พื้นฐานพระอภิธรรม
ท่านอาจารย์ วันนี้ เป็นวันที่เราจะเริ่มการศึกษาพื้นฐานพระอภิธรรม บางท่านอาจคิดว่า เหมือนกับเป็นขั้นต้นเหลือเกิน ใช่หรือไม่ เพราะใช้คำว่าพื้นฐานของพระอภิธรรม แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเราเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร เราจะเข้าใจทันทีว่า ถ้าไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง เราก็จะศึกษาธรรมได้อย่างที่ ไม่ชื่อว่าเข้าใจจริงๆ เพราะเราอาจคิดว่าเป็นเพียงคำ เป็นภาษา หรือเป็นตัวหนังสือ แต่ทั้งหมดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน ๓ ปิฎก เป็นสัจจธรรม คือ เป็นธรรมที่มีจริงๆ ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ว่าในกาลไหน เช่น ในขณะนี้ ก็จะต้องเข้าใจว่า การศึกษาธรรม คือ มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ และก็กำลังปรากฏ ซึ่งก่อนที่จะได้ศึกษาเราไม่เคยคิดเลย ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เช่นกำลังเห็น จะมีแสดงความจริงอยู่ในพระไตรปิฏก เป็นพระธรรมเทศนาหลากหลายมากมายทั้ง ๓ ปิฎก ทั้งๆ ที่วันหนึ่งๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็มีคิดนึก ซ้ำไปซ้ำมา แต่เหตุใด จึงเป็นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ก็แสดงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่แม้ว่าปรากฏเป็นปกติ แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
นาที ๑.๔๕
ท่านอาจารย์ แม้แต่เพียงที่จะเข้าใจว่านามธรรมกับรูปธรรมในขณะนี้ก็ยาก ฟังคำไม่ยากเลย แต่การที่จะเข้าถึงความเข้าใจ ในความต่างของขณะที่เห็น คือกำลังเห็นจริงๆ เดี๋ยวนี้ เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันคือ มีสิ่งที่ปรากฏเป็นรูป แล้วก็มีจิตที่กำลังเห็น คือสิ่งที่จะต้องปลูกฝัง เป็นพื้นฐานที่มั่นคง เพราะว่าถ้าได้มีโอกาส ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์หรือเมื่อไรก็ตาม ที่ปัญญาถึงความสมบูรณ์ จากการที่ได้อบรมความเข้าใจ พร้อมสติสัมปชัญญะ สามารถจะเข้าใจทันทีที่ได้ยิน และก็รู้ในความเป็นอนัตตาได้ สามารถจะประจักษ์การเกิดดับได้ นี่ก็แสดงว่าสิ่งที่เราได้ยิน ได้ฟังมาตลอด ต้องมีพื้นฐานที่มั่นคง ที่จะรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ และความลึกซึ้งทั้งหมดที่ทรงแสดง จากผู้ที่ทรงตรัสรู้
เพราะฉะนั้นปัญญาของเราจะไม่ถึงขั้นนั้น โดยประการต่างๆ ที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา ๓ ปิฎก แต่ว่าเราสามารถที่จะค่อยๆ อบรมความรู้ ความเข้าใจ ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ทีละเล็กทีละน้อย และก็รู้ความต่างกันของปัญญา ๓ ขั้น คือปัญญาขั้นฟัง ฟังเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ แต่ต้องฟังด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่ากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ทุกคำที่ได้ยิน เพื่อให้เข้าใจขึ้น ในสิ่งที่มีจริง แล้วปัญญาขั้นไตร่ตรอง ไม่ลืม เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ เราจะฟังธรรมในขณะที่กำลังฟัง จะทางวิทยุ หรือว่าเวลาที่เรามาที่มูลนิธิ หรือสถานที่หนึ่งที่ใดก็ตามแต่ แต่พ้นจากกาลนั้นแล้ว เรื่องอื่นหมดเลย แสดงให้เห็นว่าความคิดนึกของเรา ไปไกลมากจากธรรม ทางใดที่จะทำให้เข้าใจขึ้น โดยวิธีใดก็ตาม จะแสดงให้เห็นความต่าง ของขณะที่เป็นกาลที่ทำให้เรา สามารถจะอบรมสิ่งที่ประเสริฐสุด คือความเข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งเวลาที่เราไม่ได้อยู่ที่นี่ สิ่งนั้นก็มี มีหมดทุกอย่าง แต่ไม่เคยคิด ไม่เคยฟัง ไม่เคยเข้าใจ
เพราะฉะนั้นขณะนี้ เราก็ต้องทราบว่า เป็นปัญญาขั้นฟัง เป็นปัญญาขั้นไตร่ตรอง แต่ยังมีปัญญาอีกระดับหนึ่ง ความเข้าใจตรงนี้จะเป็นพื้นฐานที่มั่นคง ที่จะทำให้ปัญญาอีกระดับหนึ่ง คือ สติ เป็นสภาพธรรม ที่กำลังรู้ตรงลักษณะ ของสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละทาง แต่ละทางนี่ต่างกันหมดเลย ให้เข้าใจตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างหนึ่งจริงๆ ดับไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางหู จึงจะปรากฏจริงๆ ได้ แล้วก็ต้องดับไปแล้วด้วย สิ่งที่ปรากฏทางจมูก จึงจะปรากฎได้ หรือสิ่งที่ปรากฏทางลิ้น จึงจะปรากฎได้ สิ่งที่ปรากฏทางกาย จึงจะปรากฎได้ และความนึกคิด จึงจะปรากฏ ซึ่งไม่ใช่ขณะที่คิด ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ในขณะนั้น แต่เป็นเรื่องราวของสิ่งที่คิด นี่ก็เป็นความละเอียดที่หยาบ คือว่ายังผิวเผิน เป็นความละเอียดที่ละเอียดแบบหยาบๆ ยังมีละเอียดลงไปลึกกว่านั้นอีก ที่สามารถจะค่อยๆ ปรุงแต่งให้มีความเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม นี่คือการศึกษาธรรม นี่คือการเรียนธรรม คือเรียนเพื่อเข้าใจสิ่งที่มี
อ.กุลวิไล เชิญคุณอรวรรณ
ผู้ฟัง แต่ในการศึกษาเพื่อให้ทราบความละเอียดของวิถีจิต ก็จะมีทั้งศัพท์บาลี และดูจะยุ่งยากสำหรับผู้ฟัง ที่ไม่สามารถแยกแยะได้ แล้วความละเอียดขนาดไหน ที่จะสามารถทำให้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้
ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณมีเพื่อนหลายคนหรือไม่
ผู้ฟัง หลายคน
ท่านอาจารย์ เพื่อนดีของคุณอรวรรณคือใคร ไม่ต้องเป็นชื่อ คนที่สามารถจะทำให้คุณอรวรรณ มีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่ให้เห็นผิด เข้าใจผิด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าเป็นเพื่อนที่ดี จะพาให้คุณอรวรรณห่างไกล จากสิ่งที่ปรากฏ ไปสนใจเรื่องที่คุณอรวรรณ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ หรือรู้ว่าแม้สิ่งนี้มี แต่ก็ยากแสนยาก เพราะว่าไม่เคยคิดที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จริงๆ คิดเรื่องราวทั้งหมดมาจาก สิ่งที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง คิดนึกบ้าง เป็นเรื่องราวมากมาย โดยที่แม้ขณะนี้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ก็เห็นเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นอย่างนี้ไปทุกชาติกับคนที่รู้ว่า ทำไมไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุด ที่จะรู้ว่าอะไรเป็นปรมัตถ์ อะไรเป็นบัญญัติ มิฉะนั้นก็พูดแต่ชื่อ ปรมัตถ์กับบัญญัติ บัญญัติเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ปรมัตถ์เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วเมื่อไรจะรู้จักตัวปรมัตถ์ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นใครจะพาคุณอรวรรณ ไปไหนไกลๆ ตามไป หรือว่าให้มาสู่การที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ และยังจะมีต่อไปอีกนานแสนนาน ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้จริงๆ ประโยชน์อะไรกับการที่มีเห็น แล้วกี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่อยากจะพาไปไหน แต่ให้ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะไม่สนใจสิ่งอื่น แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้าจริงๆ ไม่ห่างเหิน จากสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า