ชุด ณ กาลครั้งหนึ่ง ตอนที่ 3


    ตอนที่ 3

    อรวรรณ ที่ท่านอาจารย์ถามว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน ได้อ่านจากเว็บไซต์ก็ทราบคำตอบว่า อยู่ที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก และถ้าถามว่า ถึงเวลาของอะไร ก็ตอบว่า ถึงเวลาของเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๕ทาง และคิดนึก โดยไม่ต้องเห็น ได้ยินก็ได้

    ดูเหมือนท่านอาจารย์จะย้ำด้วยวลีที่ง่ายๆ ให้เข้าใจเหตุปัจจัย ถ้าถามว่าถึงเวลานี้อยู่ไหน แทนที่จะตอบว่า จะต้องกลับบ้าน กินข้าว แต่จริงๆ ก็คือเหตุปัจจัยที่จะให้เห็นอะไร คิดอะไร หรืออยู่ที่ไหน ก็คืออยู่ที่เห็น แล้วไม่มีตัวตน

    ตรงนี้ดูเหมือนการฟังที่ท่านอาจารย์พยายามอธิบายให้เข้าใจว่า ไม่มีอะไรเลยจริงๆ นอกจากมีเหตุปัจจัยให้เกิดธรรมเช่นนั้น

    นี่คือการสื่อสารของท่านอาจารย์ที่ต้องการให้ท่านผู้ฟังเข้าใจเช่นนั้น แต่ดูเหมือนผู้ฟังรวมถึงตัวดิฉันเองด้วยก็ไม่น้อมไปที่จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังเป็นเรา ยังเป็นเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ เพราะยังไม่ถึงเวลาแล้วจะน้อมไปอย่างไร ยังไม่ตาย ยังไม่ถึงเวลาตาย แล้วจะตายได้อย่างไร ก็ยังไม่ตาย เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จิตขณะสุดท้ายจะเกิดขึ้นทำให้พ้นจากความเป็นบุคคลนี้ แล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างแม้แต่คำว่า “ถึงเวลา” สามารถทำให้เข้าใจความลึกซึ้งของความหมายของคำว่า “ถึงเวลา” เพราะเวลานี้ทุกคนลืมว่าเห็น ถึงเวลาของเห็น เห็นก็เกิด ถึงเวลาที่สติสัมปชัญญะจะรู้ลักษณะที่เห็น ก็ไม่ไปคิดเรื่องอื่นเลย เรื่องบ้าน เรื่องญาติเจ็บป่วย เพราะถึงเวลาที่เห็นเกิดแล้วเป็นธรรมอย่างหนึ่ง แล้วถึงเวลาหรือยังที่สติสัมปชัญญะจะรู้ที่ลักษณะนั้น แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา คือ ยังไม่มีปัจจัยพอที่ทำให้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อไร เป็นความหมายของคำว่า “ตามรู้” คือสิ่งนี้เกิดแล้วตามลักษณะที่ปรากฏด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ไปคิดนึกเรื่องอื่นในขณะที่คิดก็ยังไม่เกิด มีแต่สิ่งปรากฏให้เห็น อย่างเสียงขณะนี้ปรากฏเมื่อไร ถึงเวลาจิตได้ยินเกิด จะไม่ให้จิตได้ยินเกิดไม่ได้เลย แต่เราลืมคิดว่า เป็นเราเลือก หรือเราอยาก แต่ความจริงแล้ว เมื่อถึงเวลาของสภาพธรรมใด สภาพธรรมนั้นก็เกิด เกิดแล้วหมดไป โดยไม่รู้ความจริงของสภาพนั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ปัญญาสามารถเริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้สภาพธรรมนี้แหละสามารถเข้าใจได้ถุกต้องตามความเป็นจริงว่า เพียงปรากฏเหมือนอย่างอื่น เสียงปรากฏฉันใด สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ฉันนั้น ไม่ได้ต่างกันเลย ถูกต้องไหมคะ อย่างแข็งปรากฏ จะต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม คิดให้ละเอียด พิจารณาให้ถูกตามความเป็นจริง อยากจะใช้ภาษาบาลีไหมคะ มาแล้ว โยนิโสมนสิการ ต่อไปนี้เลิกใช้ดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องไปนึกถึงคำนี้ เพราะขณะที่กำลังเข้าใจ คือ ลักษณะของเจตสิกที่ทำหน้าที่นั้นๆ เหมือนกับเห็นขณะนี้ทำหน้าที่เห็น ไม่ต้องไปเรียกอะไรเลย ฉันใด เวลาที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นก็อาศัยเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทำกิจนั้นๆ โดยไม่ต้องไปนั่งคิดว่า ต้องมีศรัทธา ต้องมีสติ ต้องมีอหิริกะ ต้องมีอโนตตัปปะเกิดพร้อมกันในขณะนั้น ขณะนั้นจะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ

    ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงต้องเข้าใจถูกต้อง แม้ขณะนั้นสภาพธรรมปรากฏจริงๆ ไม่มีใครไปทำ ไม่มีใครไปเปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่น แต่กว่าจะเข้าใจความจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่าง อย่างขณะนั้นคุณบุษกรเห็นคุณอรวรรณ เข้าใจขึ้นบ้างไหมว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ตรงไหมคะ ที่เข้าใจว่าเป็นคุณอรวรรณ คือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อย่างอื่นปรากฏให้เห็นไม่ได้เลย แข็งกระทบคุณอรวรรณ แต่แข็งไม่สามารถปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น ทางที่สภาพธรรมจะปรากฏมี ๖ ทาง ตา ๑ กำลังเห็น จิตเห็นเกิดขึ้น หู เสียงปรากฏ กลิ่นเกิดกระทบจมูก ถ้าจิตไม่เกิดขึ้น กลิ่นนั้นไม่ปรากฏเลย

    เดี๋ยวนี้จริงๆ แล้วอาจจะมีกลิ่น แต่ปรากฏกับใครหรือไม่ปรากฏกับใคร แล้วแต่จิตที่ได้กลิ่นเกิดหรือไม่เกิด ถ้าจิตได้กลิ่นไม่เกิด กลิ่นก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่ถึงเวลา

    เพราะฉะนั้น การเข้าใจความละเอียดของถึงเวลา ก็คือสามารถเข้าใจปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นเป็นขณะนี้ เดี๋ยวนี้

    ลึกซึ้งไหมคะ ไม่มีเรา ไม่มีอะไร แต่ต้องค่อยๆ เริ่มเข้าใจ แล้วจะรู้ว่า ละความไม่เข้าใจ วันนี้ทั้งวันไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้อย่างเดียว ในบรรดาธรรมทั้งหลาย แต่ก็เป็นเรื่องเป็นราว เป็นเก้าอี้ตั้งอยู่ตรงนี้ เป็นธนบุรี บุคคโล ถนนเจริญนคร เป็นมูลนิธิ สารพัดที่จะคิดไป แต่ขณะนั้นจิตเห็นก็ดับแล้ว เพราะจิตเห็นไม่ได้คิด และจิตคิดก็ไม่ได้เห็น

    นี่คือการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก นี่เป็นปริยัติ ฟังให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อจะได้เข้าใจให้ถูกต้องเป็นขั้นปริยัติ ซึ่งถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ปฏิปัตติที่ถามกันนักว่า เมื่อไรสติสัมปชัญญะจะเกิด เมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิด ก็ไม่ต้องคิดถึงเลย เพราะเกิดเมื่อไรก็คือเป็นอนัตตา ที่มาจากความเข้าใจถูกความเห็นถูกขั้นปริยัติการศึกษาต้องตามลำดับขั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่ต้องหวังอะไรเลย ฟัง แล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เรื่องที่กำลังฟังว่า เป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏด้วย

    อรวรรณ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็ถึงเวลาของการฟังให้เข้าใจว่า เป็นธรรม

    ส. เดี๋ยวนะคะ ถึงเวลาของการฟังนี่แน่ แต่ถึงเวลาของการเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแค่ไหน เห็นไหมคะ คิดกันเยอะเลย คิดเรื่องอะไรบ้างคะขณะที่กำลังฟัง ขณะที่คิดไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    เพราะฉะนั้น วันนี้ฟังหลายชั่วโมงจะเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังกี่คำ ไม่ต้องนับธรรมขันธ์ ไม่ต้องนับคำ แต่ให้รู้ว่า ได้ยินบ่อยๆ อย่าง “ธรรม” ก็ได้ยิน ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แล้วเข้าใจคำว่า “ธรรม” ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างของธรรมนั้นๆ จริงๆ เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งไม่ปะปนกันเลย อย่างเสียงกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ปนกันไม่ได้ เป็นธรรมที่ปรากฏเมื่อจิตนั้นๆ เกิดขึ้น และกำลังเห็น กำลังรู้สิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ถึงเวลาอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นอย่างที่ถึงเวลานั้นๆ ที่จะเป็นอย่างนั้น



    หมายเลข 166
    18 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ