สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกที่มั่นคงขึ้น


    ผู้ฟัง นั่นหมายถึงว่า ที่พระองค์ทรงกล่าวโดยหลายนัย เช่น ปรมัตถธรรมมี ๔ อริยสัจจ์ ๔ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ก็เพื่อให้เข้าใจว่าเขาเป็นธรรม เป็นแต่ละลักษณะ และเป็นอนัตตาอย่างไร และก็เป็นขณะนี้อย่างไรด้วย เช่น เมื่อก่อนท่องขันธ์ ๕ รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ไม่รู้ว่าขณะเห็นก็เป็นขันธ์ครบ ซึ่งเมื่อศึกษาให้เข้าใจขณะนี้ ก็สามารถเข้าใจได้ว่า ขันธ์ก็ไม่ได้ท่องแบบนั้น แต่ก็คือขณะเห็น ได้ยินขณะนี้เอง ขณะคิดนึกเป็นขันธ์ เป็นธาตุอย่างไร ซึ่งความเข้าใจเช่นนี้ เมื่อบ่อยๆ เนืองๆ แล้วก็ฟังมาก ก็จะสามารถที่จะน้อมไป เข้าหาลักษณะที่ปรากฏขณะนี้ได้ ปัญญาก็จะเจริญขึ้น

    ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นจากปุถุชน ก็ไม่มีทางที่จะเป็นพระอริยบุคคล ถ้าไม่มีการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ที่มั่นคงขึ้น

    ผู้ฟัง อย่างกลุ่มสนทนาธรรม เวลาพูดถึงขันธ์ ถึงอายตนะ ก็พูดว่าธรรมขณะนี้ ไม่ใช่อยู่ในตำรา ไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย แต่มันก็เป็นการพูดจากความจำ โดยที่ปัญญาขั้นที่จะรู้ตรงนั้น ยังไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดพร้อมเจตสิก จิตเห็นขณะนี้ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร

    ผู้ฟัง ๗ เจตสิก

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง เกิดที่ไหน จิตเห็นก็เกิดที่จักขุปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ รู้หรือ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ค่ะ แต่ศึกษาก็รู้

    ท่านอาจารย์ ใช่ ก็เท่านั้นเอง เพราะว่ายังไม่รู้เห็นเลย แล้วจะไปรู้ที่เกิดของจิตเห็นได้อย่างไร แต่จากการฟังก็เห็นความเป็นอนัตตา แม้แต่จิตเห็น ก็เกิดที่จักขุปสาท ภวังคจิตไม่ได้เกิดที่จักขุปสาท ทันทีที่จิตเห็นดับไปแล้ว จิตอื่นเกิดต่อ ก็ไม่ได้เกิดที่จักขุปสาท นี่คือความละเอียด ให้เห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีใครไปบังคับบัญชา แต่ไม่ใช่ให้ไปท่องจำ แต่ให้เข้าใจความเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ความเป็นอนัตตา แต่อย่างที่ทราบว่าทุกคนก็คือสะสมมาที่จะเป็นเรา หรือมีความเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตา ยังเหนียวแน่นมาก ก็คงค่อยๆ ฟัง เพราะมากจริงๆ กราบอนุโมทนาค่ะ ฟังต่อไป

    อ.กุลวิไล เชิญคุณเมตตา

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ และอาจารย์วิทยากรทุกท่าน หนูก็สนทนาถึงเรื่องที่ว่าการฟังพระธรรม และการศึกษาพระธรรม ถ้าศึกษา และฟังแต่เรื่องราวนี้ ก็จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะท่านอาจารย์จะกล่าวเสมอว่า ต้องให้เข้าใจ การศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจ เข้าใจถึงตัวลักษณะ การเข้าใจพระธรรม ต้องน้อมประพฤติปฏิบัติตาม การน้อมก็ไม่ใช่ว่าตัวตนที่น้อม ก็คือความเข้าใจความจริงเป็นอย่างนั้น น้อมที่จะเข้าใจความจริงตรงนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจไป อย่างที่อาจารย์ธิดารัตน์กล่าว ธรรมไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ แต่เมื่อเราเข้าใจความจริงแล้ว ความจริงเป็นอย่างนั้น น้อมเข้าใจความจริงตรงนั้น สักวันหนึ่งท่านก็สามารถที่จะเข้าใจได้ สามารถที่จะรู้ความจริงตรงนั้นได้

    อ.กุลวิไล ขอเชิญสหายธรรม จากบ้านธัมมะที่เชียงใหม่ คุณชุมพรเชิญค่ะ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์แล้วก็อาจารย์วิทยากรทุกท่านค่ะ พอดีฟังปัญหาที่ต่อเนื่องกับพี่อรวรรณ หรือสหายธรรมที่กรุงเทพ ก็ทำให้ตัวเองเกิดความสงสัย คือจริงๆ แล้วการศึกษาธรรมเริ่มด้วยชื่อใช่ไหม แต่ก็มีความเข้าใจว่า จะต้องเริ่มรู้จักคำว่า ธรรมแล้วก็ต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ที่นี่การศึกษา ก็เหมือนกับเมื่อได้ฟังว่า จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เหมือนกับมีความคิดว่า ก็ห้ามไม่ได้ที่จะให้ไปคิด เพราะว่าห้ามไม่ให้ความอยากรู้ ที่จะไปรู้สิ่งที่ยังไม่สมควรที่จะรู้ได้ ตัวเองคิดอย่างนั้น ก็อยากจะขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่า การศึกษาเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ ที่ตัวเองสามารถที่จะรู้ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปไขว่คว้า หาสิ่งที่ตัวเองยังไม่มีความเข้าใจที่จะไปรู้ได้ ท่านอาจารย์จะกรุณาแนะนำ สิ่งที่ค่อยๆ รู้ไปตามลำดับ ควรจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความละเอียด คุณชุมพรเริ่มตั้งแต่เมื่อเริ่มศึกษาธรรม ใช่ไหม ก็ต้องรู้ว่า ธรรมคืออะไร นี่คือความละเอียด ถ้ายังไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร ก็คือว่าไม่ได้ศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นตัวจริงๆ ของธรรมมีหรือเปล่า นี่คือความละเอียด หรือว่ามีแต่ชื่อเรื่องราวของธรรม

    ผู้ฟัง เราศึกษาคือศึกษาชื่อ

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรม ธรรมมีจริงๆ หรือว่ามีแต่ชื่อ

    ผู้ฟัง มีธรรมก่อน จึงมีชื่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมมีจริงนะ ไม่ลืมว่าศึกษาธรรม คำว่าศึกษาเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ไปจำ แล้วก็คิดว่าศึกษา แต่ศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจธรรม แสดงว่าคนที่ได้ยิน ได้ฟัง ต้องรู้ว่าขณะนี้ต้องมีธรรม เพราะว่าธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง เราจะไม่ศึกษาสิ่งที่ไม่มี ไม่มีประโยชน์ ไร้ประโยชน์ ไปพูดถึงสิ่งที่รู้ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ความละเอียดก็คือว่าธรรมมีจริง เมื่อไร เดี๋ยวนี้ก็มี เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม เพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นี่แน่นอน เพราะฉะนั้นแม้แต่ทุกคำที่ได้ยิน ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เช่นพูดว่าเห็น ยังไม่ต้องใช้คำอะไรเลยทั้งสิ้น เห็นมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นี่คือความละเอียดแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะมีจริง แล้วก็เห็น เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าเราเริ่มรู้จักธรรม และเราศึกษาธรรม เพราะเรายังไม่ได้เข้าใจ ทั้งสิ่งที่ปรากฎให้เห็น และจิตเห็น นี่คือจุดประสงค์ของการฟังธรรม ไม่ว่าจะไปฟังที่ไหน ก็ต้องรู้ว่า ธรรมมีจริงๆ ไม่ใช่พูดเรื่องสิ่งที่ไม่มี แม้เดี๋ยวนี้ก็ต้องมีธรรม แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงฟัง คือศึกษาให้เข้าใจธรรม ไม่ใช่ให้เข้าใจเรื่อง หรือไม่ใช่เพื่อเข้าใจชื่อ แต่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ แต่ต้องใช้คำ ถ้าไม่ใช้คำ ก็ไม่มีการศึกษาใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีการฟัง ไม่มีเรื่องราว แต่ต้องรู้ว่าขณะนี้พูดถึงธรรมที่มีจริง ทุกคำที่ได้ยินต้องเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นพูดถึงเห็น มีจริง เป็นธรรม เห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องใช้ชื่ออะไรก็ไม่เหมือน ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะปรากฎได้ไหม ถ้าไม่มีเห็น

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือการที่จะเริ่ม เข้าใจธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน โดยยังไม่ต้องเรียกอะไรเลยก็ได้ ใช่ไหม แต่เมื่อทั้งสองอย่างต่างกัน แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็เป็นธรรมแน่นอน เพราะมีจริงๆ จึงจำเป็นต้องใช้คำให้รู้ว่า หมายความถึงธรรมอะไร เพราะฉะนั้นสำหรับธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ แต่ปรากฏให้เห็น ในขณะที่จิตเห็นเกิด หรือเสียงก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่มีจริงๆ จริงเมื่อจิตได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเสียงนั้น เมื่อสิ่งนั้นเกิดปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเราก็ใช้คำ ที่จะให้เข้าใจว่าธรรมทั้งหลาย ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เดี๋ยวนี้สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย มีแน่นอน แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุที่รู้ สิ่งใดๆ ก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นธาตุรู้ มี ที่ใช้คำว่าธาตุก็คือธรรมอย่างหนึ่ง จะใช้คำว่าธาตุหรือจะใช้คำว่าธรรมก็ได้ แต่ธาตุรู้ก็ยังต่างกันไปอีก เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือกำลังฟังธรรมหรือเปล่า กำลังศึกษาธรรมหรือเปล่า เพื่อให้เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังเป็นธรรมในขณะนี้ ยังไม่ต้องใช้ชื่ออะไรใช่ไหม แต่ก็สามารถที่จะพูดถึงสิ่งที่มี ให้เข้าใจได้

    เพราะฉะนั้นเมื่อธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไร ทางตาก็ปรากฏว่าไม่รู้ เพียงปรากฏให้เห็น ทางหูเสียงก็เพียงปรากฏ แต่ไม่ได้รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยทั้งหมด เกิดขึ้นแต่ไม่รู้ เป็นรูปธาตุ นี่คือฟัง พอฟังอย่างนี้ แข็งปรากฎหรือไม่

    ผู้ฟัง ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ แข็ง รู้อะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง แข็งไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งเป็นอะไร

    ผู้ฟัง แข็ง เป็นสภาพไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เรียกว่าอะไรสภาพที่ไม่รู้

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะเข้าใจ แม้รูปธรรมอื่นๆ ได้ รส กลิ่น นี่คือการศึกษาธรรม ให้เข้าใจตัวธรรมไม่ใช่มีแต่ชื่อธรรม



    หมายเลข 165
    23 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ