ชุด ณ กาลครั้งหนึ่ง ตอนที่ 6


    ตอนที่ 6

    ท่านอาจารย์ ต้องการละอกุศลจริงๆ หรือเพียงอยากจะทราบเรื่องราวของอกุศล เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราเพียงอ่านธรรมหน้าไหนก็ได้ ตอนไหนก็ได้ แล้วก็คิดว่าจะเข้าใจ ถ้าได้ยินคำว่า “สัมมัปปทาน” มีเท่าไร ก็อยากจะรู้เฉพาะตรงนั้น แต่ข้อสำคัญที่สุด รู้จักธรรมแล้วหรือยัง เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นสัมมัปปทานหรือ ปฏิจจสมุปปาท หรืออะไรทั้งหมดก็คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเรื่องรู้จักธรรมก่อน แล้วจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ได้ทรงแสดงไว้ ณ สถานที่ต่างๆ จนกระทั่งรวบรวมเป็นพระไตรปิฎก ผู้มีปัญญามากสะสมความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะที่กำลังฟัง สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมนั้น เช่น ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ และพระอรหันต์ และพระอริยบุคคลทั้งหลายในครั้งพุทธกาล พระผู้มีพระภาคไม่ต้องทรงแสดงยาวมาก ละเอียด เช่น ท่านพระสารีบุตร เพียงข้อความไม่มาก ท่านก็เป็นพระโสดาบัน

    เพราะฉะนั้น ที่ทรงพระมหากรุณาแสดง ๔๕ พรรษา สำหรับผู้ที่ฟังแล้วฟังอีก และไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตัวเองว่า สามารถเข้าใจคำที่ได้ยินแต่ละคำถูกต้องหรือเปล่า เช่นคำว่า “ธรรม” “นามธรรม” “รูปธรรม” ถ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแม้ในขั้นต้น ก็ไม่สามารถรู้จักธรรมได้เลย ได้ยินเพียงแต่คำและเรื่องราว

    เพราะฉะนั้น ในปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวตนสูตร ก็ทรงแสดงเรื่องของสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ทุกคนจะสนใจเฉพาะมรรคมีองค์ ๘ อริยมรรค เพราะทำให้บรรลุคุณธรรมรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสถึงสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ

    ญาณ เป็นความรู้ ฉะนั้น สัจญาณก็คือความรู้ที่เข้าใจเรื่องของสัจธรรมอย่างมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด และธรรมก็หลากหลายมาก และธรรมที่ปรากฏในขณะนี้เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ก็มีแต่ของใหม่ และก็มีสิ่งที่ถูกปรุงแต่งมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แม้แต่ความคิดของคน คนยุคสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า ไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีเครื่องบิน แต่ต่อมาๆ การปรุงแต่งของการคิดนึกก็ทำให้คิดไปในทางสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นวัตถุต่างๆ จนกระทั่งโลกเปลี่ยนแปลงมาถึงยุคนี้

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า การจะเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็จะต้องเข้าใจธรรมก่อน ถ้าไม่เข้าใจธรรมโดยเฉพาะสัจญาณ ก็คือเข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ ไม่ได้พูดถึงคนเลย แต่พูดถึงธรรมล้วนๆ พระไตรปิฎก ๓ ปิฎก พระวินัยส่วนใหญ่เป็นเรื่องวินัยของพระภิกษุ การประพฤติปฏิบัติปฏิบัติในเพศบรรพชิตซึ่งเป็นการขัดเกลากิเลส ต้องเป็นผู้มีอัธยาศัยใหญ่

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรมทั้งหมดเพื่อรู้ความจริง จนกระทั่งสามารถละความไม่รู้ เมื่อละความไม่รู้ กิเลสต่างๆ ก็เบาบางลง แต่ถ้าไม่รู้ แล้วจะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยหวังว่ากิเลสจะเบาบางเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าขาดสัจญาณ โดยเฉพาะปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ คือ การรอบรู้ในธรรมซึ่งขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ถ้าไม่รู้ว่า เป็นธรรมแต่ละลักษณะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป อย่างมั่นคงจริงๆ ก็จะไม่สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ สภาพธรรมขณะนี้เกิดจึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดจะปรากฏได้อย่างไร แต่เกิดก็ไม่รู้ กำลังเกิดดับก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่รอบรู้เท่านั้นจึงจะสามารถค่อยๆ โน้มไปสู่การรู้จักตัวจริง สภาวธรรมของธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เห็น มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใคร ขณะเห็นเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ได้ยินขณะนี้ ไม่มีใครนับเลยว่า มากมายสักเท่าไร แต่ละคำ แต่ละขณะที่ได้ยิน มีปัจจัยเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็หมดไป แล้วยังจำเรื่องราวของสิ่งที่ได้ยินสะสมสืบต่อไปอีก

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้รอบรู้ในสัจญาณจึงจะสามารถมีกิจญาณ คือ สติสัมปชัญญะมีปัจจัยที่จะเกิดรู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น กิจญาณก็คือ “ปฏิปัตติ” ในภาษาบาลี ซึ่งในภาษาไทยก็ใช้คำว่า “ปฏิบัติ” แล้วก็รวบรัดว่า คือ การทำ เพราะคนไทยเข้าใจว่า ปฏิบัติคือทำ แต่ “ปฏิปัตติ” ในภาษาบาลี ปฏิ แปลว่า เฉพาะ ปัตติ แปลว่า ถึง ขณะนี้มีสภาพธรรมเกิดดับ ไม่มีปัญญาที่ถึงการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมว่า เป็นธรรมที่กำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รอบรู้ในปริยัติ ไม่มีปัจจัยที่จะเข้าใจสภาพธรรมซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้และทุกขณะที่กำลังปรากฏได้

    ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นสัมมัปปทานก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม แล้วถ้าไม่มีปัญญาจะรู้ไหมว่า ละกิเลสที่เกิดแล้วได้อย่างไร ไม่มีปัญญาเลย ละกิเลสไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้าเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยก็จะรู้ว่า กิเลสเคยเกิดไหม ใครไม่เคยมีกิเลสเกิดบ้างคะ วันนี้กิเลสเกิดแล้วหรือยัง แล้วละกิเลสที่เกิดแล้วไม่ให้เกิดอีก ถ้ามีปัญญา แต่ถ้าไม่มีปัญญา กิเลสที่เกิดแล้วก็จะเกิดอีก

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องเป็นเรื่องของปัญญา เพราะพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของบุคคลผู้เลิศในจักรวาล เหนือจักรวาลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยตลอด

    ด้วยเหตุนี้ “พุทธะ” คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ รู้ความจริงในขณะที่ชาวโลกเห็นก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่างๆ แม้สภาพธรรมขณะนี้เกิดดับก็ไม่รู้ว่าเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ความต่างกันของผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่างกันไกลแสนไกล เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือเมื่อศึกษาพระธรรมโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยลึกซึ้ง โดยไม่ประมาทจึงสามารถเข้าใจคำต่างๆ เช่น สัมมัปปทาน เป็นต้น เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ใครที่คิดว่าเพียงอ่านแล้วจะเข้าใจได้ แต่ต้องไตร่ตรอง กิเลสใดๆ ที่เกิดแล้ว แม้ว่าจิตซึ่งเป็นอกุศลขณะนั้นเพราะมีกิเลสเกิดร่วมด้วย ดับไปแล้วก็จริง แต่จิตที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีในจิตขณะก่อนจะให้หายไปไหน ถ้าหายไปหมด ทุกคนก็ไม่เหลือกิเลสเลย แต่เพราะแม้ว่าเกิดแล้วดับแล้ว เมื่อเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด จิตขณะต่อไปก็สะสมสิ่งที่เคยมีอยู่ในจิตขณะก่อน

    เพราะฉะนั้น การจะละอกุศลที่เกิดแล้ว หรืออกุศลที่กำลังปรากฏ หรือกุศลที่ยังไม่เคยเกิดเลย คือ ความเข้าใจธรรม หรือเมื่อเข้าใจแล้วก็สะสมให้มั่นคงยิ่งขึ้น เจริญต่อไป ก็เป็นเรื่องเดียว คือ เข้าใจธรรม เพราะขณะนี้เป็นธรรม แล้วจะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้เข้าใจธรรมขึ้น



    หมายเลข 166
    18 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ