อกุศลธรรม ๙ กอง แผ่นที่ 2 ตอนที่ 9
เรื่องการคบหาสมาคมเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่เป็นอุปนิสสยปัจจัย คือ เป็นปัจจัยที่มีกำลัง ถ้าขาดการคบหาสมาคมกับพระธรรม คือ ขาดการฟังบ่อยๆ หรือขาดการอ่าน ขาดการสนทนาธรรม ซึ่งชีวิตประจำวันทุกวัน และทั้งวัน โอกาสของกิเลสมีมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การได้ฟังพระธรรม หรือพิจารณาธรรม หรือสนทนาธรรม เป็นเพียงโอกาสที่สั้น และเล็กน้อยมากที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่ฟัง แต่เวลาที่เกิดการไม่ฟัง หรือเกิดการสนใจที่น้อยลง จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นการเปิดช่องให้กิเลสที่มีอยู่แล้ว ในชีวิตประจำวัน มีโอกาสที่จะมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกจากการไม่ฟังธรรม จากการ ไม่พิจารณาธรรม จากการไม่สนทนาธรรม
แต่อีกท่านหนึ่งซึ่งเรียนมาด้วยกัน ฟังมาด้วยกัน สนทนาธรรมมาด้วยกัน ผู้นั้นยังคงอ่านพระธรรมเป็นประจำ และยังสนทนาธรรมเป็นประจำ เพราะฉะนั้น ท่านผู้นั้นก็กล่าวว่า ความสนใจในพระธรรมของท่านเพิ่ม มั่นคงขึ้น แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเหตุปัจจัย สำหรับท่านที่คบหากับพระธรรม ก็มีความสนใจในพระธรรมเพิ่มขึ้น แต่ท่านที่คบหากับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีความยินดี ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ เพราะถ้าลดโอกาสของกุศลลง อกุศลที่มีกำลังอยู่แล้วจะมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกทุกๆ วัน สะสมไปที่จะมีกำลังเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่ายังไม่สามารถชนะกิเลสได้ ก็ขอเพียงฟัง ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงอย่าขาดการฟัง แต่ถ้ารู้ตัวเองว่า แม้เพียงการฟังก็ชักจะไม่ค่อยสนใจ หรือไม่มีศรัทธาพอที่จะฟัง ขณะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงกำลังของการคบหาสมาคมกับอกุศลซึ่งมีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ จนแม้แต่การฟังก็ไม่ฟัง
ถ้าทุกท่านจะมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง คงจะชื่อว่าคุณประมาท เพราะถ้าไม่ระวังจริงๆ กุศลที่เคยมีเป็นปกติเป็นประจำแล้วเสื่อมไป ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่ประมาทแล้ว และบางคนก็ประมาทมาก เพราะฉะนั้น ก็เตือนตัวเองว่า อีกชื่อหนึ่งของทุกคน ไม่ว่าจะชื่ออะไรกันก็ตามแต่ แต่อีกชื่อหนึ่ง คือ คุณประมาท
บางคนก็มีความประมาทในความเข้าใจธรรมหรือในกุศลที่สะสมมา คิดว่ามั่นคงแล้ว จนกระทั่งถึงกับอยากจะทดลองกำลังของกิเลส นี่ก็เป็นผู้ที่ประมาท เพิ่มขึ้นไปอีก คือ ช่างไม่รู้เลยว่าอวิชชา และโลภะมีกำลังมากแค่ไหน ไม่ควรเลยที่ ใครจะไปทดลองกำลังของอวิชชา และโลภะ เพราะว่ามีกำลังอยู่ตลอดเวลาที่ สติปัฏฐานไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม
ถ้าจะอุปมา ก็เหมือนกับภพภูมิข้างหน้าเป็นอบายภูมิ พระธรรม และ กุศลทั้งหลายในชาตินี้ เหมือนเชือกที่ทุกท่านกำลังจับอยู่ที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเอง ตกลงไปสู่อบายภูมิ แต่ถ้ากำลังที่จับนั้นอ่อนลงจนกระทั่งปล่อยมือจากพระธรรม ก็เป็นการแน่นอนว่าจะไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม และอกุศลธรรมที่ได้กระทำแล้วก็มีโอกาสที่จะทำให้ตกไปสู่อบายภูมิได้ โดยเฉพาะตกไปสู่เหวของอวิชชาซึ่งยากแสนยากที่จะขึ้นมาได้ เพราะว่าเป็นเหวลึก เพราะฉะนั้น ทางที่ดีทางหนึ่ง คือ อย่าลืมอีกชื่อหนึ่งของทุกคนว่าชื่อคุณประมาท
มีใครไม่ได้ชื่อนี้บ้างไหม
ถ้าเตือนตัวเองก็มีประโยชน์ เพราะจะทำให้เป็นผู้ที่มีจุดหมายที่มั่นคงในชีวิต คือ ไม่ว่าจะมีความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะว่ายังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท แต่ก็มีความมั่นคงที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม
ผู้ฟัง ผู้ที่ศึกษาธรรมแล้ว มีความเข้าใจบ้างแล้ว สติปัฏฐานก็เป็นแล้ว และเขาก็เป็นคุณประมาทอย่างที่อาจารย์ว่า ผมเองบางครั้งก็ได้ชื่อว่าคุณประมาท เพราะเคยมีความรู้สึกว่า ธรรม บางครั้งมันเซ็งๆ เนือยๆ เพราะไม่เหมือนกับที่อื่นเขา เขาไปนั่ง และเห็นอะไรๆ วูบวาบๆ กันได้ เขาก็ตื่นเต้นกันไป แห่แหนกันไปก็มากมาย แต่อย่างที่อาจารย์บรรยายอยู่นี่ เป็นธรรมจักรจริงๆ เมื่อเป็นธรรมจักรแล้ว ก็ยาก เมื่อยากก็รู้สึกว่า ไม่เห็นอะไร ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ท่านอาจารย์ มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ แต่ก็รู้สึกว่า ไม่เห็นอะไร กำลังเห็นเป็นธรรมกำลังได้ยินเป็นธรรม ชีวิตประจำวันไม่พ้นจากธรรม แต่ก็ไม่เห็นอะไร คำพูดนี้ก็จริง เพราะต้องเป็นปัญญาที่เห็น และที่จะเห็นว่าเป็นธรรมได้ ไม่ใช่เพียงขั้นการฟังเข้าใจ เพราะว่าขั้นการฟังเข้าใจเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้วเรื่องฟัง เรื่องเข้าใจ แต่สภาพธรรม ไม่หมด เกิดมาแล้วที่สภาพธรรมจะหมด ไม่มี กำลังเห็นเป็นธรรม กำลังได้ยิน เป็นธรรม ตลอดชีวิตเป็นธรรม แต่ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ที่แม้จะได้ฟัง และเข้าใจว่าธรรมคือขณะปกติธรรมดาอย่างนี้ แต่ความไม่เข้าใจหรืออวิชชาที่สะสมมา และกิเลสบริวารทั้งหลายที่มีมาก ก็ทำให้เนือยไป รู้สึกว่า เป็นเรื่องธรรมดาๆ คิดว่าเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ปล่อยไป ปล่อยไปจนกว่า สติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไรก็เมื่อนั้น นั่นชื่อว่าเป็นคุณประมาท แต่ถ้าขณะนั้นมีความเข้าใจเกิดขึ้นว่า ศรัทธาเสื่อมลง ความสนใจธรรมลดลง ก็ควรเป็นโอกาสของ โยนิโสมนสิการที่จะรู้ว่า ต้องคบหาสมาคมกับพระธรรมเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็จะปล่อยตัวเองให้เป็นมือที่จับเชือกซึ่งอ่อนแรงลง และตกลงสู่เหวของอวิชชาอีกได้
ผู้ฟัง แต่สำหรับตัวเองคงไม่เป็นอย่างเขา เพราะได้คบกับพระธรรมทุกวัน กลับไปตอนกลางคืน อาจารย์ไม่มีบรรยาย ผมก็ต้องหาเทปมาชดเชย เพราะม้วน เก่าๆ ก็ยังใช้ได้ แต่ก็มีบางครั้ง มีเหมือนกันที่เป็นคุณประมาท
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคนที่ยังมีโลภะ โทสะ โมหะ มีกิเลส ทุกอย่างครบ เมื่อยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ก็มีโอกาสของอกุศลที่จะเกิดบ่อยมาก ซึ่งอกุศลทั้งหลายค่อยๆ เกิด ค่อยๆ สะสม ค่อยๆ มีกำลังเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่เคยมีศรัทธา และรู้ว่าศรัทธาอ่อนลง ก็ต้องรู้หนทางว่า ถ้ายังไม่คบหาสมาคมกับพระธรรมเหมือนเดิม อกุศลทั้งหลายก็ต้องมีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะว่าเปิดโอกาสให้อกุศลมีกำลัง ถ้ามีความเข้าใจถูกอย่างนี้ก็จะเป็นผู้ที่ประมาทน้อยลง
แต่ถ้าทุกคนจะเตือนตัวเองว่าเป็นคุณประมาทก็ดี เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น ขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอย่างนั้น ที่จะไม่ชื่อว่าคุณประมาท ในวันหนึ่งๆ ก็รู้ได้ คือ ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นไม่ชื่อว่าคุณประมาท
ที่มา ...