พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 389


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๘๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ นี่คือไม่ได้แยกปริยัติว่าเป็นการที่จะต้องเข้าใจเรื่องราว แต่ไม่ใช่เป็นการจะรู้มโนทวารวิถี หรือสภาพของมโนทวาร เพราะเหตุว่าจากการฟังก็รู้ได้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม แต่ถ้าขณะนี้ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด สามารถจะรู้มโนทวารได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย โดยขั้นการศึกษาทราบว่า ขณะนี้ที่เหมือนเห็นตลอดเวลา ยังไม่ได้ดับไปเลย ความจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาสั้นมาก จิตเห็น หรือจิตที่รู้อารมณ์ คือสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยอาศัยจักขุปสาท ก็สั้นมาก เพราะว่าจักขุปสาทก็ดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาที่กระทบจักขุปสาทก็ดับ แต่เร็วจนกระทั่งไม่ปรากฏ แต่สามารถเข้าใจจากการฟังว่า ในขณะนี้มีคิดนึกด้วย มีได้ยินด้วย เหมือนพร้อมๆ กัน แต่ความจริงยังไม่ทันได้ยินเลย หลังจากที่จักขุทวารวิถีจิตดับ ภวังคจิตเกิด มโนทวารวิถีจิตก็เกิด รู้อารมณ์เดียวกันเลย แล้วขณะนี้ใครสามารถที่จะรู้ว่า กำลังเห็นขณะนี้ ขณะไหนเป็นจักขุทวารวิถี และขณะเป็นมโนทวารวิถี เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นการปะปนที่จะเข้าใจว่า ความรู้ขั้นฟังสามารถรู้ลักษณะของมโนทวารได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเพียงสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ รู้ลักษณะที่เป็นธรรม นั้นๆ หรือยัง

    ผู้ฟัง จะเป็นไปได้ หรือไม่ที่เข้าใจอย่างนี้ คือ ชวนจิตเขาจะสะสม ขณะที่สติเกิดก็คงจะเกิดในชวนะนี้ หรือไม่ และการฟังธรรมที่เข้าใจก็เป็นการสะสมชวนะนี้ ถ้าชวนะนี้เป็นกุศล หรือประกอบด้วยสติ และปัญญาด้วย ก็สามารถเข้าใจสภาวธรรมที่เกิดขึ้นทางปัญจทวาร อันนี้ลักษณะนี้จะเป็นไปได้ หรือไม่ แต่ถ้าชวนจิตเป็นอกุศล ก็จะถูกโลภะครอบงำ และไม่สามารถรู้สภาวธรรมอะไรได้เลย ความเข้าใจนี้อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจจิตเป็นนามธรรม เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตที่ดับไปเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น แต่จิตก็หลากหลายมาก มีทั้งที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเรื่องจิต และรู้ว่าจิตสะสมกุศล และอกุศล จะสงสัยไหม

    ผู้ฟัง ไม่สงสัย ก็แสดงว่าที่ผมเข้าใจคงจะถูก ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อยากให้เป็นความเข้าใจของคุณชุนห์เอง ขณะนี้จิตเกิดดับสืบต่อกัน

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าศึกษาละเอียดก็จะรู้ด้วยว่า แม้กิริยาจิตก็สะสมด้วย แต่กิริยาจิตที่ทำชวนะขณะนี้ไม่มี เพราะว่าต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น การศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ถ้ามีพื้นความเข้าใจที่มั่นคงตอนต้น เวลาที่ได้ยินได้ฟัง หรือศึกษาต่อไป ก็จะไม่สงสัย หรือข้อความในพระไตรปิฎก ถ้าเรามีความเข้าใจที่เป็นพื้นฐานที่มั่นคง แม้ว่าภาษาสำนวนจะเป็นอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องของแต่ละภาษา แต่ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้นให้เข้าถึงความจริงของธรรม เพราะเหตุว่าขณะนี้กำลังเห็น จะพูดภาษาอะไรถึงสิ่งที่กำลังเห็น คุณชุนห์จะพูดภาษาอะไร

    ผู้ฟัง ภาษาไทย

    ท่านอาจารย์ พูดภาษาไทยก็เข้าใจได้ เมื่อเข้าใจว่าเห็นคือขณะนี้ที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา และมีธาตุที่รู้ คือ กำลังเห็นลักษณะที่ปรากฏทางตา พอได้ยินคำว่า จักขุวิญญาณ พอรู้ไหมว่าหมายความถึงอะไร

    ผู้ฟัง พอรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจลักษณะของชวนจิตก็จะง่ายดี

    ท่านอาจารย์ ชวนจิตวันนี้มีอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง กุศลก็มี อกุศลก็มี

    ท่านอาจารย์ สะสมไหม

    ผู้ฟัง สะสม

    ท่านอาจารย์ หรือว่าเกิดแล้วหายไปเลย ไม่ต้องสะสม สบายดี อกุศลเกิดแล้วก็หมดไปเลย อย่างนั้น หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ สะสมไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ที่ว่าฟังให้ถูกต้อง และพิจารณาให้ถูกต้อง และธรรมเป็นเรื่องละเอียด คงต้องรบกวนท่านอาจารย์ขยายความ เพราะว่าที่ฟังกันอยู่ก็จะเป็นเรื่องชื่อ เรื่องตัวเลข เรื่องราว ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ปรากฏ คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียง คิดนึก อย่างนี้ก็มีตลอดเวลา แล้วท่านอาจารย์ก็นำสอน พระพุทธเจ้าก็สอนสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ที่ฟังให้ถูกต้อง พิจารณาให้ถูกต้อง และธรรมเป็นเรื่องละเอียด คือ เหมือนกับพอฟังท่านอาจารย์ย้ำ ดูเหมือนไม่เข้าใจสักเท่าไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่อยเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง ที่ว่าฟังถูกต้อง มันจะเป็นชื่อ เป็นเรื่อง เป็นตัวเลข กับฟังถูกต้องให้เข้าใจธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ ขอรบกวนให้ท่านอาจารย์ขยายให้ละเอียด

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณฟังธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อละความไม่รู้ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ นี่คือจุดประสงค์ จะต้องไปนับตัวเลขอะไร หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง คือก็เข้าใจว่าเดิมก็ไม่เคยทราบว่า เห็น ได้ยิน เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เกิดความสนุก ความพอใจ ตัวเลขมา หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มา

    ท่านอาจารย์ แทนที่จะไปนึกถึงว่าเป็นโลภมูลจิต ประกอบด้วยเจตสิกเท่าไร แต่ว่าลักษณะจริงๆ ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการศึกษาธรรมโดยละเอียดที่เป็นอภิธรรม ก็คือเพื่อให้เข้าใจความจริงว่า สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างนั้น แน่นอน คลายความไม่รู้ในขั้นฟัง เพื่อจะค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิดระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมตามที่ได้ฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นธรรมตามที่ได้ฟัง คือ ประกอบด้วยเจตสิกเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่ แต่ลักษณะเป็นสภาพที่ไม่ใช่เรา เพราะว่าจะต้องมีความเห็นถูก ที่ไม่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะมีความเข้าใจขั้นฟัง จนกระทั่งเกิดการรู้ลักษณะแต่ละลักษณะ ซึ่งเราไม่สามารถจะไปรู้โดยความเป็นปัจจัยกี่ปัจจัย ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่จากการฟังเรื่องปัจจัย ก็จะทำให้เห็นว่า แม้ ๑ ขณะจิตซึ่งสั้นมาก ก็ยังต้องอาศัยสภาพธรรมซึ่งเกิดร่วมกันเป็นปัจจัยกันอย่างไรในขณะนั้น รวมทั้งปัจจัยที่เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว ก็ยังเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมนี้เกิดด้วย

    นี่คือการที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ด้วยความเข้าใจเรื่องราว แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นจึงดับกิเลสไม่ได้ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นฟัง ก็คือขณะที่ฟัง คุณอรวรรณคิดถึงเรื่องอื่น หรือไม่ กำลังฟังเรื่องจิตเห็น คิดถึงตทาลัพมนะ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้คิดถึงตทาลัมพนะ ก็คิดถึงสิ่งที่ฟัง ยกเว้นเวลาจิตแว๊บไปเป็นธรรมดา เพราะบางทีก็แว๊บไปเรื่องไหนก็ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ นั่นก็เป็นธรรม และก็เป็นอนัตตา แล้วก็ลืม เห็นไหมว่าฟังเพื่อไม่ลืม เพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่า ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไปเรื่อยๆ เท่าไรก็ไม่พอ จนกว่าจะดับกิเลสได้

    ผู้ฟัง แล้วการฟังในขั้นเรื่องราวว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล จริงๆ เป็นธรรมที่เกิดดับ และปรากฏ ที่ว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ก็คือธรรมเกิดปรากฏ แล้วก็ดับ แล้วก็เกิดใหม่ เพียงแต่ปัญญาจะรู้ หรือไม่รู้เท่านั้นเอง ตรงนี้ในขั้นฟังเรื่องราวที่เป็นอย่างนี้ ถ้าเราฟังแล้วเข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจผิด เข้าใจถูกต้อง ก็สามารถเป็นปัจจัยให้ปัญญาที่จะรู้จริงๆ เกิดได้ หมายความว่าสามารถเข้าถึงลักษณะที่เราฟังเรื่องราวเป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าถึงไม่ได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงไหม

    ผู้ฟัง ถ้าแสดงก็ต้องถึงได้ โดยที่ต้องระมัดระวัง แต่จริงๆ แล้วระมัดระวังไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วโลภะจะฉวยโอกาส หลอกลวงอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นใครที่โดนโลภะฉวยโอกาสหลอกลวงก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้รู้ตัว เพื่อไม่ให้หลงไปถึงไหน แล้วไม่สามารถเข้าใจความจริงได้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ จึงต้องฟังด้วยการไตร่ตรอง ด้วยการพิจารณา ด้วยการเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นอย่างที่ได้ทรงแสดง หรือไม่ มิจฉามรรคมี หรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถ้าไม่มี ต้องทรงแสดงไหมว่า มีมิจฉามรรคด้วย ไม่ใช่มีแต่สัมมามรรค เตือนให้เป็นผู้ละเอียดที่จะถึงธรรม เข้าใจธรรม ประจักษ์แจ้งธรรมจริงๆ เป็นเรื่องละความไม่รู้ และต้องเป็นผู้ละเอียดด้วย ฟังแล้วต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เช่น ได้ยินคำว่า “ธรรม” มีลักษณะจริงๆ ปรากฏ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนได้ไหม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ได้ยินอย่างนี้แล้วไปทำอะไร โดยที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏในขณะนี้ ก็คือว่าธรรมที่ได้ฟังต้องไตร่ตรอง เป็นความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ แล้วก็มีความเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เท่าที่ฟังทั้งเทป และมาฟังที่มูลนิธิฯ ท่านอาจารย์ก็จะย้ำว่าฟังให้เข้าใจ เข้าใจว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และเกิดดับตามเหตุปัจจัย และสติปัญญาสามารถรู้ความจริงที่เราไม่เคยรู้ เมื่อไม่รู้ก็ยึดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อปัญญาถึงขั้นรู้ได้จริง ก็จะละคลายตรงนั้น ก่อนที่เราจะละคลายตรงนั้นในขั้นฟัง ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ก็จะละคลายในขั้นฟังไปได้

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่เป็นกุศล อกุศลก็เกิดไม่ได้ ในขณะที่เป็นความเข้าใจถูก ความเข้าใจผิดก็มีไม่ได้ แต่ก็หลงลืมอยู่เสมอ เพราะว่ามีเหตุที่จะให้เป็นอกุศล ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริง กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แต่ไม่ใช่เรา คือ ไม่ลืมว่าเป็นธรรม มั่นคงขึ้นในความเข้าใจ ขั้นเข้าใจ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อไรที่เราฟังเข้าใจ ความรู้ก็สามารถละความไม่รู้ที่เราสะสมเอาไว้นานได้ ก็ค่อยๆ คลายไปเหมือนที่ท่านอาจารย์บอกว่า จับด้ามมีด

    ท่านอาจารย์ คนอื่นรู้ไม่ได้เลย นอกจากตัวเอง

    อ.วิชัย เรื่องของสิ่งที่ไม่มี แล้วก็มีขึ้น ในขั้นการฟังก็พิจารณาได้ว่า สภาพธรรม คือ มีเหตุปัจจัย จากไม่มีแล้วก็เหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แต่ขั้นสติเกิดระลึกรู้ รู้สึกว่าสติจะดับ โดยไม่รู้ในลักษณะสภาพที่สติระลึกว่าดับ

    ท่านอาจารย์ สติปัฏฐาน แล้วก็มีอินทรีย์ มีพละ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น ใช่ไหม มีกำลังที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นขั้นฟังก็ยังไม่ใช่รู้ลักษณะ ไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ไม่ลืม ทำไมเรื่องอื่นๆ เราไม่ลืมได้ ทุกเรื่องที่เราพูดถึง เราจำทั้งนั้นเลย ไม่ลืม แต่ทำไมลืมว่าเป็นธรรม เพราะว่าการฟัง และความเข้าใจของเราไม่มากพอ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ไม่ต้องไปทำลืม ก็มีปัจจัยที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิด เห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ว่า ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา โดยมากฟังธรรมแล้วก็ยังมีความเป็นเรา เพราะว่ายังไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นพออกุศลเกิด หาทางแล้วใช่ไหม ทั้งๆ ที่การเกิดขึ้นของอกุศล แสดงความเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศล ก็เป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิบาก ที่จะมีการเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ทั้งหมดก็เป็นอนัตตาทั้งหมด ปัญญาไม่พอที่จะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ทั้งๆ ที่เรียนแล้ว เข้าใจแล้วทั้งหมด ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรายังคงหวังก็กั้นอีกแล้ว แต่ถ้าปัญญาเจริญขึ้น ไม่มีใครไปกั้นการเจริญขึ้นของปัญญา จนกระทั่งแม้สติสัมปชัญญะเกิดครั้งแรกๆ ก็ไม่สามารถประจักษ์ความจริงซึ่งเกิดขึ้น และดับไปได้ เพราะเหตุว่าเพียงเริ่มที่จะรู้ตรงลักษณะของธรรมทีละลักษณะ สภาพธรรมทางตาเป็นอย่างหนึ่ง สภาพธรรมที่ปรากฏทางกายก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง และสติสัมปชัญญะจะระลึกอะไร หรือไม่ ที่เราเรียนคำว่า “นามธรรม และรูปธรรม” มีจริงๆ เราเรียกชื่อถูก แต่ว่าสภาวธรรมที่ปรากฏไม่รู้ จนกว่าจะคุ้นเคยกับลักษณะนั้นๆ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาเห็นทั้งวัน เหมือนจะอย่างนั้น ระหว่างที่ยังไม่หลับ ปรากฏว่ามีการเห็นทั้งวัน แต่ว่าตามความเป็นจริงไม่ได้รู้ความจริงของธาตุที่ปรากฏให้เห็นเลย

    เพราะฉะนั้นเราจะไปคิดถึงเรื่องอื่นที่จะไปประจักษ์การเกิด และดับ เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าจากการฟังเรื่องราวของธรระ เป็นการเริ่มรู้จักตัวจริงของธรรม แต่จะรู้จักละเอียดได้แค่ไหน เพียงขณะแรกที่เริ่มเกิด แม้ในขณะนี้ ก็จะมีผู้ที่กำลังเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้เล็กน้อย นิดหน่อย แต่ถ้าอบรมมากขึ้นก็จะรู้ความต่างของขณะที่ลืม และไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะคิดเรื่องอื่น แต่ขณะนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ กำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    นี่ก็แสดงการเจริญของปัญญาทีละเล็กทีละน้อยที่จะเห็นความต่างกันของขณะที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด กับขณะที่สติปัฏฐานเกิดแม้เพียงเล็กน้อย และก็รู้ด้วยว่า เท่านี้ไม่สามารถถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่สามารถละความสงสัยในสภาพธรรมที่สติไม่ได้ระลึก ก็เป็นผู้ที่ไม่ได้ทำกิจอื่นเลย ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้ารู้ว่าเป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่เอาตัวเองไปทำหน้าที่ของปัญญา สัมมาทิฏฐิก็เจริญได้ แต่ขณะใดที่ไม่รู้หนทาง หรือมีทางผิด คือ มิจฉามรรค สัมมาสติเกิดไม่ได้เลย กั้นแล้ว ไม่มีทางที่สัมมาสติจะเกิด แต่เป็นความเห็นผิดที่เข้าใจว่า ทำอย่างนั้นแล้วเป็นสติที่ประกอบด้วยความเพียรที่สามารถทำให้ถึงการดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความเห็นถูกจริงๆ ที่จะต้องรู้ว่า ขณะไหนเป็นความเข้าใจธรรม ทั้งๆ ที่ธรรมปรากฏ หรือแม้ขณะนี้ก็สามารถที่จะเริ่มรู้ลักษณะที่เป็นธรรมของสิ่งที่ปรากฏด้วย

    อ.วิชัย ความมุ่งหมายที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ คือให้พิจารณา หรือการจะให้รู้ตาม

    ท่านอาจารย์ ธรรมต้องฟังตามลำดับ จากเข้าใจว่าไม่มี แล้วมี แสดงถึงการเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็มีไม่ได้ นี่ขั้นฟัง แต่ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดเลย สามารถที่จะรู้ในขณะที่ไม่มีว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เสียง และไม่ใช่ได้ยิน แต่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ลักษณะของการเกิดดับของสติเริ่มเกิด อย่างไรก็ไม่เห็นแน่ แต่ว่าหลังจากที่เกิดไปแล้ว คิดหลังจากนั้นว่า มันเกิดดับจริง และลักษณะที่คิดตามอย่างนี้คงจะมีประโยชน์ เพื่อเป็นเหตุให้วิปัสสนาญาณขั้นรู้การเกิดดับเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีการนึกคิดมาก่อน ก็ไม่มีมูลฐานให้เข้าใจต่อไปข้างหน้าที่จะปรากฏ ดิฉันคิดอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกมีประโยชน์ไหม

    ผู้ฟัง มีประโยชน์

    ท่านอาจารย์ กำลังแสวงหาประโยชน์ หรือไม่

    ผู้ฟัง มันอดไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นไปตามคลองของธรรม

    ท่านอาจารย์ แต่ว่ากำลังแสวงหาประโยชน์ หรือไม่

    ผู้ฟัง ถ้าขณะนั้นกำลังแสวงหาประโยชน์ แต่สติระลึกรู้ตรงนั้นก็คงจะได้

    ท่านอาจารย์ คืออย่างไรๆ ก็ตาม ไม่ใช่เรื่องที่เราจะพยายามให้เกิดประโยชน์ แต่ว่าเข้าใจ เข้าใจถูก เห็นถูก นี่สำคัญที่สุดค่ะ ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าสามารถรู้ได้ เข้าใจได้จากการพิจารณาว่า ความเห็นถูก ประโยชน์สูงสุด อย่างอื่นไม่กังวลเลยว่า จะเป็นอย่างไร เมื่อไร ชัด หรือไม่ชัด เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ หรือไม่ เพราะขณะนั้นถ้าเป็นปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ว่า ลักษณะสภาพอย่างนี้ ดิฉันว่าไม่มีทางที่จะจางหายไปได้ มันจะค้นคิด..

    ท่านอาจารย์ นี่ก็เราอีกแล้วคุณบง ฟังเข้าใจ แล้วก็แล้วแต่จะแค่ไหน มากแค่ไหน น้อยแค่ไหน เกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร ก็คือปัญญาต้องเห็นถูกตามความเป็นจริง ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็เป็นเราแทรกเข้ามาอีก

    ผู้ฟัง ก็เป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ตามการสะสมของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนถ้าจะกล่าว หรือบรรยายก็คงจะต่างๆ กันไป แต่ให้ทราบว่า ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้รู้สภาพธรรมได้ตามความเป็นจริง ไม่มีความกังวลเรื่องเราเข้าไปเกี่ยวข้องเลย ขณะใดที่เข้าใจก็คือเข้าใจ

    ผู้ฟัง มันหนีไม่พ้นจากการคิดนึกไปในเรื่องจะค้นหาความจริง ซึ่งก็ผิดทาง เพราะว่าไม่ได้รู้ลักษณะตรงที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ รู้สึกลำบากๆ เหนื่อยๆ เดือดร้อนไหม

    ผู้ฟัง เป็นอย่างนี้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ใช่การรู้ว่า เป็นธรรม แล้วเข้าใจก็คือเข้าใจ สบายดี จบแล้ว อกุศลเกิดก็มีปัจจัย จะไม่ให้เกิดได้อย่างไร ในเมื่อปัญญายังไม่พอ เพราะฉะนั้นก็สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกอย่างเดียวไปเรื่อยๆ และไม่ต้องกังวลกับอะไรเลยทั้งสิ้น ทุกอย่างที่จริงก็ตรงตามที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง เพราะว่าจริงๆ แล้วก็คือ หมดแล้วทั้งนั้นเลย แล้วก็ฟังใหม่ เข้าใจใหม่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้ต้องเหนื่อย ต้องกังวล ต้องลำบาก ต้องคิดมาก ต้องเดือดร้อน ต้องวุ่นวาย อยู่ตลอดเวลา

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวอยู่เสมอว่า ดับแล้ว ไม่เหลืออีกเลย ไม่กลับมาอีกเลย ทีนี้ก็คิดไปไกลมากเลยว่า การที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับ เมื่อเข้าถึงตรงนั้นแล้ว แสดงว่าสิ่งที่เห็นทางตาดับไม่เหลืออะไรเลย แล้วก็ปรากฏขึ้นมาอีก

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังเหลือ คุณบุษกรต้องชอบมากเลย แต่ถ้าเกิดแล้วดับไม่เหลือ ยังคงติดข้องในสิ่งนั้นไหม

    ผู้ฟัง ไม่ติดข้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะละการติดข้องได้ด้วยการรู้จริงๆ

    ผู้ฟัง ได้แน่นอน การเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา คือเห็นต่อเนื่องไม่ได้ดับหายไปไหนเลย แล้วก็ยังเป็นตัวเป็นตนอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเหมือนอย่างที่เราพูด หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ แล้วความจริงเป็นคำไหน

    ผู้ฟัง ความจริงก็ต้องเป็นความจริง

    ท่านอาจารย์ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    ผู้ฟัง ตามที่ท่านตรัสรู้ และทรงแสดงด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เห็นว่ายังไม่ดับ ถูก หรือผิด ในเมื่อความจริงดับ

    ผู้ฟัง เห็นว่าไม่ดับ ก็เป็นความจริงสำหรับคนที่ไม่มีปัญญาเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความไม่รู้กับความรู้ต้องต่างกัน

    ผู้ฟัง คือฟังแล้วเข้าใจ แต่ทีนี้ชอบลืม

    ท่านอาจารย์ ห้ามได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่สงสัย

    ผู้ฟัง การที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม ตรงนี้ก็ยังเข้าไม่ถึงธรรมเลย

    ท่านอาจารย์ ก็คุณบุษกรเองไม่อยากลืมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่อยากก็ไม่ได้ ก็ต้องลืม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ก็ความเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ตัวธรรมแสดงความเป็นธรรมแท้ๆ ก็ไม่รู้ นี่คือสภาพของความไม่รู้ ไม่รู้ทุกอย่าง ธรรมปรากฏก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยก็ไม่รู้ ธรรมดับไปก็ไม่รู้ ธรรมอื่นเกิดขึ้นไม่อยากให้เกิด แต่ก็เกิด ก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้หมด จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ไม่ใช่อย่างอื่นเลย ความรู้ถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง การที่จะเข้าใจถูก เข้าใจง่ายๆ

    ท่านอาจารย์ ใครอยากให้เข้าใจง่ายๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567