รู้ชื่อ จำคำ จำชื่อ โดยไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของธรรม
อ.ธิดารัตน์ เมื่อเช้าคุยกับพี่อรวรรณ เล่าว่า ไปเที่ยวทะเลมา ก็บอกว่าคิดถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับทะเลที่เป็นธรรมะ ก็เป็นการไตร่ตรองที่เป็นชื่อเป็นเรื่อง ก็สนทนาว่าแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่มีหรือ ทะเลไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือ พี่ก็บอกว่าไม่ได้คิด เพราะว่าการศึกษาชื่อ ศึกษาเรื่อง เราก็จะไปจำชื่อ จำเรื่อง แล้วก็ลักษณะที่มีที่ปรากฎก่อนที่จะเป็นชื่อ เป็นเรื่อง ซึ่งเป็นสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ส่วนใหญ่จะถูกมองข้ามไป แล้วก็บางครั้งก็พยายาม เช่น คุณพรทิพย์ก็บอกว่าจิต ใช้คำว่าจิต แต่ก็ไม่ได้รู้จักลักษณะของจิตจริงๆ แล้วเราก็คิดว่าเราใช้คำว่าจิต เราจะเริ่มรู้จักจิตขึ้นบ้างแล้ว แต่จริงๆ ก็เพียงแต่จำคำใหม่เพิ่มขึ้นอีกคำหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้เข้าใจว่าลักษณะของจิตขณะนี้เป็นอย่างไร ก็เหมือนกับเราจำชื่อคำว่าจิตโดยที่เราก็ยังไม่รู้จักตัวจริง เหมือนกับเราจำชื่อคำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งก็จำกันแม่นว่าต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตามีสภาพเห็น แต่สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นปรากฏลักษณะจริงๆ หรือยัง ก็คือยังไม่ได้รู้จักลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ยังไม่รู้จักสภาพเห็นที่เป็นธาตุรู้จริงๆ ที่ท่านอาจารย์ท่านถามย้ำว่าเมื่อสักครู่ที่ให้หลายท่านช่วยกันตอบ เพราะว่าเราตอบเป็นคำ เป็นชื่อ ตอบกันคล่องมากเลย แต่ลักษณะจริงๆ ยังไม่ได้เข้าถึงลักษณะจริงๆ เพราะว่าเราไปคิดเป็นคำ เป็นชื่อหมดเลย แม้มีสภาพธรรมปรากฏอยู่ บางทีกล่าวว่า โลภะเกิด มีคำว่าโลภะ แล้วคิดถึงคำว่าโลภะ หรือว่าคิดถึงลักษณะของโลภะ แต่ไม่ได้ รู้ลักษณะของโลภะที่กำลังปรากฏจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น หรือลักษณะของโทสะที่พี่สุกัญญาชอบถามบ่อยๆ ก็ตาม ก็คือเราไปคิดถึง เรื่องของลักษณะของโทสะ แต่ไม่ใช่ขณะที่โทสะกำลังปรากฏ
ผู้ฟัง ช่วงหลังๆ ถ้าใครพูดคำว่าแยก แบ่ง ก็จะถูกท่านอาจารย์ท้วง ก็จะไม่เข้าใจว่าเมื่อเริ่มศึกษาเนี่ย ก็เริ่มต้นแบบก่อนศึกษาก็คิดว่า เห็น ได้ยิน เป็นเราทั้งหมด อะไรก็เป็นเรา คือมีเราที่เห็น ได้ยิน คิดนึก อะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อมาศึกษาก็จะเข้าใจว่าเป็นจิต จิตเห็น จิตได้ยิน ทำไม่ได้ ต้องเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด แต่ในการศึกษาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรง เริ่มจากว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ก็แยกเป็นรูปเป็นนาม
ท่านอาจารย์ แยกอีกแล้ว
ผู้ฟัง ก็จะให้ชัดเจนคำนี้
ท่านอาจารย์ ทรงแสดงความจริงว่าจิตไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป ใครจะต้องไปแยกความจริงเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เอาตำรามา เอาเส้นมาขีด อันนี้แยกจากอันนั้นไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงก็คือ จิตไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป เพราะฉะนั้นก็แสดงความจริงของธรรมแต่ละอย่างเพื่อให้เข้าใจ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นที่ว่าความจริงมีจิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะว่าแต่ละลักษณะจะไม่เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จิตก็เป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปก็เป็นรูป นิพพานก็เป็นนิพพาน โทสะก็เป็นโทสะ โลภะก็เป็นโลภะ
จะไปแยกหรือว่าเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าเป็นแต่ละหนึ่งๆ มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นที่พระองค์ทรงกล่าวความจริงเป็นเช่นนั้น ก็กล่าวให้ผู้ศึกษารู้
ท่านอาจารย์ รู้หมด พูดถึงความจริง แต่คนฟังก็คิดว่าให้ทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ แต่ที่ถูกก็คือว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ทรงแสดงความจริงเพื่อให้เข้าใจได้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น
ผู้ฟัง แล้วการที่กล่าวในหลายนัย เช่นบางครั้งก็กล่าวว่า เหตุ อเหตุกะ โสภณ อะไรพวกนี้ก็คือให้เข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ จิตก็เป็นอย่างนั้น จิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ก็จะไปใช้คำอะไร นอกจาก อะ ไม่มี เห- ตุ เหตุเกิดร่วมด้วย ก็พูดตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ผู้ฟังเมื่อศึกษาเข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรง
ท่านอาจารย์ แยกอีก แบ่งอีก ไม่ใช่
ผู้ฟัง ตรัสความจริงว่าเป็นเช่นนี้
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ตรัสความจริงที่เป็นอย่างนั้นให้เข้าใจให้ถูกต้องค่ะ
ผู้ฟัง ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตาม
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมต้องเข้าใจจริงๆ เพื่อละความไม่รู้ แล้วจะรู้ว่าคำพูดที่เคยพูด อะไรที่ไม่จริง ไม่ถูก ก็ไม่พูดอีก
ผู้ฟัง ไม่ใช่มีการแบ่งหรือแยก เพราะว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้จะแบ่งจิตรึเปล่าคะ
ผู้ฟัง ก็ทรงอธิบายในหลายนัยเพราะว่าจริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น ก็ให้เข้าใจตามนี้
อ.กุลวิไล ภาษาหรือคำพูดที่จะส่องให้ถึงตัวจริงของธรรม ท่านอาจารย์กำลังขัดเกลาพวกเรา เพราะว่าเราชินกับความเป็นสัตว์บุคคลตัวตน แม้แต่ภาษาที่พูด แต่ท่านอาจารย์อธิบายให้เราเข้าหาตัวจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งก็คือธรรมะทั้งหมด
ผู้ฟัง เรื่องชื่อของธรรม เมื่อก่อนก็เคยไปศึกษาธรรมะก็จะรู้จักแต่ชื่อ จิต ๘๙ ดวงมีโลภมูลจิต โทสมูลจิต มีจักขุวิญญาณ ก็จะรู้จักแต่ชื่อว่าจักขุวิญญาณก็เป็นวิบากจิต เห็นสิ่งที่ดีบ้าง เห็นสิ่งที่ไม่ดีบ้าง ก็ได้รู้จักแต่เรื่องราว แต่ท่านอาจารย์จะบรรยายให้เห็นถึงตัวลักษณะสภาพธรรม ถ้าสิ่งที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าจิตเห็นที่เป็นธาตุรู้ไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏนี้ปรากฏได้เมื่อธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ท่านอาจารย์แสดงให้เห็นถึงธาตุรู้ ธาตุเห็นคือลักษณะตัวธรรมะจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ก็เคยกล่าวเสมอว่าธรรมคำเดียวอย่ามองข้ามไป ให้เข้าใจจริงๆ ถึงตัวสภาพธรรมจริงๆ เพียงคำเดียว ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
ผู้ฟัง แต่ก็จะต้องเริ่มต้นจากการเรียนแบบนั้นมาก่อนไม่ใช่หรือ
ท่านอาจารย์ แบบไหน
ผู้ฟัง ที่จะต้องรู้ว่าจิตมีกี่ประเภท
ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จักจิตเลย เดี๋ยวนี้จิตเป็นอะไร เรียนแล้ว
ผู้ฟัง จิตเป็นธาตุรู้
ท่านอาจารย์ จิตมีกี่ประเภท เดี๋ยวนี้จิตเป็นอะไร ประเภทไหน
ผู้ฟัง ขณะนี้เป็นจิตเห็น
ท่านอาจารย์ ประเภทไหน
ผู้ฟัง จักขุวิญญาณ
ท่านอาจารย์ ก็ตอบได้เลย เป็นชาติอะไร
ผู้ฟัง วิบากจิต
ท่านอาจารย์ และรู้จักจิตเห็นไหม ว่าเป็นธรรมะที่เกิดแล้วก็ดับ มีจริงๆ
ผู้ฟัง แต่ต้องเริ่มมาจากตรงโน้นก่อน ถูกไหมคะ
ท่านอาจารย์ เริ่มชื่อ หรือว่า รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นจะฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องไปอ้อมไปไหนเลย
เพราะฟังแล้วก็มาถามว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร เห็นเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ชื่อจำได้หมดเลย และเดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ และก็มีเห็นจริงๆ จะเข้าใจเห็นจะ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เป็นธรรมะที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะขณะนี้เป็นอย่างนี้ จะเรียกชื่ออะไรก็แล้วแต่ภาษาอะไร แต่ถ้าเราบอกว่าจิตเห็นเป็นวิบาก แล้วก็อาศัยจักขุปสาทะ เห็นรูปารมณ์ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ เข้าใจว่าเห็นขณะนี้ไม่ใช่เรา เป็นธรรมหรือเปล่า หรือต้องมานั่งท่องว่าเห็นเป็นสิ่งที่กำลังมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท
ผู้ฟัง การศึกษาก็จะต้องศึกษาจากสิ่งที่มีจริงๆ ก่อน แล้วก็ค่อยไปรู้ว่าขณะนี้มีเจตสิกประกอบด้วย๗ อย่างนั้น
ท่านอาจารย์ คุณพรทิพย์มีเห็นตลอดชีวิต ตายไปด้วยการจำว่า จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ
ผู้ฟัง ชาติหน้าก็ต้องไปเรียนอย่างนี้อีก
ท่านอาจารย์ ชาติหน้าก็มีเห็น แล้วไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร อาจจะไม่ใช้ภาษาไทยอีกก็ได้ แล้วก็ยังไม่รู้จักเห็นจนแล้วจนรอด เรียนเพื่อจำชื่อคิดว่าต้องตั้งต้นอย่างนั้น หรือว่าเรียนเพราะรู้ว่ามีธรรมะตลอดเวลา แค่นี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วก็จะไม่รู้ตลอดชีวิตถ้าไม่ได้ฟังเข้าใจ
ผู้ฟัง วันนี้ที่มีคนใหม่ที่เข้ามาศึกษาวันแรกวันนี้ ก็นับว่าเป็นโอกาสดีมากเลยนะคะ ที่เขาได้มาเข้ามา ก็ได้ฟังตรงนี้
ท่านอาจารย์ ความจริง
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ