกลักษณะของ ลมหายใจ ไม่ใช่ผู้ที่เจาะจงตั้งใจที่จะจดจ้องที่ลมหายใจ แต่ต้องเป็นผู้ที่สติระลึกที่ ลมหายใจ และปัญญารู้ชัด

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1394

    นาที 03:58

    ข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ได้แสดงแต่ผลมากอานิสงส์มากของอานาปานสติ ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อนุรุทธสังยุต รโหคตวรรคที่ ๑ ข้อ ๑๒๕๓ – ๑๒๙๙ พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นข้อความก่อนอานาปานสังยุต แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่รอบคอบ เมื่อเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานแล้ว สติระลึกที่ลมหายใจ ปัญญาต้องรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จึงจะมีอานิสงส์มาก มีผลมากได้

    สำหรับผู้ที่ไม่ได้เจาะจงทำอานาปานสติสมาธิ แต่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญ สติปัฏฐาน ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอยู่ตลอดเวลาที่จะสังเกตพิจารณาว่า ขณะนั้นเป็นสัมมาสติหรือเปล่า เพราะตามที่มีท่านผู้ฟังถามว่า ก่อนนอนควรจะเจริญสติไหม หรือว่าเมื่อตื่นนอนควรจะเจริญสติไหม ถ้าไม่ลืมข้อความที่ว่า ควรมีสติทุกเมื่อ จะไม่มีข้อสงสัยเลยว่าก่อนนอนควรจะเจริญสติไหม หรือว่าตื่นนอนแล้วควรจะเจริญสติไหม เพราะท่านผู้นั้นคงจะคิดว่า ควรที่จะให้สัมมาสติเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเอง แต่ขอให้ทราบว่า ในตอนเริ่มแรกที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ความเป็นตัวตน ความเป็นสัตว์บุคคลยังมีมาก เพราะฉะนั้น แม้ว่าในขณะนั้นเป็นสติที่เกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ความเป็นตัวตนยังมีอยู่จึงดูเสมือนว่า เราทำสติ หรือว่าเราเจริญสติ จนกว่าปัญญาจะพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏค่อยๆ เพิ่มขึ้น และค่อยๆ ละคลายความเป็นเราที่กำลังเจริญสติออก จึงจะเป็นสติเจริญขึ้น

    นี่เป็นความละเอียดที่จะต้องสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่า ปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ย่อมทำกิจละ แต่ถ้าปัญญานั้นยังไม่พอ ก็ต้องอบรมเจริญสติ โดยการระลึกอยู่เสมอว่า ควรมีสติทุกเมื่อ

    ถ้าระลึกถึงพระธรรมที่ว่า ควรมีสติทุกเมื่อ ก็จะเป็นผู้ที่สะสมสติ โดยที่ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะนิ่ง จะคิด จะหยิบหนังสือ จะบริโภคอาหาร หรือจะทำอะไรก็ตาม สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งแต่ก่อนนี้สติคงจะไม่เกิดถ้าไม่รู้ว่าสติปัฏฐานมีลักษณะอย่างไร คือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ แม้ว่าปัญญายังรู้ไม่ชัด จะไปฝืนให้ปัญญารู้ชัดทันทีก็ไม่ได้ แต่จะรู้ว่าที่ปัญญาจะค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมขึ้น ก็ในขณะที่ สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ทางตาเห็น ทางหูกำลังได้ยิน ทางจมูกอาจจะมีกลิ่นปรากฏหรือไม่มี ทางลิ้น ทางกายกระทบสิ่งที่สัมผัส เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ทางใจกำลังคิดนึก ควรมีสติทุกเมื่อ ขณะนี้อาจจะเป็นปัจจัยทำให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ปัญญายังไม่รู้ชัด เป็นเรื่องของปัญญาซึ่งจะต้องค่อยๆ เจริญขึ้น อย่ากังวล และควรจะรู้ว่า ขณะนั้นสติเกิดชั่วขณะหนึ่ง และสติก็ต้องดับ สติจะระลึกที่สิ่งที่อ่อน หรือที่แข็ง หรือที่เย็น หรือระลึกที่ริมฝีปากที่กำลังกระทบกัน หรือที่เสียง หรือที่สภาพรู้ อะไรๆ ก็ได้ ระลึกก่อน แม้ว่าปัญญายังไม่รู้ชัด แต่ให้เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นขณะที่สติเกิด และการศึกษาลักษณะของสภาพธรรม ต้องเจริญขึ้นทีละน้อยในขณะที่สติระลึก คือ เพิ่มการรู้ลักษณะของสภาพรู้ หรือสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ แยกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมออก ตลอดไปในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกี่ชาติก็ตาม จนกว่าลักษณะของนามธรรมจะปรากฏทางมโนทวาร ลักษณะของรูปธรรมจะปรากฏทางมโนทวาร โดยจะต้องสังเกตว่า ต้องมีการละคลายด้วย อย่ามีการจดจ้องต้องการที่จะทำอยู่ตลอดเวลา

    นี่คือสิ่งซึ่งละเอียดที่จะต้องพิจารณา เพราะบางคนถามว่า ถ้าหาปัจจัยให้สติเกิด เช่น สนทนาธรรมกับสหายธรรมในเรื่องของอภิธรรมบ้าง ในเรื่องของการเจริญ สติปัฏฐานบ้าง ก็รู้ว่าขณะนั้นย่อมเป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญขึ้น เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้ระลึกถึงลักษณะของสภาพธรรม จะโดยขั้นการฟังหรือว่าโดยขั้นการคิด หรือจะโดยขั้นที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็แล้วแต่ จะมิใช่เหมือนกับเป็นการจงใจหรือ นี่เป็นความคิดซึ่งคิดว่าจะมีความจงใจแอบแฝงอยู่ จะไม่เป็นสัมมาสติ

    แต่ต้องพิจารณาว่า ใครก็ตามที่จะอ่านพระไตรปิฎก หยิบหนังสือขึ้นมา และ คิดว่าเพื่อให้สติเกิดในขณะที่กำลังอ่าน ขณะนั้นผิด แต่ถ้าอ่านเพื่อที่จะเข้าใจ และรู้ว่าจะเป็นปัจจัยเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิด สติอาจจะเกิดหลังจากที่อ่านจบปิดหนังสือ และเอาหนังสือไปเก็บ หรืออาจจะหลังจากนั้นอีกนานก็ได้ หรือแม้แต่ในขณะที่กำลังอ่านนั้นเองก็อาจจะระลึกได้ว่า ทางตาที่กำลังเห็น ต่างกับทางใจที่กำลังคิดคำที่กำลังอ่าน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจุดประสงค์จงใจที่จะให้สติเกิดในขณะนั้นในขณะนี้ ย่อมเป็นสัมมาสติ แต่ถ้าอ่านเพราะคิดว่าเพื่อให้สติเกิดในขณะที่กำลังอ่าน ขณะนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะว่ามีความต้องการ มีความจงใจ มีความตั้งใจ ไม่เห็นว่า สติเป็นอนัตตา

    แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้เหตุปัจจัยว่าปัญญาจะเจริญได้อย่างไร และรู้ว่าสติจะเกิดในขณะไหนก็ย่อมได้ ก็จะเป็นผู้ที่ระลึกได้ว่า ควรมีสติทุกเมื่อ แม้ว่าในระหว่างที่สติ ยังไม่เจริญจนกระทั่งปัญญารู้ชัด ขณะนั้นก็ยังเห็นว่า ขณะที่มีสติต่างกับขณะที่หลงลืมสติ

    เพราะฉะนั้น คงจะไม่มีปัญหาต่อไปว่า ขณะนั้นควรจะเจริญสติไหม ขณะนี้ควรจะเจริญสติไหม เพราะว่าควรมีสติทุกเมื่อ แต่ต้องระวังความจงใจหรือความต้องการ หรือโลภะซึ่งแฝงอยู่ ที่อยากจะให้มีสติตอนที่อยู่ตามลำพังคนเดียวบ้าง หรือในขณะที่กำลังสนทนาธรรม หรือในขณะที่กำลังอ่านธรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นจะต้องสังเกต และต้องคลายการที่มีความต้องการอย่างนั้น มิฉะนั้น ความต้องการอย่างนั้น จะทำให้เป็นผู้ที่มุ่ง และจงใจ และพากเพียร และจดจ้อง ซึ่งแสนเหนื่อย โดยที่ ผลน้อยจริงๆ เพราะว่ามีความพากเพียรพยายามทำ จนกระทั่งเหมือนกับเป็นการฝืนให้ปัญญาเกิด โดยที่เหตุยังไม่สมควรแก่ผล

    อวิชชา ความไม่รู้ เป็นอาสวะ โลภะ ความต้องการ เป็นทั้งกามาสวะ และภวาสวะ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ซึ่งปัญญายังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉทเป็นทิฏฐาสวะ เพราะฉะนั้น เมื่อกิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียด และละยาก ข้อปฏิบัติก็ต้องละเอียด และต้องเป็นผู้ที่รอบคอบจริงๆ มิฉะนั้น จะทำให้การปฏิบัติผิดได้

    ถ้ามีท่านผู้หนึ่งผู้ใดคิดว่า อยากจะไปปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรถึงจะละความอยากในขณะนั้นได้ หรือว่าจะตามความอยากนั้นไปเลย

    นี่เป็นความละเอียดที่จะต้องระลึกได้สังเกตได้แล้วว่า ขณะที่คิดอยากจะไปปฏิบัติธรรม ทำไมสติไม่เกิดขึ้นปฏิบัติธรรมทันที โดยระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าใครอยากจะไปปฏิบัติธรรม และก็ไป ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะพิจารณาว่า ตอนที่กำลังอยากจะปฏิบัติธรรมในขณะนั้น ทำอย่างไรจึงจะละความอยากไปปฏิบัติธรรมในขณะนั้นได้ หรือว่าไม่มีหนทางเลย

    แต่หนทางมี คือ เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ระลึกสภาพของความต้องการในขณะนั้นทันที ระลึกลักษณะของเห็นในขณะนั้นทันที ระลึกลักษณะของเสียง ในขณะนั้นทันที ระลึกลักษณะของการคิดนึก หรือว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนาต่างๆ ในขณะนั้นทันที มิฉะนั้นจะไม่มีอะไรที่จะไปละความต้องการที่คิดว่าอยากไปปฏิบัติธรรม ซึ่งขณะนั้นที่อยาก ต้องเป็นสิ่งที่ปัญญาต้องละด้วย

    ใน สัมโมหวิโนทนี ปฏิจจสมุปปาท วิภังคนิทเทส พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุปาทาน ๔ โดยลำดับของเทศนา คือ ทรงเทศนากามุปาทานก่อน เพราะว่า มีอารมณ์มาก และเพราะปรากฏ

    ไม่มีใครไม่รู้ตัวว่า ติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแค่ไหน ทุกคนรู้ดี วันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยความต้องการรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงเทศนากามุปาทานก่อน เพราะว่ามีอารมณ์มาก และเพราะปรากฏ

    นอกจากนั้น กามุปาทานยังเกิดกับโลภมูลจิตทั้ง ๘ ดวง อุปาทานอื่นนอกจากนี้มีอารมณ์น้อย และเกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวงเท่านั้น เพราะว่าเป็น ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นอัตตวาทุปาทาน ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน

    เวลาที่ทุกคนขยันทำงานทุกวันๆ เคยระลึกบ้างหรือเปล่าว่า เป็นกามุปาทาน หรือรู้แต่ชื่อ เวลาที่บอกชื่อก็ทราบว่า ความยินดี พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นความติดอย่างมาก แต่เวลาที่ขยันทำงาน มุ่งที่จะทำงาน ทุกคนต้องทำงานทุกวัน แต่ขณะนั้นพิจารณาหรือเปล่าว่า นั่นคือลักษณะของกามุปาทาน ความติดในงาน ซึ่งไม่พ้นไปจากความติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    ผู้ที่มีกามุปาทาน ย่อมเป็นผู้ที่มากไปด้วยการถือมงคลตื่นข่าวเป็นต้น เพื่อบรรลุวัตถุกามทั้งหลาย

    ถ้าเป็นผู้ที่ทำธุรกิจการค้า อาจจะแสวงหาวัตถุมงคลเพื่อให้กิจการค้านั้นเจริญ ก็เป็นมงคลตื่นข่าว เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กายที่จะกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดีๆ ต้องเป็นกุศลวิบาก คือ เป็นผลของกุศลกรรมของตนเอง ไม่ใช่วัตถุอื่นที่สามารถเป็นปัจจัยทำให้ตาเห็นสิ่งที่ดี หูได้ยินเสียงที่ดี จมูกได้กลิ่นที่ดี ลิ้นได้รสที่ดี กายได้รับกระทบสัมผัสที่ดี แต่ผู้ที่มีกามุปาทาน เมื่อมีการติดยึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมเป็นผู้ที่ยังคงติดยึดถือมงคล ตื่นข่าวเพื่อที่จะได้บรรลุวัตถุกามเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงเทศนาทิฏฐุปาทานเป็นลำดับต่อจากกามุปาทาน

    ถ้าใครยังถือมงคลตื่นข่าว ควรที่จะระลึกได้ทันทีว่า เป็นผู้ที่ยังติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะมาก และขณะนั้นเป็นทิฏฐุปาทาน เป็นความเห็นผิด เพราะว่าไม่ได้เข้าใจเรื่องของกรรม คือ กัมมัสสกตาญาณ จริงๆ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1395



    หมายเลข 163
    2 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ