การศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องการจำชื่อ
การศึกษาธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องจำชื่อ แต่เป็นเรื่องรู้สิ่งที่มี ที่ตนเอง ที่เกิดดับ ที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน จนกว่าจะรู้จริงๆ จะฟังไปเรื่อยๆ หรือเปล่า หรือว่ายากเหลือเกิน เลิกดีกว่า ถ้ายากเหลือเกิน เลิกดีกว่า ก็เหมือนกับไม่ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะทรงปรินิพพานแล้ว แต่ว่าพระธรรมยังมี ยังสืบทอดมาจนกระทั่งสามารถที่จะฟังเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจะพบ หรือไม่พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานแล้ว ก็ยังพบ โดยพบพระธรรม ถ้าไม่พบพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม ก็คิดเอง นึกถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่เข้าใจ ตามที่จะคิด แต่ไม่รู้พระธรรมก็คือว่า ไม่รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ก็เน้นเตือนเรื่อง ความเข้าใจสภาพธรรม ท่านอาจารย์บอกว่าขณะที่เราศึกษา แล้วศึกษามากๆ ศึกษาไปๆ แล้วเราก็จะไปหลงติดอยู่กับทะเลชื่อ จะจำชื่อนั้น ชื่อนี้มากมาย แต่ว่าเรารู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริงหรือไม่ ค่อยๆ ฟัง ที่สำคัญ
ท่านอาจารย์ และบางคนก็อาจจะคิดว่า คิดคำใหม่มาอีกแล้ว ความจริงไม่ใหม่เลย ทะเลหรือมหาสมุทร คำนี้มีในพระไตรปิฎกแน่นอน แล้วก็อุปมาผู้ที่ได้เข้ามาสู่พระธรรม คงจะไม่ใช่ผู้ที่เสมอกันทุกคน เพราะว่าแล้วแต่การสะสม ว่าแต่ละคน แต่ละชาติ ได้สะสมมามากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ก็เหมือนกับเรายืนอยู่ที่ริมฝั่งทะเล เราก็คงเห็นทะเลแล้วว่ากว้างใหญ่ กว่าแม่น้ำมาก แล้วเราก็กำลังอยู่ตรงนั้น ใครจุ่มลงไปบ้างหรือยัง หางกระต่าย แต่ก็จะรู้ได้เลยว่า แม้แต่คำอุปมา ยังมีอุปมาว่า กว่าจะวิดน้ำคือ เอาอวิชชาออกไปได้ ก็ลองคิดดู ด้วยหางกระต่ายที่วิดแล้วก็สลัด วิดแล้วก็สลัด แต่ก่อนอื่น ถ้าเป็นกระต่ายหรือเป็นคนก็ตามแต่ ได้ไปสู่ทะเล คือพระไตรปิฎก ก็จะมีคำมากมายในพระไตรปิฏก เราก็ได้ยินแต่ชื่อทั้งนั้นเลย แม้แต่คำว่าธรรม นามธรรม รูปธรรม ยิ่งเป็นปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ๗๓ ญาณ แล้วของใคร เข้าไปอย่างไร ไปอยู่ที่ตรงฝั่งทะเล และก็ได้ยินแต่ชื่อๆ ๆ ทั้งนั้น ใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นปัญญาของแต่ละคนเองจริงๆ ไม่ใช่ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือของพระอรหันต์ สาวกทั้งหลายที่ท่านแสดง ท่านแสดงความจริงทั้งหมด เพื่ออุปการะ ด้วยความกรุณา โดยเฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมโดยนัยประการต่างๆ แม้แต่เรื่องที่เรายกมากล่าวถึงเมื่อวานนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ด้วยพระมหากรุณาจริงๆ แม้แต่พระสูตรสั้นๆ หรือจะเป็นพระสูตรกลางๆ หรือว่าเป็นพระสูตรยาว ก็เพื่ออัธยาศัยของผู้ฟัง ฟังแล้วได้อะไรบ้างเมื่อวานนี้ ลืมไปหมดหรืออย่างไร หรือว่าจริงๆ แล้วเราคิดว่าเราลืม แต่ความจริงเราสะสมความเข้าใจจากสูตรหนึ่ง จากคำหนึ่ง ไปสู่อีกคำหนึ่งเรื่อยๆ จนกระทั่งเรามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น
เพราะฉะนั้นที่กล่าวถึงทะเลชื่อเมื่อวานนี้ ก็เพื่อเตือนให้รู้ว่า ถ้าเราศึกษาธรรมเพียงชื่อ ยังไม่ได้เข้าไปสู่ท้องทะเล เป็นเรื่องของปลาตัวเล็กตัวใหญ่ สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ในน้ำแต่ใครจะได้เห็นอะไรบ้าง แล้วแต่สติปัญญาของบุคคลนั้น และสามารถที่จะข้ามไปสู่ฝั่ง ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญา ไปสู่ฝั่งที่ดับกิเลสได้ เพราะว่าฝั่งนี้อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีการเข้าใจพระธรรม ก็อยู่ไปด้วยความไม่รู้ตลอด และฝั่งนี้ก็ยังทรงอุปมาว่า เหมือนตกอยู่ในเหวลึกด้วย พอเห็นเหวก็ทรงอุปมาให้รู้ว่าเหวนั้นลึกแค่ไหน แต่อวิชชาของสัตว์ ซึ่งมีอยู่ในชาติหนึ่งๆ ลึกยิ่งกว่าเหว ก็ทรงอุปมาเพื่อให้เราเห็นว่า เรากำลังอยู่ในอันตรายจริงๆ ซึ่งเราไม่เคยรู้ว่า เป็นอันตราย เพราะว่ากิเลสไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม เป็นอันตราย
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาชื่อ แต่ให้รู้ว่าลักษณะของจิตจริงๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อจิตมี ๔ ประเภท ก็ได้แสดงสภาพธรรม ที่เป็นจิตทั้ง ๔ นั้นว่าต่างกัน จะปะปนกันไม่ได้ เพราะเหตุว่าจิตที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้ และจิตที่เป็นวิบากซึ่งเป็นผล ก็จะเป็นกุศล และอกุศลไม่ได้ และจิตที่เป็นกิริยา เกิดขึ้นทำกิจการงานหน้าที่ จะเป็นกุศล หรือวิบาก หรืออกุศลไม่ได้เลย แต่ถ้าพูดเพียงเท่านี้ และพูดเท่านี้ ที่พูดมาแล้ว เราพอที่จะเข้าใจลักษณะของจิต ในขณะนี้ จนกระทั่งเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย เป็นแต่เพียงธาตุ ซึ่งเกิดขึ้นหลากหลาย ทำกิจการงานแต่ละประเภท ในวันหนึ่งๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย จิตขณะก่อน มีปัจจัยเกิดขึ้น ปรากฏนิดเดียวแล้วก็ดับไป เร็วมาก ไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์ได้ เพราะว่ารวดเร็ว จนกระทั่งต้องอาศัยปัญญา ที่สามารถ ที่จะอบรมด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง ที่สามารถจะประจักษ์ความจริง เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงประจักษ์ และทรงแสดงธรรม
ผู้ฟัง ตรงนี้จริงๆ เลย คือทราบแล้วว่า จากการศึกษาคือ ขณะที่สภาพธรรมเกิดไม่มีชื่อ แต่ขณะนี้ก็ยังจะถามหาชื่อ ว่ามันเป็นอะไรตอนนี้ ก็ยังเป็นอยู่ประจำ
ท่านอาจารย์ แสนโกฏกัปป์ ที่สภาพเหล่านี้สะสมมา และกว่าจะคิดถูก เข้าใจถูกอบรมถูกจริงๆ ก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าปุบปับพอเราได้ฟังแล้ว เราก็ยิ่งอยาก เมื่อไรสติสัมปชัญญะจะเกิด เมื่อไรจะรู้อย่างนั้น อย่างนี้ นี่เป็นเรื่องอยาก แต่เรื่องละคือรู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์อีกสักนิด รู้คือไม่ต้องไปถามหาชื่อ แต่เข้าใจลักษณะของเขา ว่าเป็นรูปหรือนามก็เท่านั้นเอง เท่านี้จริงๆ ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ แม้จะรู้ว่าเป็นรูปหรือนามก็ไม่ง่าย
ผู้ฟัง ไม่ง่าย แต่ว่าก็มุ่งตรงนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังไม่ต้องไปถึงว่า มีอะไรเกิดร่วมด้วย ชื่ออะไร
ผู้ฟัง เพราะแม้จะอะไรเกิดร่วมด้วย เขาก็เป็นลักษณะของรูปหรือนามเท่านั้น ไม่หนีไปไหนเลย
ท่านอาจารย์ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน แต่เคยเรียนมาว่าจิตนี้มีเจตสิกประกอบเท่านี้ เป็นนามธรรม เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ รู้เรื่องหมด แต่ลักษณะจริงๆ ที่กำลังเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลย แม้แต่ว่าเป็นนามธรรม หรือรูปธรรมก็ยังไม่รู้
ผู้ฟัง ตรงนี้จากการสนทนา ก็จะเรียกว่า ตรงนั้นเป็นอะไร ซึ่งจริงๆ แล้ว รู้ลักษณะของเขาว่า มันเป็นนามหรือรูป
ท่านอาจารย์ ตัวใครที่คิดว่า นั่นอะไร เห็นไหม ว่าติดไปหมดเลย ไม่รู้ไปหมดเลย