ชุด ณ กาลครั้งหนึ่ง ตอนที่ 1


    ณ กาลครั้งหนึ่ง

    ตอนที่ 1

    เคยได้ยินคำว่า “ณ กาลครั้งหนึ่ง” ไหมคะ อยู่ที่ไหนคะ ณ กาลครั้งหนึ่ง ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า “สมัยหนึ่ง” แต่คนไทยก็ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก แต่เรื่องเล่ามาและได้ยินบ่อยๆ ก็คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง แล้วจริงๆ ณ กาลครั้งหนึ่ง อยู่ที่ไหน หรือขณะก่อนนานแสนนานมาแล้ว ก็คือจิตนี่แหละไม่ได้หยุดเกิดดับสืบต่อจนถึงขณะนี้เลย

    เพราะฉะนั้น ณ กาลครั้งหนึ่ง จิตนั้นเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้ลาภ หรือเสื่อมลาภ ได้ยศหรือเสื่อมยศ นินทาหรือสรรเสริญ สุขหรือทุกข์ก็ ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง อีก ๑,๐๐๐ ปี หรือสั้นกว่านั้นอีก อีก ๑๐๐ ปี สั้นกว่านั้นอีก พรุ่งนี้ สั้นกว่านั้นอีก คือเมื่อกี้นี้เอง ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ถ้ามีความเข้าใจ แล้วจะมีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ไม่มีสาระ เพราะอะไรคะ เพียงเกิดปรากฏ แล้วก็หมดไป แล้วไม่เหลือเลยสักขณะเดียว จนกระทั่งแม้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ก็เตือนได้ว่า สิ่งที่เคยเกิดแล้วนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ณ บัดนี้ก็ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง จะต้องการลาภอะไรไหมคะ ณ กาลครั้งหนึ่ง ไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดโลก คือ ไม่เกิดอีกเลย ถ้าเกิดอีกก็เป็นโลกไปเรื่อยๆ แต่ที่สุดโลกก็คือไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ จิต เจตสิก รูป ซึ่งขณะนี้กำลังเกิด ก็จะถึงวันหนึ่งซึ่งจิตที่ดับแล้ว เจตสิกที่ดับพร้อมจิตนั้นไม่เกิดอีกเลย และรูปที่เกิดจากจิตก็ไม่สามารถเกิดได้ เพราะเหตุว่าไม่มีจิต แต่ก่อนจะถึงอย่างนั้นก็คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง ไปเรื่อยๆ

    ณ กาลครั้งหนึ่ง ทำอะไรบ้างคะ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ไม่พ้นเลย แล้วแต่จะเป็นเรื่องอะไร เห็นอะไร คิดอะไร ติดข้องอะไร

    เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้เอง ณ กาลครั้งหนึ่ง ไม่ต้องคิดถึงอีก ๑๐๐๐ ปี หรืออีก ๑๐๐ ปี หรืออีก ๘๐ ปี แต่ ณ กาลครั้งหนึ่งของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ณ กาลครั้งหนึ่งของท่านพระสารีบุตร ณ กาลครั้งหนึ่งของท่านพระมหาโมคคัลลานะ ณ กาลครั้งหนึ่งของท่านพระอานนท์ ณ กาลครั้งหนึ่งของวิสาขามิคารมารดา ก็เหมือน ณ กาลครั้งหนึ่ง ไม่ว่าของใคร ขณะที่ยังมีกิเลสก็ต้องเป็นตามกิเลส ไม่อิสระ เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จนกว่าจะถึงกาลครั้งหนึ่งที่ดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท

    เพราะฉะนั้น เวลาบอกว่า “น่าละอาย” ขณะที่เป็นอกุศล ไม่ละอายแน่นอน เพราะเหตุว่าขณะนั้นอหิริกะ อโนตตัปปะเกิด ไม่ใช่เรา แล้วถ้าอโนตตัปปะ อหิริกะเกิด จะเปลี่ยนเป็นเราไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เป็นเครื่องเตือนอย่างหนึ่ง แม้อกุศลเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ละอาย น้อยสักเท่าไรก็คือไม่ละอาย และถ้ามากขึ้นๆ ความไม่ละอายจะมากสักแค่ไหน

    จาก ณ กาลครั้งหนึ่งที่ไม่ละอาย จนถึงต่อมาก็ละอายได้ เพราะเห็นด้วยปัญญาว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา และเมื่อไม่ใช่เราจึงเกิดธรรมที่เป็นฝ่ายโสภณเพิ่มขึ้น เมื่อไม่ใช่เรา จะมารักตัวนี้มากมายนักหนาสักแค่ไหน เพราะเหตุว่าจริงๆ อย่างเมื่อเช้านี้ รักที่สุด คือ ตัวนี้ ทำมาหากิน แสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อตัวนี้ ไม่ใช่ตัวอื่น ใช่ไหมคะ ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ความละอาย เพราะเหตุว่าไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงยึดถือ จนกว่าปัญญาเท่านั้นที่เริ่มเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง



    หมายเลข 166
    18 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ