พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 329


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๒๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องเข้าใจแม้คำว่าศึกษาธรรม มิฉะนั้นเราก็ผิวเผินมาตลอด ศึกษาธรรมเป็นเรื่องราว จิต ๘๙ โลภมูลจิต ๘ และขณะนี้เป็นจิตอะไร ก็ไม่รู้เลย และจะศึกษาธรรม หรือไม่ หรือจะศึกษาเพียงชื่อของธรรม ผู้ถามมีอกุศลมากไหม

    ผู้ฟัง มาก

    ท่านอาจารย์ รู้ หรือไม่ แม้อกุศลมากก็ยากที่จะรู้ เช่น อวิชชา ความไม่รู้ ก็ไม่เคยคิดเลยว่าไม่รู้อะไร แม้แต่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ แต่เมื่อฟัง ก็เริ่มที่จะรู้ว่า การศึกษาธรรม ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรม ฟังเรื่องนี้ เพื่อให้เริ่มมีความเข้าใจถูกในขั้นการฟัง อยากจะหมดกิเลสไหม

    ผู้ฟัง ไม่อยาก

    ท่านอาจารย์ ไม่อยากก็ไม่ต้องฟัง แต่จริงๆ แล้วทุกคนก็เหมือนลืม ฟังธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเหมือนอยากฟัง อยากรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และทรงแสดงอะไร ก็เป็นส่วนของความอยากรู้ เพื่ออะไร ก็ต้องคิดด้วย ถ้าจะคิดว่า นานแสนนานมาแล้ว ทุกวันก็มีแต่กิเลส ถ้าได้ยินคำว่า “กิเลส” ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสภาพที่เศร้าหมอง แต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ได้ยินแต่ชื่อทั้งนั้นเลย แต่เวลาที่ศึกษาธรรม เริ่มเข้าใจ ทุกขณะที่กำลังปรากฏเป็นธรรมทั้งนั้น ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง ไม่ใช่เพื่อเข้าใจเรื่อง กำลังสนุกเพลิดเพลินมาก ลืมโลภมูลจิต ๘ ดวงแล้วใช่ หรือไม่ จะเป็นดวงไหนก็ไม่รู้ แต่เวลาที่ถาม ตอบได้หมด และไปใส่ชื่อด้วย เป็นดวงนั้น แต่ลักษณะของความติดข้อง ขณะนั้นเป็นโสมนัส หรือว่าเป็นอุเบกขา รู้สึกเฉยๆ หรือรู้สึกโสมนัสที่ได้สิ่งนั้นมา

    นี่คือการที่จะรู้ว่า ตัวจริงที่เราไปเรียกชื่อ โสมนัสสสหคตัง ทิฏฐิคตวิปยุตตัง อสังขาริกัง อยู่ที่ไหน แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้เราไปเรียงลำดับ สภาพธรรมเกิดไม่ได้เรียงลำดับเลยว่า โลภะดวงที่ ๑ ต้องเกิดก่อน และดวงที่ ๒ และดวงที่ ๓ อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ไม่ว่าโลภะเกิดขึ้นเมื่อไร สภาพของโลภะที่จะปรากฏให้เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา ก็คือรู้ว่า ขณะนั้นเป็นโลภะที่มีความรู้สึกเฉยๆ เกิดร่วมด้วย หรือว่าเป็นสุข เพลิดเพลิน กำลังสนุกมาก นั่นคือรู้จักตัวจริง แต่ก็ยังมีความละเอียดอีกว่า เกิดขึ้นโดยมีกำลังกล้า สะสมมาที่จะเกิด หรือมีการชักจูง หรือชักชวน จะโดยใคร หรือโดยสภาพของจิตที่เกิดก่อนก็ได้

    การศึกษาธรรม พระไตรปิฎกก็อยู่ที่ตัวทุกคน แล้วก็มีลักษณะจริงๆ ต้องไปพลิกหน้า หรือไม่ ว่าอยู่ในสูตรนั้น หน้านั้น เล่มนั้น ไม่ต้องเลย มีพร้อมที่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เมื่อไร เป็นความจริงเมื่อนั้น และตลอดชีวิตในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ความจริง ถ้าไม่รู้ความจริง ไม่มุ่งตรงต่อความจริง ไม่เคารพความจริง ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรม เพราะว่าเป็นเรา แต่ความจริงไม่ใช่เรา เห็นไหม ก็ต้องมีการเข้าใจธรรมจริงๆ จนกระทั่งรู้ว่า หนทางเดียวที่จะทำให้ทุกคนซึ่งเห็นโทษของกิเลส สามารถจะหมดกิเลสได้เมื่อมีความรู้ตามความเป็นจริง และก็รู้จักตัวจริงของธรรม จนกระทั่งรู้ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เราไปทำอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ไปนั่งขวนขวาย ไปไม่รู้ ในเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดแล้ว โดยที่ไม่สามารถมีใครบังคับบัญชาได้

    ผู้ฟัง เราอยู่ในโลกคนเดียวจริงๆ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เราเถียงพระพุทธเจ้า หรือ

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่เถียง

    ผู้ฟัง แต่สภาพความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ความเป็นจริง คือ จิตมีจริง เกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แล้วจะเป็นอะไรได้ไหม เกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำกิจตามประเภทของจิตนั้นๆ ด้วย ไม่มีใครไปบอกจิตให้ทำกิจนี้ อย่าทำกิจนั้น มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ธรรม ไม่ใช่สำหรับจะตัดสิน แต่สำหรับเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาถาม เช่นวันก่อนก็ถามเรื่องหมอไม่รักษา เพราะว่าคนไข้อยากจะตาย ก็เป็นเรื่องซึ่งคิดทั้งหมด และไม่รู้ด้วยว่า ขณะนั้นเป็นเพียงแค่คิด แต่มีเรื่องราวมาจากไหน หมอก็ไม่ได้มีตรงนั้นสักหน่อย ก็อุตส่าห์ไปคิดถึงหมอ และคนไข้กำลังป่วยหนัก และจะทำอย่างไรดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องราวเพราะความไม่รู้ความจริง ความจริงก็คือว่า มีจิตแน่นอน ขณะที่กล่าวว่ามีจิตแน่นอน เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏ และมีสภาพที่กำลังเห็นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้เองที่กำลังเห็น ฟังจนกว่าจะเข้าใจ ไม่ต้องหลีกเลี่ยงไปไหนเลย กำลังเห็นอย่างนี้ และมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างนี้ เริ่มเห็นถูกในขั้นฟังว่าจิตเห็นเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ไม่ใช่จิตได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ปรากฏเพราะจิตเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรม กว่าจะรู้จริงๆ ลองคิดดูสำหรับแต่ละคนที่นี่ ยาก หรือง่าย รู้เพียงแค่นี้ ไม่ต้องมากมาย เพียงแค่ว่าขณะนี้เป็นธาตุที่เกิดขึ้นทำกิจนี้ สภาพที่กำลังปรากฏนี้จึงปรากฏได้ ความรู้แค่นี้ยังตั้งนานกว่าจะรู้ได้ และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงรู้เพียงเท่านี้

    เพราะฉะนั้น พระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมาก็ต่างกันมาก เป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งรู้ยากมาก ฟังสักเท่าไรก็ตามก็เริ่มสะสมเป็นความจำ ในเรื่องสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง แต่ว่าจำไว้นานแค่ไหน พอลุกขึ้นก็หมดแล้วใช่ หรือไม่ เป็นเรื่องอื่นไปแล้วก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะสะสมความจำที่มั่นคง ที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง แม้ในขั้นฟัง ตรงกับลักษณะของสภาพธรรม เข้าใจตรงกับลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้ ผู้นั้นเป็นผู้ที่รู้ว่า เป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าเป็นอนัตตา ทิ้งคำหนึ่งคำใดที่เป็นคำจริงไม่ได้เลย จะไม่มีใครสักคนหนึ่งที่จะไปฝืน ไปบังคับให้เกิดสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่า ยิ่งฟังยิ่งรู้ในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียว เมื่อยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ ก็คืออดทน รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง รู้ว่าปัญญาเริ่มเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงกาลที่สามารถจะรู้จริงอย่างนั้นได้ แต่ให้ทราบว่า สิ่งที่จริง ใครเป็นผู้ตรัสรู้ และทรงแสดง ขณะนี้ไม่มีใครเห็นจิต ๑ ขณะที่เกิดดับ และจะคิดว่าไม่มีจิต หรือว่ามีจิต แต่ไม่เกิดดับ ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะคิด แต่เมื่อจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ จะมีอะไรปรากฏ หรือไม่ ตามคำถามที่ว่า “อยู่คนเดียว หรือไม่ ” จิต ๑ ขณะเกิดขึ้น มีใคร หรือไม่ อย่างจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น แค่เห็น ทำกิจเห็น ลองคิดถึงแตกย่อยขณะในชีวิตออกมาเป็นเสี้ยวขณะที่เล็กน้อยที่สุด สั้นที่สุด เพียงชั่วขณะที่เห็น เป็นเรา หรือไม่ และสิ่งที่ปรากฏเป็นใคร หรือไม่

    เพราะฉะนั้นอยู่คนเดียว หรืออยู่หลายคน ยาก หรือไม่ ที่จะรู้ว่า ตามความเป็นจริง แน่นอน คือ จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นที่ว่าอาจหาญ ร่าเริง ก็คือสามารถที่จะสละความยึดมั่นในความเป็นเรา รักใครที่สุด ตอบตรงกันหมดเลยว่า รักตัวเองที่สุด เป็นคำพูดซึ่งยังไม่ได้ประจักษ์ตามความเป็นจริง ที่ว่ารักตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวเลย ก็เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็มีความคิดนึกตามสิ่งที่ปรากฏ มีความทรงจำเป็นอัตตสัญญา มั่นคง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่ๆ กำลังนั่งอยู่นี่ คนทั้งนั้นเลย โต๊ะทั้งนั้น เก้าอี้ทั้งนั้น ทุกอย่างทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงการอยู่ผู้เดียว และผู้เดียวนั้นก็คือไม่ใช่เราด้วย เป็นแต่เพียงขณะจิตหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อาจหาญร่าเริงไหมที่จะรู้ว่า ในที่สุดก็คือ ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่มี และรักใครที่สุด ยอมสละความรักนั้นได้ หรือไม่ ที่ว่าไม่มีตัวตน แต่มีสภาพธรรม นี่แน่นอน และเกิดแล้วดับไปด้วย

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้กล้า ผู้อาจหาญที่จะรู้ความจริง ถ้ายังไม่ใช่เป็นผู้ที่ใคร่ต่อการรู้ความจริง ก็หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่กับคนตั้งเยอะแยะ แล้วจะมาบอกว่า อยู่คนเดียว แต่ว่าความจริงแท้ กว่าจะได้ประจักษ์แจ้ง กว่าจะมีผู้ที่ตรัสรู้ และทรงแสดง ต้องการความจริง หรือไม่ เท่านั้นเอง ถ้าไม่ต้องการความจริง ง่ายมากเลย โลภะก็พาไปได้ทุกแห่ง อยากได้อะไรก็ทำตาม แม้แต่อยากได้ปัญญา โดยที่ไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร ก็ยังอยากได้ อยากได้นิพพาน ก็โดยไม่รู้อีกว่า นิพพานคืออะไร ก็อยากได้ อยากได้ไปหมดเลย นั่นคือไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นความจริงทั้งหมดทุกคำ ปฏิเสธไม่ได้เลย แต่ว่าใครสามารถที่จะเข้าถึงอรรถ คือ ความจริงอันนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง

    เกิดมาก็เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว สุขทุกข์เรื่อยมาโดยตลอด และก็จากโลกนี้ไป โดยไม่เหลืออะไรเลย สุขก็หมดไป ทุกข์ก็หมดไป ความจริงก็ไม่รู้ เป็นอย่างไร เกิดมาเปล่าๆ จริงๆ ใช่ หรือไม่ คือ เกิดมาเห็น เปล่า คือหมดแล้ว เกิดมาได้ยิน เปล่า คือหมดแล้ว เกิดมาสุขอีก ก็เปล่า คือ หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภพไหนในสังสารวัฏฏ์ จนกระทั่งถึงอรูปพรหมชั้นสูง ภวคพรหม ก็คือเปล่า ไม่รู้ความจริง เกิดมาแล้วก็หมดไป จะใช้คำว่า “เปล่า” ได้ไหม ในเมื่อขณะนั้นหมดแล้ว ไม่เหลือ แต่ก็มีสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่เราเลย เกิดขึ้นสืบต่อตามเหตุตามปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วแต่ว่าจะเกิดในกาลไหน ก็เป็นเรื่องซึ่งอยู่ที่ว่า ถ้ามีโอกาสได้เห็นประโยชน์ ได้ฟังธรรม และรู้ว่าเป็นความจริง ก็ฟังเพื่อที่จะได้มีความมั่นคงในขั้นของการฟัง เพราะเหตุว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะละความต้องการ แม้แต่ที่ต้องการดับกิเลส เพราะเหตุว่ายิ่งฟังยิ่งรู้ว่า ถ้าขณะนี้ไม่ใช่การเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะดับกิเลสอะไร กิเลสมากเหลือเกินวันนี้ ไม่ชอบคนนั้น หรือเปล่า ลองดูว่า ไม่ชอบใครบ้าง หรือเปล่า แค่นี้ ยอมสละความไม่ชอบได้ไหม เพราะว่าเป็นอกุศล มีเมตตาได้ไหม เป็นเพื่อน มีความหวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูลเป็นประโยชน์

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การศึกษาธรรม เพื่อรู้จักตัวเอง ที่เคยเข้าใจว่า มีตัวจริงๆ ให้รู้ว่า เป็นธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล และปัญญาก็จะเห็นเองว่า อกุศลมีโทษ และกุศลก็ไม่ได้มีโทษอย่างอกุศลเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเห็นถูก ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่ากุศลมีหลายขั้นด้วย กุศลขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นความสงบ ก็ไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ แต่ปัญญาที่ค่อยๆ อบรม ค่อยๆ เห็นถูก ค่อยๆ เข้าใจถูก ก็จะเจริญขึ้น จนถึงกาลที่ฟังพระธรรมคำไหน ก็เข้าใจในความหมายนั้น เพราะว่าได้เข้าใจจากขั้นการฟัง และการอบรม รู้จักตัวจริงๆ ของธรรม

    ผู้ฟัง การสละคนที่เราไม่ชอบนี่ยาก แต่การสละคนที่เรารักเราชอบนี่ยากกว่าจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ขอถามว่า ขณะนี้สมมติว่า ไม่ชอบใครสักคนหนึ่งที่นี่ เปลี่ยนได้ไหมจากไม่ชอบ

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ยากไหม

    ผู้ฟัง ยาก ยากกว่าที่ว่าจะเปลี่ยนจากคนที่ชอบ ผมว่ายากยิ่งกว่ามากๆ เลย

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ก็มีการสนทนาธรรม และผู้ที่มาร่วมสนทนาก็พูดถึงผู้ร่วมงาน ซึ่งทำให้เขาโกรธ จนกระทั่งถึงวันนั้นที่พูด คือ เมื่อวานนี้ก็ยังโกรธ คิดดู เขาไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ คนที่ทำให้โกรธ แล้วเขาก็ไม่ได้ทำให้โกรธอีก แต่ความจำที่ยังไม่ลืมว่า ยังโกรธเขาอยู่ และยังโกรธไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีปัญญา ก็โกรธต่อไปอีก แต่เห็นโทษ หรือไม่ว่า ใครเดือดร้อน แล้วก็ชอบทำให้ตัวเองเดือดร้อน ใช่ หรือไม่ แล้วก็ยังไม่ยอมทิ้งความเดือดร้อนนั้นด้วย ใครจะช่วยได้ นอกจากพระธรรม และปัญญาของตัวเอง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ประโยชน์ คือ ได้รู้จักธรรมตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาสามารถที่จะเห็นธรรมตามความเป็นจริง จึงจะเห็นว่า ธรรมใดเป็นอกุศล และธรรมใดเป็นกุศล ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็มีตัวเรายึดมั่น มั่นคง ทั้งๆ ที่ได้ฟังอย่างนี้ เพราะความเป็นเรา ก็ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะว่าไม่ใช่ปัญญา แต่ถ้าเป็นเรื่องของปัญญา ความเห็นถูก จะค่อยๆ เพิ่มกำลังขึ้น แล้ววันหนึ่งก็สามารถที่จะดับกิเลสได้ตามกำลังของปัญญา ของความเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ

    ผู้ฟัง คำว่า “ไม่มี หามีไม่”

    ท่านอาจารย์ “ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่“ คือ การเกิดดับในขณะนี้เอง เมื่อครู่นี้เงียบ ไม่มีเสียงเลย เสียงมี แล้วเดี๋ยวนี้เสียงหายไปไหน นี่คือความจริงทุกขณะ

    ผู้ฟัง แล้วในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ จะชอบคิดแต่อกุศล

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเปลี่ยนธรรม หรือไม่ หรือจะเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นตัวเราตลอดเวลา ซึ่งเดือดร้อน แล้วพยายามเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเรา อยากเป็นคนดีสมบูรณ์ ไม่มีอกุศลเลย ไม่เดือดร้อนเลย เป็นไม่ได้ เพราะว่ามีเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิดก็เกิด เพราะฉะนั้นรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้ารู้อย่างนี้ถูก หรือผิด

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ เกิดให้เห็นอยู่แล้วว่า เป็นอกุศล บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ไม่ยอมจะเข้าใจตรงตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ากว่าจะเห็นธรรม กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด จนไม่เหลือความเป็นเรา นี่คือการอบรมปัญญา ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย เป็นผู้ตรงต่อการที่จะเริ่มเป็นผู้เข้าใจ ในขั้นเข้าใจจากการฟัง แล้วจากการไตร่ตรอง และสัญญา ความจำ ก็จะเริ่มจำคำที่ได้ยินได้ฟัง พอที่จะเกิดระลึกได้ หรือยังน้อยมาก ฟังมาชาตินี้ ไม่ใช่บ่อยๆ บางวันก็ไม่ได้ฟัง บางวันก็ได้ฟัง บางวันก็ฟังมาก บางวันก็ฟังน้อย ฟังแล้วก็ลืมไปเรื่อยเลย ใช่ หรือไม่ เพราะจำอย่างอื่นไว้มาก เพราะฉะนั้นเมื่อจำอย่างอื่นไว้มาก ก็เป็นธรรมดาที่สัญญาก็จะเกิดขึ้นนึกถึงอย่างอื่นที่จำ

    ผู้ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เช่น เรามีอะไรมากระทบ และหลังจากนั้นผ่านไปแล้ว เราถึงรู้ว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นลืมมาตลอดว่าเป็นธรรม เพิ่งมารู้ตอนนั้นว่าเป็นธรรม แล้วอย่างไร จะให้ทำอย่างไร ลืม บังคับบัญชาได้ไหม ไม่นึกว่าเป็นธรรม บังคับบัญชาได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือความจริง ศึกษาให้รู้ว่า ความจริงคืออะไร ความจริงมีทั้งกุศลธรรม และอกุศลธรรม ทั้งกุศลธรรม และอกุศลธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของใครจริงๆ เลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อกุศลที่ดับไปแล้วจะเดือดร้อนไหม ตัวอกุศลที่ดับไปแล้ว แต่ความจำมี ที่ยังยึดถือว่า เป็นเรา อกุศลที่ผ่านไปแล้ว เป็นเรา ก็ทำให้เดือดร้อนได้

    ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นเรา ถึงเดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นเรา จึงต้องฟังธรรมให้เข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ถ้าตราบใดที่ยังมีเราอยู่ ก็ยังเดือดร้อนอย่างนี้

    ผู้ฟัง อีกนานไหม หนูมีความรู้สึกว่า อีกยาวไกล

    ท่านอาจารย์ ก็แล้วหนูคือใคร ก็คือเราอีก ทั้งๆ ที่อยากจะไม่มีเรา แต่กำลังมีเราก็ไม่รู้ แล้วก็เพิ่มเราไปด้วย ขณะที่อยาก และจะหมดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่ละ ไม่ใช่เราละ แต่ว่าเข้าใจเพราะฟัง ใช่ หรือไม่ ก็ฟังต่อไปให้เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง แต่เข้าใจขึ้นมานิดเดียวเอง

    ท่านอาจารย์ ใครกำลังพูด ก็เป็นเราต่อไป เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางหมด ถ้ายังเป็นเราอยู่เรื่อยๆ ฟังเข้าใจหมดแล้ว ก็แล้วกัน อะไรเกิด ก็คือเป็นธรรม แล้วไม่เดือดร้อน ถ้าเข้าใจจริงๆ ต้องสะสมความเข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้น

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคงอยากให้ทุกคนหมดกิเลส แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากทรงแสดงธรรมอย่างเดียว จะช่วยอะไรได้ ทุกคนก็เป็นไปตามการสะสม แม้พระมหากรุณา พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ก็ทรงแสดงพระมหากรุณาตลอด ๔๕พรรษา มากมาย ทุกอย่างที่มีจริงๆ เพื่อจะให้ค่อยๆ ได้เข้าใจถูกต้องตามที่ได้ทรงแสดง และไม่ข้ามขั้น โดยมากคนอยากจะถึงนิพพาน อยากจะดับกิเลส โดยไม่รู้จักกิเลส เป็นไปได้ไหม คิดว่า พอไปนั่ง สงบๆ ปัญญามาจากไหนก็ไม่รู้ดับกิเลส แต่เห็นขณะนี้ไม่รู้เลย และนี่คืออะไร คือความไม่รู้ และไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็มีผู้ที่ไม่ละเอียด และไม่รอบคอบ แล้วก็เกือบจะกล่าวได้ว่า ประมาทในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า คำสอนเป็นธรรมดาๆ ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งๆ คิดว่าสงบ แล้วก็จะรู้ เป็นไปได้ไหม นั่น หรือคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่เคยมีที่จะไม่ให้ใครมีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก และตามลำดับขั้นด้วย คือ ตั้งแต่ขั้นฟัง ยิ่งฟัง ก็ยิ่งละการที่จะถึงการดับกิเลส เพราะรู้ว่ายาก ใช่ หรือไม่ แต่ก่อนนี้อาจจะคิดว่า ง่าย รีบๆ มา แล้วก็จะถามว่า ที่มูลนิธินี่มีสถานที่ปฏิบัติไหม หรืออะไรอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องซึ่งยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ปัญญารู้อะไร และปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และการที่จะรู้จริงๆ รู้อะไร ถ้าสิ่งนี้กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ตราบใด จะกล่าวว่าเป็นปัญญาไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้มีบุญที่ได้กระทำไว้แล้วแต่ชาติปางก่อน ที่ทำให้เห็นคุณของพระธรรมที่ได้ทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยละเอียด แต่ละคำเกื้อกูล


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 167
    15 ม.ค. 2567