ชุด ณ กาลครั้งหนึ่ง ตอนที่ 7


    ตอนที่ ๗

    กุลวิไล พูดถึงปัญญาเป็นความเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้น คำว่า “รู้ในสิ่งที่กำลังมีและกำลังปรากฏในขณะนี้” จะกราบเรียนท่านอาจารย์อธิบายสำหรับผู้มาใหม่เพื่อเป็นปัญญาให้เห็นถูก

    ท่านอาจารย์ ผู้มาใหม่ก็ต้องรู้ว่า ขณะนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ไม่ใช่ให้คนอื่นมารู้ตาม แต่ให้คิดจนกระทั่งสามารถเข้าใจด้วยตัวเอง เช่น เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือไม่มีอะไรเลย ตอบได้ แต่ละคนก็ได้ยินแล้ว เข้าใจคำถามแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจแต่ความเห็นเป็นอย่างไร ก็ตอบตามความเห็นอย่างนั้น ที่ถามว่า ขณะนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือไม่มีอะไรเลย

    กุลวิไล มีท่านใดจะร่วมพิจารณา ก็ขอเชิญค่ะ

    อรวรรณ ขณะนี้ก็มีเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วมีได้ยินเสียง แล้วคิดนึก

    ท่านอาจารย์ และคำถามของคุณกุลวิไลว่าอย่างไรคะ

    กุลวิไล พูดถึงปัญญาเป็นความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ สิ่งที่เป็นความจริง อย่างผู้ที่ศึกษาใหม่ก็อาจจะคิดว่า สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ก็คือคน สัตว์ สิ่งของ หรือสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ตามที่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่ามีคนจริงๆ ถ้าไม่เห็นอะไรเลย จะมีคนไหมคะ

    กุลวิไล ก็ต้องไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก่อนจะรู้ว่าเป็นคน ต้องเป็นเห็น เพราะฉะนั้น เห็นมีจริงๆ ยังไม่รู้จักเห็นที่มีจริง แต่ไปคิดว่า เห็นนี่เห็นคน

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจถูกต้องว่า ก่อนที่จะเข้าใจว่าเป็นคนต้องมีเห็น ถ้าเห็นเป็นสีขาวหมดเลย มีคนไหมคะ

    กุลวิไล ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสีดำหมดเลย มีคนไหมคะ

    กุลวิไล ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นสีเขียวหมดเลย มีคนไหมคะ

    กุลวิไล ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เข้าใจว่ามีคน

    กุลวิไล เพราะไม่รู้ แล้วก็ยึดถือในสิ่งที่เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่า รูปร่างสัณฐานของแต่ละอย่างต่างกัน คนไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ เพราะเห็นสิ่งที่สามารถจำได้ว่า ลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่เก้าอี้ ลักษณะอย่างนี้เป็นคน ลองคิดถึงเด็กเพิ่งเกิด วันแรกที่เกิดมาลืมตาเห็นไหมคะ อย่างนี้เราก็ต้องพิจารณาให้เข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างไร ลองฟังอีกทีนะคะ เด็กที่เกิดวันแรกลืมตาเห็นไหมคะ

    กุลวิไล เห็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เด็กที่เกิดมาวันแรกลืมตาอะไรหรือเปล่า หรือจะตอบว่าลืมไปแล้วตอนเป็นเด็ก แต่ตามความเป็นจริงลืมตาวันแรกเห็นอะไรหรือเปล่า คุณอรรณพคงจะตอบทางวิชาการด้านอื่นด้วย

    อรรณพ ก็ต้องเห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะไม่ว่าจะเป็นวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแนวความคิดต่างๆ อาจะคิดเรื่องจักขุปสาท เรื่องแสง เพียงคิดเรื่องต่างๆ คิดเชิงวิชาการต่างๆ คิดตามหลักที่ได้ยินได้ฟังต่างๆ แต่ความจริงคือลืมตาแล้วเห็น แต่ยังไม่รู้ว่าเห็นอะไร

    เพราะฉะนั้น เห็นต้องมี แต่ยังไม่รู้เลย

    สมมติว่าวันนี้เราเป็นเด็กแรกเกิด วันแรกที่ลืมขึ้นมาเห็น แต่ยังไม่รู้ว่า เห็นอะไร

    อรรณพ รู้สึกว่าท่านอาจารย์พูดเปรียบเทียบได้ชัดมากว่า เพียงเห็น อย่างทารกที่เกิดมาแล้วมีตาหรือจักขุปสาท ก็ย่อมเห็นได้ แต่ยังไม่ได้คิดนึกถึงสิ่งที่เห็นว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นวัสดุอะไร เรียกอะไร ยังไม่ได้คิดนึกเป็นเรื่องราวเหมือนผู้ใหญ่ที่ได้จำแล้วว่า สิ่งที่เห็นเป็นคนหรือเป็นสิ่งของอย่างไร ใช้ประโยชน์อะไรได้ ซึ่งเหมือนขณะนี้ที่เพียงเห็นเท่านั้น ท่านอาจารย์หมายความว่า แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่างที่เรานั่งในขณะนี้ ซึ่งถ้าเพียงจิตเห็นก็เหมือนจิตเห็นของทารกเหมือนกัน แต่คิดนึกต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แต่ไปคิดเอาเองว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะค่อยๆ ชินกับรูปร่างสัณฐาน จนกระทั่งสามารถจำได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร และเด็กแรกเกิด ได้ยินเสียงไหมคะ

    กุลวิไล ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ พูดได้ไหมคะ

    กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ

    กุลวิไล เพราะยังไม่ได้จำคำพูด

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้จำเลย ยังไม่ได้นึกถึงเสียงต่างๆ เพราะฉะนั้น ตอนแรกเกิดจะเรียกใครได้ไหม

    กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จำได้ไหมว่า พอเกิดมาแล้ว คำแรกที่เรียก เรียกอะไร มีใครจำได้ไหมคะ

    กุลวิไล ที่จริงของตนเองจำไม่ได้ แต่เห็นทารก

    ท่านอาจารย์ บางคนบอกว่า คำแรกที่เรียกคือแม่ แล้วชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ ก็มีคำเรียกแม่คล้ายๆ กัน มาม่าบ้าง แต่ตามความเป็นจริงแล้วจำไม่ได้ ไม่รู้ แต่กว่าจะเป็นแม่ออกมาคำหนึ่ง จะต้องได้ยินเสียงซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเสียงก็มีหลายๆ เสียงด้วย เพียงแต่จะสามารถจำและเปล่งเสียงอะไรออกมา ดิฉันได้ยินหลานที่เกิดมายังพูดไม่ได้ แต่คำแรกที่เขาพูดไม่ใช่แม่ ก็คอยฟังเหมือนกันว่า คำแรกที่เขาจะพูด จะพูดว่าอะไร ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าจะพูดว่าแม่ แต่ความจริงไม่ใช่แม่ พูดคำอื่นที่ไม่ใช่แม่

    ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถรู้ว่า อะไรจะเกิดต่อ คิดเข้าใจว่า ส่วนใหญ่จะเป็นคำอย่างนี้ แต่ความจริงไม่ใช่ก็ได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะนึกเดา แต่เมื่อมีปัจจัยที่ธรรมอะไรจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ลืมว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่คิด เสียงปรากฏให้ได้ยินเป็นเสียง ไม่ใช่ความหมายของคำใดๆ เลย แต่ขณะนี้ชินจนกระทั่งพอได้ยินก็เหมือนได้ยินเป็นคำๆ ไปเลย พร้อมกับเสียงที่ได้ยินเลย ไม่ได้ปรากฏแยกจากกัน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้สิ่งที่มีมากมายมหาศาล จนกระทั่งรวมกันเหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงก็คือจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ ดับแล้ว จิตที่ดับแล้วจะรู้จิตที่เกิดต่อไหมคะ จิตทางตารู้จิตที่ได้ยินไหมคะ ไม่เลย เกิดแล้วดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ก็มีปัจจัยสืบต่อและมีสภาพธรรมซึ่งจำเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น โลกที่เหมือนเรารู้จัก เราเข้าใจอย่างดีว่า เป็นคนนี้เป็นคนนั้น รู้จักกันมานาน ความจริงรู้จักนานไหม จิตของแต่ละคนที่เกิดดับนับไม่ถ้วน แม้แต่จิตของตัวเองรู้จักไหมว่า จิตขณะก่อนเป็นจิตประเภทไหน อย่างไร

    ก็เป็นธรรมซึ่งเกิดดับ ปัญญาเท่านั้นที่เริ่มเห็นถูกตามความเป็นจริงในสภาพธรรมที่ต่างๆ กันไป ถ้าเราไม่ตั้งต้นด้วยคำว่า “ธรรม” ได้ไหมคะ พูดถึงสิ่งที่มีจริง ยังไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่ไม่ค่อยรู้ว่า เราหมายความถึงอะไร เพราะหลากหลายมาก จึงต้องใช้คำแต่ละคำ

    เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงคำว่า “ธรรม” สิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ นั่นแหละ ก็เป็นธรรมประเภทนั้นๆ แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ก็จะเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นธรรมชนิดหนึ่ง

    เห็นไหมคะว่า กว่าจะรู้ กว่าจะเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และธรรมมีอยู่ เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นปรากฏ เสียงก็เป็นธรรม ปรากฏเมื่อจิตได้ยิน โดยที่ยังไม่รู้ว่า เสียงนั้นหมายความว่าอะไร

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เสียง ได้ยินดับแล้ว จิตก็จำแล้วคิดนึกตามความจำว่า เสียงนั้นหมายความว่าอะไร

    เพราะฉะนั้น โลกนี้เต็มไปด้วยความไม่รู้ กำลังเห็นแท้ๆ กำลังได้ยินแท้ๆ ก็ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมจริงๆ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุที่มีปัจจัยเกิดดับสืบต่อ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถดับธาตุรู้ที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับเป็นสังสารวัฏฏ์



    หมายเลข 166
    18 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ