การศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม
ถ้าสำคัญก็คือว่า ต้องทราบว่าการศึกษาธรรม เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อันนี้เราก็คงจะต้องย้ำกันแล้ว ย้ำกันอีกเรื่อยๆ เพราะเหตุว่ามิฉะนั้นแล้ว เราก็จะหลงไปคิดเรื่องอื่น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็เลยลืมว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรม ที่จะศึกษา ที่จะฟัง ที่จะพิจารณาให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ว่าเราจะศึกษามากสักเท่าไรก็ตาม ก็ไม่พ้นจากสิ่งที่ กำลังปรากฎในชีวิตประจำวัน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะว่ามี ๖ ทางเท่านั้นที่สภาพธรรมจะปรากฎได้
เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เราจะเบื่อหน่าย หรือว่าฟังแล้ว ก็ฟังอีก เรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว วันทั้งวันก็มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปตลอดเวลา แต่ไม่เคยรู้ นี่เป็นสิ่ง ซึ่งเราจะได้พิจารณา ว่าการฟังธรรมในครั้งโน้น กับในครั้งนี้ จะต่างกันตรงที่ว่า เราจะไปสนใจเรื่องคำ ที่เราเห็น มองเห็นในหนังสือ แต่เราไม่ได้สนใจ ที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่เราเห็นในหนังสือก็คือ คำที่แสดงถึงลักษณะ ความหมายของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นการที่พระธรรมกว้างขวางมาก ก็เพราะเหตุว่าลักษณะของสภาพธรรม ที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น หลากหลายมากจริงๆ ไม่รู้จบ หลากหลายตั้งแต่ ๒,๕๐๐ กว่าปี จนกระทั่งถึงต่อไป จนกระทั่งถึงพระศาสนาอันตรธานต่อไป ก็ไม่มีวันหยุด เพราะฉะนั้นความหลากหลาย ก็หลากหลายเมื่อเกิดขึ้นให้รู้ แต่ว่าสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจ ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย ใครจะรู้ ถ้าไม่เกิดขึ้น แม้แต่ความคิดนึก ซึ่งก็คิดต่างๆ กันไป วิจิตรต่างๆ กันไป จุดประสงค์ก็คือให้ทราบว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน จึงจะเป็นการรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ด้วยพระปัญญาที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว แล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดง ให้คนที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง เพราะมีปัจจัยที่สะสมมาแล้ว ที่จะได้พิจารณาสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้