พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 396


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๙๖

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ ถ้าสิ่งนั้นปรากฏการเกิด และดับจริงๆ จะติดข้องพอใจในสิ่งนั้นไหม แต่เมื่อสิ่งนั้นแม้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นเพราะความไม่รู้มากมายที่จะกั้น กำลังปรากฏจริงๆ แต่ฟังให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น สิ่งที่สะสมมาในจิตนานมาก คือ ความไม่รู้กับความเห็นผิด ใครเป็นผู้ที่จะเอาออกไปได้ ไม่มีใคร ไม่มีตัวตนเลย แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็สามารถที่จะรู้ความจริงไม่ใช่เพียงขั้นการฟังเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่อดทน แล้วก็เพียรฟังโดยที่ไมใช่เราเลย แม้ขณะนี้ถ้าเข้าใจ ไม่ต้องมีเราไปพิจารณาต่างหาก แต่ว่าสภาพของธรรมเกิดแล้วปฏิบัติหน้าที่แล้วแม้ความเข้าใจ ความเห็นถูกก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง การที่จะรู้ว่าไม่มีเราเลย ต้องละเอียดที่จะรู้ว่าขณะหนึ่งขณะใดก็ตามเกิดแล้วดับไปด้วยความไม่รู้มากไหม กับการที่กำลังฟังแล้วก็ค่อยๆ ได้ยินแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจแล้วก็มีลักษณะที่ปรากฏให้เริ่มเข้าใจขึ้น มาก หรือยัง

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วก็ไม่ไปคิดว่า เราจะต้องไปทำอย่างอื่น หรือว่าไปรู้จักชื่อมากๆ แต่ว่าชื่อทั้งหมดเป็นขณะนี้เอง อย่างบางท่านถามว่า แล้วอายตนะล่ะ ไปเอาคำนี้มาจากไหน อายตนะไม่ใช่ภาษาไทย เป็นภาษาบาลี ใช้คำนี้แล้วเข้าใจ หรือไม่ ข้อสำคัญที่สุดคือคำที่พูดมีความเข้าใจแค่ไหน ถ้ามีความเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม เห็นไหม มีลักษณะของธรรมปรากฏ สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏไม่ได้ถ้าไม่มีสภาพที่กำลังเห็นสิ่งนี้ แล้วขณะที่กำลังเห็นสิ่งนี้ มีนามธาตุเกิดพร้อมกัน คือ จิต และเจตสิก ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ จะสงสัยในคำว่าอายตนะไหม เพียงแต่ไม่เรียกชื่อเท่านั้นเอง ขณะนี้ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ยังไม่ดับ เกิดแล้วมีอายุสั้นมาก ๑๗ ขณะจิต จักขุปสาทรูปต้องมี เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลยแน่นอน

    เพราะฉะนั้นแม้แต่จักขุปสาท ซึ่งเป็นรูปเกิดเพราะกรรมเป็นสมุจฐาน ก็มีอายุ ๑๗ ขณะ ทั้งกัมมชรูป คือ จักขุปสาทรูป และสิ่งที่เป็นวัณณธาตุซึ่งกระทบกับจักขุปสาทรูปก็ยังต้องอาศัยจิตเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นอะไรเป็นอายตนะ ถ้าใช้คำนี้แล้วมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็คือปราศจากจักขุวิญญาณ ปราศจากจักขุปสาท ปราศจากรูปารมณ์ ขณะนี้ไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้เองต้องมีอยู่ในขณะที่ยังไม่ดับ นั่นคือความหมายของอายตนะ

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปดูคำ ดูชื่อ แล้วก็จำแล้วก็สงสัย แต่จากความเข้าใจสภาพธรรม เวลาที่มีความเข้าใจอย่างนี้ จะไม่มีความสงสัยในคำว่า “อายตนะ” ที่ประชุม ไม่มีสภาพธรรมอย่างเดียว เช่น จะมีสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏโดยไม่มีจิตเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้ง ๒ อย่างต้องประชุม ต้องมีอยู่ ณ ขณะนั้น ต้องเป็นบ่อเกิดของจิตที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ และขณะที่จิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้เป็นพื้นฐาน แต่ยังไม่ต้องใช้คำ แต่พอได้ยินคำว่าอายตนะ แล้วมีความเข้าใจก็จะรู้ว่า แท้ที่จริงก็คือ ขณะใดที่เห็น ที่ได้ยิน ขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมที่ประชุมอยู่ ณ ที่นั้นซึ่งยังไม่ดับไป ก็สามารถที่จะกล่าวได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ได้ยินคำ แปล แล้วก็คิดว่าเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจธรรม เช่น ถ้าไม่เข้าใจรูปารมณ์ หรือสภาพธรรมที่เป็นวัณณธาตุที่กำลังปรากฏทางตา จะเข้าใจอายตนะไหม ก็ไม่มีทางเลย ก็รู้จักแต่ชื่อ นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า ธรรมลึกซึ้ง และก็ไม่ประมาทในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ มิฉะนั้น ๒,๕๐๐ กว่าปี ไม่มีใครจะมีโอกาสได้ยินแม้แต่คำว่า “ธรรม” หรือคำอื่นๆ ที่จะเข้าใจถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ฟังธรรม จะเริ่มรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงความลึกซึ้งของธรรมที่ถ้าไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่ตรัสรู้ และไม่ทรงแสดงธรรม ผู้ฟังก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม ซึ่งยาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะได้ยินบอกว่า ง่ายๆ พูดสั้นๆ ง่ายๆ เวลาที่จะพูดธรรมที่ไหนก็ให้สั้นๆ ง่ายๆ เหมือนกับว่าไม่ต้องเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอะไรเลย ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่นั่นไมใช่ผู้ที่หวังดี เพราะเหตุว่าไม่ใช่ให้สิ่งที่ผิวเผิน แล้วคนนั้นไม่เข้าใจ และคิดว่าเข้าใจด้วย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องซึ่งแต่ละคนก็เป็นผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ปางก่อน จึงมีโอกาสที่จะได้ฟัง แล้วก็ประคับประคองความเห็นถูก เพราะเหตุว่าโลภะซึ่งสะสมมาพร้อมกับอวิชชามากมายมหาศาล พร้อมที่จะไม่ให้รู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ได้

    อ.กุลวิไล ชอบมากที่ท่านอาจารย์บอกว่า ชื่อทั้งหมดก็คือขณะนี้เอง เพราะว่าถ้าเราไม่รู้จักธรรมตามความเป็นจริงแล้วก็เต็มไปด้วยเรื่องราวแม้แต่คำว่า “วุ่นวาย” ดูเหมือนว่าบ้านเมืองวุ่นวาย หรือว่าบุคคลอื่นวุ่นวายกันมากมาย แต่ท่านอาจารย์ถามว่า วุ่นวายอยู่ตรงไหน เพราะจริงๆ แล้ววุ่นวายก็คือ อกุศลเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตของเรานั่นเอง ขณะนั้นอกุศลจิตเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนี้ความวุ่นวายก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่บุคคลอื่น ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ที่จิตของเราเอง

    ผู้ฟัง การศึกษาดูเหมือนว่าไปติดที่ชื่อกับไปติดที่เรื่องจนกระทั่งอาจจะถูกธรรมหลอกลวง ทำให้ไม่น้อมมาที่จะเข้าใจลักษณะสภาพธรรม ก็เลยไม่แน่ใจว่า เมื่อเราสนใจเรื่อง สนใจชื่อ ทำให้ข้ามสภาพธรรม หรือว่าการเข้าใจขั้นเรื่องราวของชื่อยังไม่มากพอที่จะทำให้เข้าใจ เข้าถึงลักษณะสภาพธรรม อันนี้เหมือนว่า ถ้าเราศึกษาไม่ถูก ปัญญาที่จะเจริญไปอีกขั้นก็จะเป็นอุปสรรค คำถามคือว่า อย่างไรถึงจะไม่ติดชื่อติดเรื่อง แล้วให้โน้มที่จะเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณฟังธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ เพื่อละความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้

    ผู้ฟัง ความจริงที่มีอยู่ในขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ถ้ารู้ว่าธรรมเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะฟังเรื่องจิต ขณะนี้มีไหม เรื่องเจตสิก มีไหม

    เพราะฉะนั้นก็คือขณะที่ฟัง เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏด้วย อย่างนี้ไม่ผิด แต่ถ้าฟังแล้วไม่รู้ว่า ปริยัติที่ถูกต้อง ที่เป็นปริยัติจริงๆ การรอบรู้เรื่องของสิ่งที่มีจริง จะทำให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏพร้อมสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นปกติ เป็นปฏิปัตติ แสดงให้เห็นว่าการฟังในขณะนี้ถ้าไม่มีเลย จะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้เป็นธรรม หรือไม่ ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะไม่นำไปสู่ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ก็คือ มีสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรม แต่เมื่อได้ยินได้ฟังพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ก็ต้องรู้ว่าธรรมที่ทรงแสดง แสดงเรื่องอะไร อะไรเป็นธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ที่เป็นธรรม ที่ทรงประจักษ์แจ้งแทงตลอดปรุโปร่งโดยประการทั้งปวงที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แม้กำลังปรากฏขณะนี้ ความจริงของลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะก็คือ ไม่มีใครที่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ดับแล้ว เมื่อกี้นี้ สิ่งที่เข้าใจว่ามี ดับแล้ว ไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย นี่คือความจริง

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเห็นความต่างของขณะซึ่งไม่เคยรู้อย่างนี้ มีความเป็นเรา มีความเป็นตัวตน เมื่อมีตัวตนแล้ว รักใครที่สุด ก็รักตัวตนที่สุด รักตัวตน ยึดถือตัวตน โดยไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นก็เป็นทางที่จะทำให้อกุศลอื่นๆ เกิดมาก ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ อิสสา ความตระหนี่ ทุกอย่างที่เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี เมื่อมีความไม่รู้ ก็ต้องมีมากจนกระทั่งเดือดร้อน ไม่ใช่คนเดียวด้วย ใช่ไหม ที่เข้าใจกันว่า ทั้งโลก

    เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพที่ไม่สงบมี วุ่นวายมี จะดับได้ไหม ใครจะดับ และจะดับที่ไหน ไม่มีนักปราชญ์ใดๆ ที่สามารถจะทำได้เลย ใครจะทำให้โลกสงบ ทำให้คนที่นั่งข้างๆ เราสงบได้ไหม นั่งออกใกล้ชิดอย่างนี้ อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องไปถึงไกลทั้งโลก เพียงแค่นี้ คนที่นั่งใกล้ๆ ทำให้เขาสงบได้ไหม ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะใจที่ไม่สงบ ไม่มีทางเลยที่ใครก็ตามที่จะหาทางที่จะให้เกิดความสงบในโลก โดยใจของบุคคลนั้นไม่สงบ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องเป็นความจริง ถ้าเป็นการไม่รู้สภาพธรรม ก็ไม่มีทางเลย ก็เป็นเรื่องความคิด เรื่องตัวตน และสัตว์โลกทั้งหลายก็ยิ่งไม่สงบยิ่งขึ้น

    เพราะฉะนั้นนี่คือประโยชน์ของการเห็นถูก ความเข้าใจถูก จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะอะไร ตลอดชีวิตนี้แสวงหาอะไรในทางสุจริต หรือทุจริต และผลคืออะไร ไม่ได้อะไรเลย นอกจากพอกพูนอกุศลเพิ่มขึ้น แล้วผลของอกุศลก็ต้องมี แต่ละบุคคลมีอัธยาศัยต่างๆ กันไป เห็นการกระทำทางกาย ทางวาจาของคนอื่นด้วยอกุศลจิตฉันใด ขณะใดที่กายวาจาที่เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ความจริงก็เป็นธาตุที่สะสมมา ก็เกิดขึ้น มีความประพฤติทางกาย ทางวาจา เป็นไปในทางอกุศลเหมือนกัน เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

    ผู้ฟัง เมื่อวานสนทนากับคุณยุพาวรรณ เขาบอกเขาไม่สามารถจำชื่อจิตได้ว่า มันมีโสมนัสสหคตัง ทิฏฐิสัมปยุตตัง อสังขาริกัง เขาบอกเขาจำไม่ได้มันยาว อย่างนี้มันเหมือนกับศึกษาแล้วมันไปติด ซึ่งต้องฟังให้มากพอ หรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นคนอื่น หรือเป็นคุณอรวรรณ

    ผู้ฟัง ตัวเองก็เป็นด้วย

    ท่านอาจารย์ โดยมากทุกคนจะบอกว่า จำไม่ได้ ไม่ได้ให้จำอะไรเลย เพราะไม่มีเราจำ แต่รู้ หรือไม่ว่า มีสภาพจำที่เกิดกับจิตทุกขณะ นี่คือการศึกษาให้เข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม แต่กำลังฟังธรรมเป็นเรา เราฟังธรรม เราจำไม่ได้ อย่างไรกัน ฟังเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ จะใช้คำอะไรก็ได้ ภาษาอะไรก็ได้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย เห็น ต้องจำไหม ใครต้องจำคำว่าเห็นบ้าง เพราะอะไรเพราะเห็นมีจริงๆ แล้วจะบอกว่าฟังธรรมแล้วจำไม่ได้ หมายความว่าอะไร หมายความว่ามุ่งจำ ไม่ใช่มุ่งเข้าใจ ไม่ต้องไปจำอะไรด้วยความเป็นเรา

    เพราะเหตุว่าเป็นเราจำมานานแสนนาน เดี๋ยวเราจำได้ เดี๋ยวเราจำไม่ได้ แต่โดยไม่รู้ว่าจำเป็นสภาพธรรม และเมื่อฟังแล้วก็รู้ว่าไม่มีใครไปทำให้จำเกิดขึ้นมาได้เลย เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดทุกขณะ ทำหน้าที่ตลอดเวลา จิตเกิดดับมาแสนโกฏิกัปป์พร้อมเจตสิก ทำหน้าที่ไม่หยุดเลย เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป ทั้งจิต เจตสิก ไม่มีเราเลย ฟังให้เข้าใจ จะไปจำอะไร จะไปจำคำไหน จะไปจำภาษาอะไร จำแล้วมีประโยชน์อะไร เมื่อไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นไม่ใช่เรามีจริงๆ เกิดแล้วจึงเห็น ใครไปทำเห็นได้ไหม เพื่อที่จะเข้าใจธรรมโดยเป็นอนัตตายิ่งขึ้น

    ผู้ฟัง คือเมื่อฟังธรรมแล้ว พอเข้าใจแล้วก็ให้ทรงจำสิ่งที่เข้าใจ อันนี้หมายความว่าทรงจำจากความเข้าใจ ไม่ใช่จำแบบท่องแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็จะทำให้การศึกษาก็จะไม่สามารถเข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม หรือว่าบอกให้คนฟังทำ

    ผู้ฟัง ทรงแสดงธรรมให้คนเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังขณะนี้จะจำด้วยความเป็นเรา กำลังฟังเพื่อที่จะจำ หรือว่าเข้าใจว่า แม้จำก็เป็นธรรม นี่คือการฟัง ไม่ใช่ฟังด้วยความเป็นเรา แล้วก็จะทำ แต่ฟังเพื่อที่จะรู้ว่าไม่มีเรา แม้แต่สภาพที่จำก็มีจริงๆ ถ้าแบบนั้นไม่มีทางที่จะเห็นว่าเป็นธรรมเลย เป็นเราไปหมด แล้วก็เป็นเราจะทำ แล้วก็เป็นเราก็ทำไม่ได้ เป็นเราจะพยายามจำ แต่ก็จำไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจเลยว่าเป็นธรรมทั้งหมด ตอนนี้คุณอรวรรณเข้าใจอายตนะ หรือยัง

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจว่า ถ้าเห็นก็เป็นอายตนะ โดยที่มีการประชุมรวมกันของ คือไม่มีปสาทรูป สีมากระทบปสาทรูป จิตเห็นเกิดก็เป็นอายตนะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นขอถาม สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็นอายตนะ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นเป็นอายตนะ หรือๅม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ จักขุปสาทรูปเป็นอายตนะ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เจตสิกที่เกิดกับจิตเป็นอายตนะ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้เจอคำว่าอายตนะเมื่อไร สงสัย หรือไม่ เพราะเข้าใจ ใช่ไหมไม่ใช่ไปตั้งหน้าตั้งตาเรียน อายตนะมีเท่าไร อะไรบ้าง แต่ไม่รู้เลยว่า ชั่วขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ เกิดแล้วยังไม่ดับ ธรรมอะไรบ้างในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ดับ ต้องมีจักขุปสาท ยังไม่ดับ แค่นี้คะ จะเข้าใจไหม โดยไม่ต้องไปติดที่ชื่อ ใช้ภาษาอะไรก็ได้ แต่เข้าใจอรรถ เข้าใจความจริง ความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่ว่าจะแสดงโดยนัยใดๆ ก็ตาม ก็ต้องเป็นเรื่องจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นๆ เช่น สภาพธรรมที่ปรากฏทางตาขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นทุกข์ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น เพราะความทุกข์หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ทุกขอริยสัจจะ สภาพใดๆ ที่เกิดแล้วดับ เสียงเป็นทุกข์ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือแทนที่จะกล่าวโดยนัยของอายตนะ ก็กล่าวโดยนัยของอริยสัจจะ แต่ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ได้ยินได้ฟังคำไหน ความเข้าใจก็เข้าใจสภาพธรรมนั้นโดยนัยที่ทรงแสดง ไม่ใช่ว่าเราเข้าใจ จิต เจตสิก รูป แต่เราไม่เข้าใจอายตนะ หรือไม่เข้าใจอริยสัจจะ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเรียนไม่ถูก เป็นเราเรียน แล้วก็เราได้ยินคำ แล้วเราจำบ้าง ไม่จำบ้าง แล้วก็เป็นเราที่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ว่าถ้าศึกษาแล้วก็คือว่า ให้เข้าใจตามความเป็นจริงทุกอย่างเป็นธรรม

    ผู้ฟัง อย่างท่านอาจารย์ยกตัวอย่างถามอายตนะกับอริยสัจ ๔ ในกรณีของขันธ์ หรือธาตุ ก็นัยเดียวกัน ก็คือเมื่อเห็น เมื่อได้ยินก็คือ เขาก็จะเป็นขันธ์ เป็นธาตุ

    ท่านอาจารย์ ก็คือความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ทรงแสดงโดยประการทั้งปวง จนกระทั่งถึงความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ตามฐานะของสภาพธรรมนั้นๆ เพื่อให้เห็นว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจอย่างนี้เดือดร้อนไหม จำไม่ได้ เดือดร้อนไหม จะไปจำอะไร

    ผู้ฟัง โดยสรุปก็คือฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่มีเราที่จะไปจำ ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้ทั้งนั้น เพราะว่าธรรมก็เป็นอนัตตา เขาได้เหตุปัจจัยเขาก็เกิด เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจแบบนี้ก็จะทำให้ ต้องไปจำ ทำไมชื่ออะไรเยอะก็จะทำให้ไม่เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่มีปรากฏให้พิสูจน์ตลอดเวลา

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมสำคัญมาก จะเห็นได้ว่า ท่านอาจารย์เน้นความเข้าใจ แล้วเข้าใจว่าเป็นธรรมทั้งหมดด้วย แต่ไม่ใช่ศึกษาธรรมเพื่อจะจำ เพราะว่าเพื่อที่จะจำนี่ ขณะนั้นสภาพจิตเราเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราศึกษาเพื่อเข้าใจว่าแม้แต่จำก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยให้เรามีการสังเกต หรือว่าพิจารณาสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ๖ ทาง

    อ.ธิดารัตน์ มีเรื่องการศึกษา หลายคนก็รู้สึก บางคนก็กล่าวว่า ต้องศึกษาชื่อก่อน ถึงจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจสภาพธรรมได้ บางคนก็บอกว่าไม่ปฏิเสธชื่อ แล้วก็คิดว่าจะสามารถเข้าใจสภาพธรรมได้ แล้วจะศึกษาอย่างไรดี ถึงจะใช้คำว่าเป็นความพอดี การศึกษาตามที่ทราบก็คืออย่างไรก็ต้องศึกษาปริยัติ แต่ไม่ให้ติดในพยัญชนะ เพราะว่าศึกษาปริยัติเพื่อที่จะเกื้อกูลให้เข้าใจในสภาพธรรม แต่ไม่ใช่ว่าไม่ศึกษาเลยแล้วจะเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืม ศึกษาเพื่ออะไร

    อ.ธิดารัตน์ เพื่อเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไร

    อ.ธิดารัตน์ ต้องเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมอันนี้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ปรากฏ จะเรียกอะไรก็ได้ถ้าเข้าใจลักษณะนั้น จะเรียกว่าธาตุ หรือว่าจะเรียกว่าธรรมก็ได้ หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะ หรือทรงไว้ซึ่งสภาพซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือฟัง เข้าใจ เป็นการศึกษา หรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง พอเป็นสิ่งที่มีจริงก็เริ่มใช้คำที่จะทำให้เข้าถึงความจริง คือ ไม่ใช่ตัวตน จึงใช้คำว่าธาตุ หรือธรรม เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ฟังเรื่องที่กำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้ ได้ยินคำว่าธาตุอยู่ในหนังสือเล่มไหน

    อ.ธิดารัตน์ ก็มีแทบจะทุกเล่ม

    ท่านอาจารย์ แล้วมีลักษณะที่ปรากฏในหนังสือไหม ถ้าพูดถึงคำว่าธาตุแข็ง หรือว่าเสียง จะมีธาตุนั้นปรากฏในหนังสือ

    ผู้ฟัง ธาตุนั้นไม่ได้ปรากฏในหนังสือ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นแต่เพียงเรื่องราวของสภาพธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้นแม้ยังไม่มีหนังสือเลย แค่ฟังธรรมที่ปฐมเทศนา ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มีธรรมปรากฏเหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไม่ใช่ตัวตน แล้วก็เป็นธรรมแต่ละลักษณะ

    เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีโดยภาษาหนึ่งภาษาใด ถ้าใช้ภาษาไทยไม่มีใครเข้าใจแน่ สมัยนั้น แต่ก็ใช้คำที่ทุกคนฟังเข้าใจว่า เวลาพูดถึงจักขุวิญญาณ หมายความถึงกำลังเห็นขณะนี้ ศึกษาสิ่งที่มีจริง เพื่อเข้าใจว่า กำลังเห็นเป็นธรรม เป็นธาตุ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล อย่างนี้เป็นการศึกษา หรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าไปศึกษาชื่อจักขุวิญญาณ แต่ไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นนี่แหละ คือ ใช้คำว่าจักขุวิญญาณ เพื่อให้เข้าใจว่าวิญญาณเป็นธาตุรู้ซึ่งอาศัยจักขุปสาทจึงเกิดขึ้นกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ นี่เป็นการศึกษา หรือไม่ เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรมต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ศึกษาชื่อแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไร ขณะใด อย่างนั้นไม่ชื่อว่า ศึกษาธรรม

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าศึกษาธรรมเพื่ออะไร ขณะนี้ทุกคนอยู่ตรงนี้เพื่อฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าสิ่งที่เป็นธรรม ไม่เป็นของใครด้วย มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.ธิดารัตน์ จากการสนทนากันก็จะมีหลายท่านบอกว่า เข้าใจ คือเข้าใจเรื่องแต่ลักษณะจริงๆ ไม่สามารถจะเข้าถึงลักษณะจริงๆ ได้ ถึงแม้สิ่งที่ปรากฏทางตาเราก็เรียน เราก็จำว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ทุกๆ ครั้งที่เห็นจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ เพราะฉะนั้นการที่จะศึกษาลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ยังไม่ทราบว่าจะเข้าถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นตัวตนที่ฟังเพื่อจะถึง หรือฟังเพื่อที่จะรู้ว่า ไม่มีตัวตนเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมจริงๆ

    อ.ธิดารัตน์ คือทุกคนที่ศึกษาจะเข้าใจอย่างนี้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567