พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 340


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๔๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    อ.วิชัย เรื่องของสภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่ยึดถือ คือ ด้วยตัณหา ความติดข้องความพอใจที่ยังเป็นเราอยู่ มีใช่หรือไม่ ขณะนี้ แต่ขณะที่เป็นกุศล ก็ไม่ได้ยึดถือว่าไม่มีตัณหา ไม่ได้เกิดขณะนั้น

    ผู้ฟัง แล้วยังเป็นตัวตนหรือไม่ ทานนอกพระพุทธศาสนาอย่างนี้

    อ.วิชัย ขณะนั้นเป็นกุศล

    ผู้ฟัง แต่มีตัณหา ยึดด้วยตัณหาหรือไม่

    อ.วิชัย ขณะนั้นไม่ได้ยึดถือว่าเป็นตัวตน ขณะที่เป็นกุศล แต่ก็ไม่ได้ละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ขณะที่เป็นกุศล ไม่มีความยึดถือ ไม่ได้เกิดในขณะนั้น เพราะความยึดถือคือด้วยตัณหา มานะ หรือทิฏฐิ ขณะใดที่ตัณหา มานะ ทิฏฐิเกิด ถ้ามีความติดข้องว่ายังเป็นเรา มีจริงใช่ หรือไม่ ขณะที่ยังมีความยึดถือว่าเป็นเรา แต่ขณะที่เป็นกุศล ก็ไม่มีความยึดถือ ไม่มีความติดข้อง เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นกุศล แต่แม้ขณะนั้นก็ยังไม่ได้ละความยึดถือว่าเป็นตัวตน เพราะสติไม่ได้ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง แล้วขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ก็ไม่ใช่ยึดถือว่าเป็นตัวตนด้วย แต่บางขณะถ้าเกิดเข้าใจแล้ว ความเข้าใจเป็นของเรา

    อ.วิชัย เป็นคนละขณะกัน ต้องมีความละเอียดว่า ขณะใดเป็นความติดข้อง ความยินดี ความพอใจที่ยังเป็นเราอยู่ กับขณะที่เป็นกุศล เป็นความเข้าใจเพียงขั้นการฟัง ละได้แค่ขั้นการฟังเท่านั้น

    ผู้ฟัง เมื่อเช้าไม่แน่ใจว่า ฟังผิด หรือเปล่า มัจฉริยะเกิดกับอกุศลจิต เป็นโทสเจตสิก หรือไม่

    อ.วิชัย มัจฉริยะเป็นมัจฉริยเจตสิก เกิดพร้อมกับโทสะ

    ผู้ฟัง ตระหนี่ ไม่ให้ แต่เป็นโทสะ คือ โทสะมีลักษณะที่ผลักออกไป

    อ.วิชัย ชอบ หรือไม่ ที่จะให้คนมาขอ ที่ยังมีความตระหนี่ขณะนั้น พอใจ หรือไม่พอใจ หรือว่าดีใจมากขณะนั้น

    ผู้ฟัง ไม่ชอบ

    อ.วิชัย เกิดพร้อมกับโทมนัสเวทนา คือ เมื่อมีความตระหนี่ มีความไม่พอใจที่ของของเราจะเป็นของคนอื่น หรือเป็นสาธารณะแก่บุคคลอื่น ก็ต้องเกิดพร้อมกับโทมนัสเวทนา เกิดพร้อมกับโทสเจตสิก ขณะนั้นเป็นลักษณะมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่

    ผู้ฟัง ทำไมการเห็น การได้ยิน การคิดนึกต่างๆ และท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า ขณะที่ตื่นขึ้นมา เห็นมีไหม ได้ยินเสียงมีไหม แข็งมีไหม แต่หนูมองแล้วก็มีทุกอย่าง แต่ทำไมตรงนี้ถึงไม่สามารถระลึกได้ และไม่สามารถมีสติเกิดตรงนี้ได้

    ท่านอาจารย์ คุณบุษกรเป็นใคร

    ผู้ฟัง เวลานี้ หนูก็ยังเป็นบุษกรอยู่

    ท่านอาจารย์ มีกิเลส หรือไม่

    ผู้ฟัง มีมาก

    ท่านอาจารย์ มีความไม่รู้ หรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังเห็น ไม่รู้ หรือรู้

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่รู้โดยชื่อ

    ท่านอาจารย์ และยังไม่รู้อีกเยอะหรือไม่

    ผู้ฟัง เยอะมาก

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้ด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นคำตอบแล้ว หรือยัง

    ผู้ฟัง เป็นคำตอบแล้ว

    อ.วิชัย ขอสนทนากับพี่บุษกร เพียงแค่ฟัง และเพียงเข้าใจขั้นการฟัง ความรู้ความเข้าใจค่อยๆ เกิดขึ้น ดังนั้นการอบรมเจริญความรู้ความเข้าใจ จึงมีความสำคัญมากในการที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเจริญขึ้น ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจนั้นคิดไหม กังวลไหม ต้องเดือดร้อนไหม ว่าไม่รู้ ทางตาก็ไม่รู้ หรือทางหูก็ไม่รู้ กับขณะที่ฟังขณะนี้ และเริ่มเข้าใจ มีความเดือดร้อนใจไหม

    ผู้ฟัง ขณะที่ฟังไม่เดือดร้อน

    อ.วิชัย เมื่อฟังแล้วเข้าใจ เพียงแค่นั้น เริ่มค่อยๆ สั่งสม อบรมความเข้าใจให้ค่อยๆ เจริญขึ้น แม้จะเดือดร้อนใจไป ก็ไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยให้ปัญญาเจริญ แต่ขณะที่เริ่มฟัง มีความเข้าใจ ขณะนั้นเป็นการละความไม่รู้ ดังนั้นก็ต้องเริ่มสั่งสมปัญญาซึ่งเป็นสภาพที่ละความไม่รู้ ให้ค่อยๆ เจริญขึ้น

    ผู้ฟัง ถ้าเดินข้ามถนนแล้วรถไม่ชน หรือว่าจับแก้วน้ำแล้วไม่หก สภาพธรรมอะไรที่ทำให้ต่างกันตรงนี้

    อ.วิชัย เช่นแก้วน้ำเต็ม แล้วถือถ้วยอะไรไม่ให้น้ำหก เป็นกุศลหรือเปล่า ขณะนั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจว่า ไม่ใช่สติ แต่อยากทราบว่า มีสมาธิ หรืออะไรที่ทำให้โดนชนกับไม่โดนชน

    อ.วิชัย ต้องเข้าใจเรื่องของจิต และเรื่องของรูป การเดินไปต่างๆ มีจิตเป็นปัจจัย การเคลื่อนไหว การทำกิริยาอาการต่างๆ มีจิตเป็นปัจจัย การกระทำสิ่งต่างๆ ขณะนั้นเป็นจิตอะไร เพราะเหตุว่าการโดนรถชนมีหลายปัจจัย อาจจะมีอดีตกรรมให้เป็นอย่างนั้น หรือว่าขณะนั้นเป็นผู้ประมาท คือ อาจจะมีจิตเป็นไปในเรื่องอื่น เป็นเหตุปัจจัยให้อดีตกรรมให้ผล ได้รับทุกขเวทนาทางกายอย่างนั้นๆ และต้องเข้าใจว่า ในส่วนของจิตก็ส่วนหนึ่งที่มีจิตเป็นปัจจัยให้มีกิริยาอาการต่างๆ โลภะก็ได้ ความพอใจที่ต้องการเดินให้ดี ให้สวย ให้งาม หรือด้วยโทสะ เดินอย่างเร็วๆ ขณะนั้นก็มีจิตที่เป็นปัจจัยให้เป็นไปอย่างนั้นๆ แต่การที่จะได้รับสิ่งต่างๆ ทุกข์ทางกาย ก็เป็นเรื่องของกรรมในอดีตที่จะให้ผลอย่างนั้นๆ แม้จะพยายามป้องกันอย่างดี แต่อาจจะได้รับผลถูกรถชนก็เป็นไปได้ เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรมที่ต้องได้รับวิบากอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องพิจารณาด้วยเหตุผล และพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเอง คนที่จะมีสติ หรือไม่มีสติ รถชนได้ไหม หรือต้องชนเฉพาะคนที่ไม่มีสติ

    ผู้ฟัง มีสติ หรือไม่มีสติ ก็ถูกรถชนได้ทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องแยกกัน เรื่องของการที่จะรู้สิ่งที่กระทบกาย ขณะนั้นต้องเป็นเรื่องของกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว แม้ขณะนี้ ยังไม่ถูกรถชนเลย แต่ทางกายที่กำลังกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ทราบว่า เป็นจิตที่เป็นผลของกรรม ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ก็ทำให้รูปที่เกิดนั้นกระทบกับกายปสาท และจิตก็เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น จะสมมติเรียกว่ารถชน หรือจะโคขวิด อย่างในพระไตรปิฎก หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องของขณะจิตที่เป็นผลของกรรม ที่จะต้องรู้สิ่งที่กระทบกาย ถ้าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกขเวทนา ความเจ็บปวด ขณะนั้นก็เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ใช่การที่เราจะตัดสินว่า ขณะที่กำลังถูกรถชน คนนั้นขาดสติ คนนั้นไม่มีสติ เดินไม่ระวัง ก็เกิดรถชน แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า จะมีสติ หรือไม่มีสติก็ตาม นั่นไม่ใช่ขณะที่เป็นผลของกรรม แต่ขณะที่มีสิ่งที่กระทบกาย ไม่จำเป็นต้องเป็นรถ เป็นโคขวิด หรือเป็นอะไรเลย แม้ในขณะนี้ ทุกขณะที่มีการกระทบ และสิ่งที่ปรากฏทางกาย เป็นผลของกรรมทั้งหมด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็คงจะตัดปัญหาได้

    ผู้ฟัง สรุปแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เป็นผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ แต่ละขณะจิตอย่างละเอียดมาก ปนกันไม่ได้เลย ถ้าปนกัน เราสับสน แล้วเราก็เข้าใจผิดว่า เพราะไม่มีสติ จึงถูกรถชน ใช่หรือไม่ แต่รถจะชนคนที่กำลังมีสติได้หรือไม่ หรือว่าไม่ได้ ก็เป็นแต่ละเหตุการณ์ แต่ละเรื่อง

    ผู้ฟัง เราต้องมั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นการที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม การฟังธรรมทุกวันๆ เพื่อให้เข้าใจถูกว่า ขณะนี้มีธรรมกำลังปรากฏ แต่ไม่เคยรู้ว่า เป็นธรรม แล้วไม่เคยรู้ความจริงของธรรมด้วย แม้จะได้ยินคำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม“ แต่ขณะที่กำลังฟัง ก็ยังไม่รู้ความจริงของธรรม อย่างเวลาที่ขุ่นเคืองใจเกิดขึ้น ไม่ชอบ เป็นธรรมหรือเปล่า ยังไม่ต้องไปคิด ไม่อยากจะมีโทสะ แต่ขณะที่โทสะกำลังเกิด ขณะนั้นรู้หรือเปล่าว่าโทสะก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่ก็จะคิดว่า เรามีโทสะ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ข้ามไป อยากจะไม่มีโทสะ ก็ไม่มีการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเลย แต่การฟัง ก็คือฟังเพื่อให้ถึงความเข้าใจที่สมบูรณ์จริงๆ ที่มีความเข้าใจแต่ละคำโดยไม่ลืม เช่น คำว่า “ธรรม” ฟังแล้วเหมือนเข้าใจ ทุกอย่างเป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แต่ขณะนี้อะไรมีจริง เห็นจริง ได้ยินจริง คิดนึกจริง ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เป็นความเข้าใจขั้นฟัง ซึ่งจะต้องมีปัญญาต่อไปอีกถึงกาลที่สามารถกล่าวได้จริงๆ เพราะประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่า เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา แล้วมีการเกิดขึ้น และดับไปด้วย ทุกอย่างต้องตรง และจริง ถ้าจะกล่าวว่าเป็นธรรม ก็หยุดเพียงเท่านั้นไม่ได้ พอใจเพียงเท่านั้นไม่ได้ เพราะเพียงแค่คิดว่า เป็นธรรม แต่ไม่ใช่รู้จักธรรมที่กำลังเป็นธรรมทุกขณะ

    ผู้ฟัง ถ้าเรามั่นคงแม้ขั้นการฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม และเกิดดับตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา และมีเรื่องของกรรม ผลของกรรม ก็จะไม่เอาเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์มาถามให้ตัดสินว่า เป็นอย่างไร ถ้าเรามั่นคงอย่างนี้ ก็จะเข้าใจไปเองว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และเกิดตามเหตุปัจจัยในอดีตที่สะสมมามากมาย

    ท่านอาจารย์ ฟังว่าเป็นธรรม แล้วก็ลืม นี่คือปกติ เพราะว่าเราจะไปจำเรื่องอื่น คิดเรื่องอื่น เพราะว่าเคยจำเรื่องอื่นมานาน ตั้งแต่เกิดมาก็จำเรื่องบุคคลใกล้ชิด เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ แต่ว่าฟังว่า ขณะนี้เป็นธรรม แม้ว่าจะมีความเข้าใจในขั้นฟัง แต่ก็ตื้น และเล็กน้อยมาก คือ พอฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม แต่วิธีที่จะมั่นคง ไม่ลืม ก็คือ ฟังอีกเรื่อยๆ แล้วก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เข้าใจธรรมจริงๆ หรือเปล่า อย่างทางตา เห็น เห็นมามาก แล้วก็จะเห็นต่อไปอีก และได้ฟังว่า เห็นก็เป็นธรรม

    เห็นเป็นธรรมอย่างไร ในเมื่อเคยเห็นเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ แต่ตามความเป็นจริงทุกอย่างเกิดแล้วดับเร็วมาก ในขณะนี้เอง ความไม่รู้ คือ เพียงแค่ฟังว่าเห็นเป็นธรรม เกิดได้เมื่อมีรูปที่กระทบจักขุปสาท แล้วจิตเห็นจึงเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้จึงปรากฏ ฟังอย่างนี้แล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม แต่ก็เป็นปกติธรรมดา เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ อย่าไปคิดว่า เราจะเข้าใจได้ทันที หมดการที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะว่าจริงๆ แล้ว เห็นแล้วต้องคิด ยับยั้งไม่ได้เลย เมื่อคิดก็รู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไร

    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นชีวิตประจำวันซึ่งไม่ใช่ให้ใครไปเปลี่ยน แต่ให้เพิ่มความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เพื่อที่จะคลายความติดข้อง และความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ และความติดข้อง ไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ ซึ่งสภาพธรรมแต่ละอย่างมีปัจจัยเกิดแล้วดับเร็วมาก เช่นขณะนี้เห็น ถ้าไม่ดับ เสียงปรากฏไม่ได้เลย คิดนึกก็มีไม่ได้เลย ก็แสดงว่า ความห่างของสติสัมปชัญญะที่เริ่มจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มากหรือไม่ เพราะเหตุว่าระหว่างเห็นกับได้ยิน ยังมีความติดข้อง หรือความพอใจในสิ่งที่เห็นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รูปที่มีอายุสั้นมากจะดับไป

    ความไม่รู้มาก ไม่ต้องไปคิดว่า เมื่อไรเราจะรู้ เสียเวลา เพราะเหตุว่าเป็นตัวเรา เป็นตัวตนที่อยาก และยังคงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่ขณะใดก็ตามที่ฟังธรรม กำลังมีธรรมปรากฏ แล้วก็ฟังว่า สิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ตรงกับความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ หรือไม่ เมื่อเป็นความจริง รู้ความจริงระดับไหน ระดับกำลังเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยว่า เห็นจริง และไม่ใช่ตัวตน เพราะว่ามีเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ใครจะไปทำให้เกิดเห็นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลย และเห็นก็ไม่ยั่งยืนเลย เมื่อวานนี้เห็นอะไรตั้งมากมาย ไม่เหลือเลย เมื่อสักครู่นี้ก็เห็น แล้วขณะนี้ก็เห็น ต่อไปก็เห็น แต่ว่าเราไม่มี มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับไป โดยไม่เหลือ และไม่กลับมาอีก

    การฟังธรรม เพื่อที่จะเป็นสังขารขันธ์ที่จะน้อมไปสู่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ถ้ามีความเห็นผิด ไม่ได้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่ปัญญาเริ่มจะเข้าใจ และก็คิดว่า จะต้องไปทำอย่างอื่น จะไปรู้อย่างอื่น ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงว่า สภาพธรรมเกิดแล้วดับตามเหตุตามปัจจัย เพราะว่าขณะนี้ไม่ใช่มีใครไปรู้ว่า เห็นขณะนี้เกิดเพราะรูปกระทบกับจักขุปสาท และจิตเห็นกำลังเห็นสิ่งนี้ นั่นคือเรื่องราว แต่ว่าสภาพเห็นมีจริงๆ สั้นมาก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ต้องเข้าใจว่า ขณะที่กำลังฟังเรื่องเห็น ก็เพราะเหตุว่ายังไม่มีปัญญาที่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เห็นพร้อมสติสัมปชัญญะ เพราะว่าพื้นฐานความเข้าใจเรื่องเห็นยังไม่พอ หลงลืมเสมอ กำลังเห็น ทั้งๆ ที่ฟัง ก็ไม่ได้รู้ความจริงของเห็น แต่ถ้าไม่ฟังเลย ก็ไม่มีโอกาสที่ปัญญาจะเจริญขึ้น แต่การฟัง และเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ก็จะตรงกับความเป็นจริงที่ว่า เราสะสมความไม่รู้มาแต่ละขณะจิต ทีละเล็กทีละน้อยในสังสารวัฏฏ์ นานแสนนาน ถ้าจะเทียบกับการที่กำลังเริ่มมีสิ่งที่ปรากฏ และขณะนั้นไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย ขณะนั้นกำลังค่อยๆ เข้าใจ ดูเหมือนว่าน้อยมาก หรืออาจจะไม่มีเลย ทั้งๆ ที่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ปรากฏ แต่ก็จะเห็นได้ว่า ต่างกับขณะที่ไม่เคยได้ฟัง เวลาที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และกำลังฟัง นี่ต่างกันแล้วใช่ หรือไม่ ไม่ได้ฟังเรื่องอื่น กำลังฟังเรื่องสภาพธรรมที่ปรากฏ และจิตที่กำลังเห็น

    จะเห็นได้ว่า ถ้าฟังมากกว่านี้ จะค่อยๆ เข้าใจมากกว่านี้ และจะรู้ว่า ขณะนี้ที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ แม้ความเข้าใจชัดเจนไม่เกิด แต่เริ่มรู้ว่า ขณะนั้นไม่ได้ไปอื่นเลย ยังคงมีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ชั่วขณะที่สั้นมาก ที่กำลังมีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และกำลังเริ่มที่จะเข้าใจ ก็จะรู้ลักษณะที่ใช้คำว่า “สติสัมปชัญญะ” หรือ “สติปัฏฐาน” เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ประมาณไม่ได้ ใช้คำว่า “ประมาณไม่ได้” เหมือนเห็นกับได้ยิน เหมือนพร้อมกัน ฉันใด ขณะที่สภาพธรรมก็ปรากฏตามปกติ และมีการฟังเรื่องสภาพธรรม และความเข้าใจลักษณะนั้นเริ่มเกิดขึ้น

    นี่คือขณะที่เหมือนไม่ปรากฏว่า เป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนกับการจับด้ามมีด กำลังจับ จะไม่เห็นว่า ด้ามมีดสึก ฉันใด ขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา และฟังเรื่องนี้ และกำลังเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย นั่นคือการที่ปัญญาสามารถถึงการคลาย การที่ไม่เคยฟังเลย และไม่เคยรู้เลยว่า ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา จริงๆ เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่ว่าเป็นธาตุ หรือธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังปรากฏ แสดงความเป็นอนัตตา แสดงความเป็นธรรม แต่ว่าปัญญาไม่ถึงระดับที่จะเห็นถูกว่าเป็นธรรม และเป็นอนัตตา แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น ก็แสดงให้เห็น รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นว่า กาลที่ปัญญาจะเจริญขึ้น จนกว่าจะรู้ความจริง ไม่ต้องถามใคร นานเท่าไร คนอื่นบอกได้ หรือไม่ แต่ขณะที่เริ่มมีความเห็นถูกว่า ปัญญาจริงๆ ที่จะรู้ธรรมจริงๆ ก็คือในขณะที่ธรรมนั้นปรากฏ ไม่ใช่ในขณะที่ไปคิดเตรียม คิดทำ คิดอะไรต่างๆ แต่ข้ามการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    นี่คือหนทางเดียว และเป็นหนทางที่ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าอริยสัจทั้ง ๔ ลึกซึ้ง

    ผู้ฟัง ถึงแม้จริงๆ ยังไม่ประจักษ์สภาพธรรม แต่ขั้นฟังให้เข้าใจ ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยรู้เลยว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นธรรมอย่างไร แต่เมื่อมาฟัง ถึงแม้ยังไม่ประจักษ์ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะมีความเข้าใจต่างจากแต่ก่อนที่ไม่รู้เลยมาก ในขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด สิ่งที่ไม่รู้ มีอยู่ ให้รู้ตัวว่า ไม่รู้อยู่ตลอด ใช่ หรือไม่ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ปัญญารู้อะไร ที่จะเป็นปัญญาจริงๆ ที่จะอบรมจนกว่าจะประจักษ์สัจธรรม คือสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏในขณะนี้ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ คลายความไม่รู้ว่า เห็น มีแน่นอน หลังจากนั้นคือคิด ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ

    กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เข้าใจ ซึ่งแต่ก่อนนี้ปรากฏแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้ เป็นอวิชชาตลอดมานานแสนนาน แต่พอฟังแล้วก็รู้ว่า สิ่งนี้เอง ไม่ได้หนีไปไหนเลย ระลึกได้เมื่อไร ก็กำลังเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เหมือนธรรมอื่นๆ เหมือนเสียง เหมือนกลิ่น มีความเสมอกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เกิดปรากฏให้รู้ความจริง จนกว่าปัญญาจะสามารถรู้ได้ แต่ถ้ายังไม่รู้ ก็ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นหนทางเดียว

    ผู้ฟัง ได้อ่านหนังสือพบข้อความหนึ่งว่า “ระลึกรู้รูปนามถึงความเกิดดับ เกิดความหวาดเสียว และน่ากลัว” สงสัยข้อนี้

    ท่านอาจารย์ กำลังหวาดเสียว เป็นกุศล หรืออกุศล

    ผู้ฟัง อกุศลใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ แล้วเจริญไปเพื่อให้ถึงอกุศล หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผิด

    ผู้ฟัง พื้นฐานจิตใจของคนที่ปฏิสนธิด้วยมหากุศลจิตโสมนัส จะแตกต่างจากบุคคลที่เกิดมาด้วยอกุศลจิตโสมนัสอย่างไร พอจะสังเกตได้ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ คุณธีรพันธ์ พอจะสังเกตได้หรือไม่

    อ.ธีรพันธ์ การที่จะสังเกตจากบุคคลอื่นก็เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นจิตของผู้นั้นเอง แต่เมื่อมีจิตแล้ว ก็ต้องมีการแสดงออกมาทางกาย วาจา จะทราบตามอาการได้เท่านั้นเองว่า ผู้นี้เป็นบุคคลที่มีจิตเป็นมหากุศล และมีโสมนัสเกิดร่วมด้วย แต่จริงๆ แล้ว ต้องเป็นสติสัมปชัญญะที่จะรู้ลักษณะของจิตของผู้นั้นเอง

    ท่านอาจารย์ การที่เกิดมา และปฏิสนธิจิตของใครจะเป็นอะไร ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะว่าบางกาลก็เป็นโสมนัสในอกุศล บางกาลก็โสมนัสในกุศล และสภาพจิตของแต่ละคนก็มีความลึกซึ้งต่างกันตามการสะสม ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล ที่จะเป็นโสมนัสนิดหน่อย หรือจะเป็นอุเบกขามาก ก็ไม่ใช่ฐานะที่คนอื่นจะรู้ได้ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เราจะพยายามเดา หรือคิด

    ผู้ฟัง กุศลโสมนัสของท่านอาจารย์ที่เกิดขณะไหนบ้าง

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะที่มีผู้ศรัทธาฟังพระธรรม และโดยเฉพาะมีความเข้าใจขึ้นเมื่อไร ดิฉันก็มีความโสมนัสทุกครั้ง

    ผู้ฟัง ลักษณะของโสมนัสเวทนากับโลภเจตสิก มีความต่างเชิงสภาวะอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ โสมนัสเวทนาเป็นความรู้สึก และโลภเจตสิกเป็นสภาพที่ติดข้อง

    ผู้ฟัง ขณะที่เราทำกุศล ก็ไม่แน่ใจว่า ขณะที่ทำกุศลไปแล้ว เป็นลักษณะของโลภะที่พอใจในกุศลที่ได้ทำ หรือเป็นลักษณะของโสมนัสเวทนาซึ่งเป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ หรือบางทีก็เป็นโลภะด้วย

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เราสามารถทำกุศลที่คนอื่นทำไม่ได้ บางครั้งก็เป็นอย่างนั้นได้ ใช่หรือไม่ เป็นมานะ เป็นความสำคัญตน แม้ว่าจะมีโสมนัสที่ได้กระทำ แต่สภาพของจิตก็เป็นสภาพที่เกิดดับสลับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะจริงๆ ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นอะไร แต่ก่อนอื่นที่จะไปรู้ว่า เป็นอกุศล หรือเป็นโสมนัส หรือเป็นอุเบกขา เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 167
    16 พ.ค. 2567