พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 435


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๓๕

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ ในขณะนี้ เห็นเป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรม เสียง ใครไม่รู้จัก ใครไม่ได้ยิน ขณะใดที่เสียงปรากฏ เสียงก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ถูกความไม่รู้หุ้มห่อมิดชิด พิสูจน์ได้ไหม ขณะนี้ เห็นก็เห็น แต่รู้ความจริงของเห็น หรือไม่ว่า เห็นที่กำลังเห็นจริงนี้จริงๆ แล้วคืออะไร ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน และสิ่งนี้ก็ไม่มีใครสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ว่าสิ่งนี้ก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ขณะที่ยังไม่ได้พูดถึงคำว่า “เห็น” เห็นมี หรือไม่ เห็นก็มี แต่ก็ไม่รู้ และเวลาที่พูดเรื่องเห็น เห็นก็กำลังมี แต่ก็ไม่รู้อีก

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือฟังให้เข้าใจว่า ทั้งๆ ที่สภาพธรรมมีจริง แต่ก็มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งหุ้มห่อปิดกั้น ทำให้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ นั้นไม่ปรากฏ สภาพธรรมนั้นก็คือความไม่รู้ มีจริงๆ เพราะว่ากำลังไม่รู้ ถ้าจะหาตัวไม่รู้แบบเสียง แบบกลิ่น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าแม้ความไม่รู้มีแน่นอน เพราะกำลังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่ความไม่รู้นั้นก็เป็นธรรมที่ไม่มีรูปร่างเลย เพียงแต่ว่าแม้จะฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับขณะที่ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังเลย เวลาไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังเลย คิดเรื่องอะไร สารพัดเรื่อง หมดแล้ว หรือยัง ไม่เหลือเลย โดยไม่รู้ความจริงว่า ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงจิตที่คิดแล้วก็หมดไปๆ แต่ขณะที่กำลังฟังสิ่งที่เป็นสาระ เป็นประโยชน์ เพราะว่าเป็นมรรค ความเห็นถูก เป็นหนทางให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งสามารถละความไม่รู้ ละความติดข้อง จนสามารถดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งแก่การได้ยินได้ฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก

    อยากจะเห็นถูก หรือไม่ หรือไม่ต้องเห็นถูกก็ได้ เกิดมาก็หมดไป โดยที่ไม่รู้อะไร นี่ก็เป็นความต่างกันของใคร ไม่มีใครเลยค่ะ แต่เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเป็นจริง เมื่อเกิดขึ้นตามการสะสม ใครก็เปลี่ยนแปลงสภาพนั้นให้เป็นอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อละความไม่รู้ อย่าลืมว่าเพื่อละความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่ละด้วยการเมื่อฟังแล้วเมื่อไรเราจะรู้ นั่นผิดแล้ว ฟังเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งนี้แท้จริงเกิดแล้วดับ แต่ว่ายากที่ใครจะรู้จริงๆ ได้ เพราะเหตุว่าโลภะ หรือความต้องการไม่สามารถรู้ความจริงนี้ได้เลย ต่อเมื่อไรได้ยินได้ฟังเริ่มเข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ จนกระทั่งจรดเยื่อในกระดูกว่า ขณะนี้เป็นธรรม มีใครคิดจะทำอะไรหรือไม่ นอกจากฟังแล้วเข้าใจ ยังไม่จรดเยื่อในกระดูก แต่เริ่มสะสมความเข้าใจแม้เพียงทีละเล็กทีละน้อย ความเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งกว่าจะคลายความไม่รู้ในลักษณะที่เป็นธรรมของสภาพธรรมแต่ละอย่างในขณะนี้ จนสามารถละความติดข้อง แล้วละความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมซึ่งเพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไปอย่างรวดเร็วว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    เพราะฉะนั้นไม่ทราบว่าเคยฟังกันมาแล้วกี่ชาติ และชาตินี้ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังต่อไป จนกระทั่งถึงชาติต่อๆ ไป กุศลที่ฟัง ที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ได้หายไปไหนเลย จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะจริง ดับแล้ว แต่สภาพของจิตขณะที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอะไร ก็สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไปทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล

    เพราะฉะนั้นปัญญาแต่ละขณะที่เกิดไม่ได้สูญหายเลย แต่สามารถทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น นี่เป็นเรื่องละ ถ้าเมื่อไรจะรู้ มาแล้วใช่ไหม เป็นทาสของความไม่รู้ และโลภะต่อไปอีก

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมซึ่งเป็นเรื่องละเอียด คือรู้ว่าเพื่อละ เพื่อการขัดเกลาความไม่รู้ แล้วแต่สภาพธรรมอะไรจะเกิดก็เป็นธรรมทั้งนั้น

    นี่คือประโยชน์ของการเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม โดยมั่นคงที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ศึกษาแล้วรู้แต่ชื่อ แล้วการเห็นก็รู้ว่าเป็นธรรม แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงว่า สภาพธรรมนั้นเป็นอย่างไร และสภาพคิดก็เหมือนกัน ก็ไม่รู้เลยว่า เป็นธรรม เหมือนกับว่า คิดขึ้นมาเองว่า เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าเข้าใจธรรม หรือยัง

    ผู้ฟัง ก็แค่พิจารณา ได้คิดว่า เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ กำลังคิดเป็นธรรม หรือเป็นเรา

    ผู้ฟัง ก็ยังเป็นเราอยู่เสมอ

    ท่านอาจารย์ และความจริงที่ได้ฟัง คือ คิดมีจริงๆ แล้วคิดเป็นเรา หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ความจริงว่าเป็นธรรม ต้องมีความเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มานั่งสงสัยว่า ฟังมาว่าเป็นธรรม แล้วเวลาเห็นไม่เป็นธรรม เวลาคิดไม่เป็นธรรม ก็ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรมด้วย ไม่ลืมว่า ขณะนี้เป็นธรรม ก่อนได้ฟังเป็นเราทำอย่างนั้นอย่างนี้ คุยกับคนนั้น คนนี้ แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังได้ยินก็เริ่มเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม ขณะนี้เป็นการอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูก ไม่ใช่ขณะอื่น แต่ขณะที่กำลังฟังนี่เอง ทุกอย่างที่มีจริงๆ ที่เกิดจริงๆ ปรากฏแล้วก็หมดไปจริงๆ เป็นธรรม

    ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละโลภะ โลภะมีอิทธิพลมาก เป็นทาสของโลภะนานแสนนานโดยไม่รู้เลย เกิดความต้องการเมื่อไร ขณะนั้นก็เป็นทาสของโลภะ โลภะครอบงำ ไม่เพียงแม้แต่จะให้เข้าใจถูกต้อง ทุกอย่างเป็นธรรม แทนที่แล้วเมื่อไรเราจะรู้ ก็คือระลึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่คิด ลักษณะนั้นมีจริงๆ เป็นธรรมที่คิด ธรรมคิดได้หรือไม่

    ผู้ฟัง คิดได้

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นธรรม ธรรมเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง เห็นได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเห็นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา ที่เห็นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมเห็น

    ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็นอยู่นั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเห็น จะให้เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็ไม่เข้าถึงลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม ก็ไม่สงสัย

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าถึงลักษณะ ก็ต้องฟังไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนทุกครั้งที่ถาม คำตอบก็คือขณะนี้เป็นธรรมที่จะต้องเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ลองคิดถึงอนุสัยกิเลส ได้ยินชื่อแค่นี้ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลยว่า มากมายสักแค่ไหน ขณะหนึ่งที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น ดับไป อกุศลเกิดที่จิต จะจากจิตไปที่อื่นได้ไหม ก็ต้องอยู่ที่จิตนั่นแหละ แต่เมื่อเกิดขึ้นเป็นอกุศลแล้วดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น อกุศลที่เกิดกับจิตขณะก่อนไม่ได้จากไปไหนเลย ก็สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป เพราะฉะนั้นจะมีคำว่า “อาสยานุสยะ” หมายความถึงอาสยะทั้งกุศล และอกุศลสะสม แต่ถ้ากล่าวถึง “อนุสัย” หมายเฉพาะอกุศลอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึง “อนุสัย” หมายความถึงธรรมที่เป็นอกุศลซึ่งสะสมสืบต่อในจิตที่ประมาณไม่ได้ เพราะว่าจิตเป็นนามธรรม ไม่มีใครสามารถมีปริมาณเนื้อที่จำกัดได้เลย เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ แต่ลักษณะของธาตุรู้ก็แล้วแต่ว่าสะสมอะไรมานานแสนนาน จนกระทั่งประมาณไม่ได้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ ขณะนี้กำลังเห็น ผู้ที่รู้จักเห็นมี ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงว่า เห็นเป็นธาตุ ไม่ใช่ของใคร เป็นนามธาตุ เหมือนธาตุอื่นๆ ซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่ลักษณะของนามธาตุนั้นมีลักษณะที่เป็นธาตุที่เกิดแล้วรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่างนี้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธาตุเกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้จึงปรากฏความเป็นสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏก็เป็นธาตุ ไม่มีใครไปบังคับบัญชา แม้แต่จิตที่กำลังเห็น รู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏมีลักษณะอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาเรื่องธาตุ ก็จะรู้ได้ว่า ธาตุกับธรรม ก็มีความหมายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถตรัสรู้ความจริงของธรรมแต่ละลักษณะซึ่งมีจริงเมื่อเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครไม่สามารถรู้ความจริงนี้ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดงความจริงให้ผู้ที่สะสมการได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นจนสามารถประจักษ์ความจริงเช่นที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้ง และดับกิเลสหมดเป็นพระอริยเจ้าได้

    เพราะฉะนั้นการฟังในขณะนี้เป็นมรรค เป็นหนทางที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นเพื่อละความติดข้อง และการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แล้วยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จะต้องมีความอดทนอย่างมาก เมื่อรู้ว่า สิ่งนี้จริง ก็คือเป็นธรรมด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ปัญหา หรือคำถามที่ว่า แล้วเมื่อไรจะรู้ ก็จะหมดไป เมื่อมีความเข้าใจยิ่งขึ้นว่า ปัญญารู้เข้าใจเมื่อไร ก็ละความไม่รู้ และความติดข้องเมื่อนั้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ ไม่มีหนทางอื่นเลย เพราะกำลังเห็น แล้วไม่รู้จักเห็น แล้วจะไปทำอะไร อย่างไร ให้สามารถรู้ และเข้าใจเห็นที่กำลังปรากฏได้ นอกจากเริ่มเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง ชีวิตของคนแต่ละคนที่เกิดมาในโลกนี้ ก็จะได้ จะเป็น หรือจะมีก็ขึ้นอยู่กับกรรมดี และกรรมชั่วที่แต่ละคนสะสมมา นี่คำถามหนึ่ง ซึ่งคิดว่าใช่ แต่มีคนกล่าวว่า เจ้าที่เจ้าทางที่อยู่ตามบ้าน จะมีอิทธิพลกับคนในบ้านบ้าง หรือไม่ อยากได้รับคำยืนยันตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำตอบโดยที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ก็เป็นความเข้าใจที่ไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นการเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าค่อยๆ ไตร่ตรองพิจารณาถึงความละเอียด และลึกซึ้งก็จะทำให้มั่นคง ไม่ใช่เมื่อคนนี้กล่าวว่าอย่างนี้ก็เห็นตาม หรืออีกคนกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็เห็นตาม

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น “เจ้าที่” คืออะไร คำแรกที่สุดของทุกครั้งที่ต้องการรู้คำตอบ หรือความจริง ที่จะพิจารณาแล้วเข้าใจได้ ก็คือต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนั้นคืออะไร มิฉะนั้นถ้าเราพูดถึงเรื่องอะไรก็ตามมากมาย โดยที่ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร เปล่าประโยชน์ ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร แล้วก็ไปพูดถึงเรื่องนั้นมากมาย

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นค่อยๆ คิด “เจ้าที่” คืออะไร ลองถามคนที่เขาพูดเรื่องเจ้าที่ เขาก็จะมีคำตอบต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นแล้วแต่คิด เพราะเหตุนี้ต่างคนต่างคิด แต่ความจริง “เจ้าที่” คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ หรือคิดว่ามี

    ผู้ฟัง เห็นเขาว่าเป็นเทวดาที่อยู่ประจำบ้าน และเคยอ่านเจอในพระไตรปิฎกว่า มีเทวดา มีรุกขเทวดา มีพระแม่ธรณี

    ท่านอาจารย์ เห็นเขาว่าหรือ

    ผู้ฟัง ในหนังสือก็เคยเจอ

    ท่านอาจารย์ แต่ก่อนอื่นควรคิดว่า เทวดาเป็นใคร มีจริง หรือไม่ คือไม่ตามใครไป ใครจะว่าอะไรก็ตามไปโดยที่ยังไม่รู้จริงๆ แต่ตามความเป็นจริงก็น่าจะคิดว่า เทวดา หรือเทพที่เคยได้ยินบ่อยๆ มีจริง หรือไม่ แล้วเป็นอะไร ข้อสำคัญที่สุดเป็นอะไร เทวดาน่าจะมีจริง ใช่ไหม เพราะอะไรถึงคิดว่า น่าจะมีจริง

    ผู้ฟัง จากพระไตรปิฎก ก็เคยอ่านเจอ

    ท่านอาจารย์ โลกนี้มีสิ่งที่ปรากฏที่เป็นสัตว์โลกที่มีจริง ๒ ประเภท มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน ถูกต้องไหม ไม่ได้มีแต่มนุษย์เลยในโลกนี้ สัตว์เดรัจฉานก็มี สัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์ต่างกันที่ไหน แม้แต่มองเห็น สัตว์ก็มีตา มี หรือไม่ แล้วสัตว์ก็เห็น หรือไม่ ก็เห็น แต่ทำไมเป็นสัตว์ ทำไมเป็นมนุษย์ ต้องเป็นสภาพธรรม หรือธาตุที่เป็นธรรม

    การเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ละเอียดขึ้นก็ต้องสามารถรู้ความจริง แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน และมนุษย์ต่างกันตรงไหน ตา จักขุปสาท ต่างกัน หรือไม่ ถ้าเข้าใจคำว่า “จักขุปสาท” หมายความถึงรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ เช่น จักขุปสาทเป็นรูปพิเศษ ไม่ใช่อ่อน หรือแข็ง อ่อน หรือแข็งกระทบอะไรไม่ได้เลย แต่มีรูปพิเศษที่ต้องอาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมเกิดขึ้น แต่มีลักษณะที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ เช่น ขณะนี้กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบได้จึงปรากฏได้ กระทบกับอะไรได้ กระทบหูไม่ปรากฏแน่ เพราะไม่ใช่รูปที่ไปกระทบหู เพราะฉะนั้นก็ต้องกระทบกับรูปที่เป็นจักขุปสาท สามารถกระทบกับธาตุที่เป็นวัณณะที่กระทบกับจักขุปสาท เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องมีจิตเห็นเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นจักขุปสาทของสัตว์เดรัจฉาน และของมนุษย์เหมือนกันไหม ธรรมเป็นธรรม เปลี่ยนธรรมไม่ได้เลย จักขุปสาทคืออะไร คือรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ ถ้าเป็นวัณณรูปก็สามารถกระทบกับรูปที่เป็นจักขุปสาท กระทบรูปอื่นไม่ได้เลย ถ้าเป็นเสียง กระทบจักขุปสาทไม่ได้ แต่กระทบโสตปสาทรูปได้ เสียงก็เป็นรูปที่กระทบกับโสตปสาท

    เพราะฉะนั้นพูดถึงจักขุปสาท ไม่ได้พูดถึงอะไรเลย พูดถึงตัวจักขุปสาท แต่มีสัตว์ที่ต่างกับมนุษย์ เพราะฉะนั้นจักขุปสาทของมนุษย์กับของสัตว์ต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าต่าง จักขุปสาทคืออะไร

    ผู้ฟัง ก็คือรูปที่เราเห็น แล้วเรารู้สึก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ นี่คือความละเอียดของธรรม ซึ่งทำให้แม้เห็นก็ไม่เคยรู้ความจริงของเห็นซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป โดยอาศัยปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัย คือไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท และไม่มีจักขุปสาท และไม่มีจิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้

    นี่คือการเข้าใจธรรมซึ่งปกปิดหุ้มห่อไว้ด้วยอวิชชา ไม่เห็นว่าเป็นธรรม แต่เห็นว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงซึ่งใครจะปฏิเสธ

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่ใช่ง่าย ที่จะเข้าใจตัวธรรมจริงๆ คำต่างๆ ภาษา พยัญชนะ ถ้าเปรียบเทียบกับอรรถแล้ว พยัญชนะตื้น แต่ตัวอรรถจริงๆ ของธรรมซึ่งเกิดดับเมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างเร็วแสนเร็ว ปรากฏเพียงนิมิตสัณฐาน เกิดเมื่อไรก็พร้อมนิมิตทันที เหมือนอย่างนั้น แต่ความจริงธรรมละเอียดกว่านั้นมากที่จะเห็นว่าเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่ใช่ใครเลย เป็นธาตุ เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ เพื่อละความเห็นผิด การที่เคยติดข้องยึดถือสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่แค่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน แล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย

    ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นความเข้าใจของตัวเอง ฟังดูเหมือนว่า ยังไม่ได้ตอบคำถามเรื่อง “เจ้าที่” เลย แต่จะตอบอย่างไร มีประโยชน์ไหมถ้าไม่เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ก็คือก่อนจะพูดเรื่องอะไร ขอให้เข้าใจว่า อะไรมีจริงๆ แล้วเริ่มเข้าใจสิ่งนั้นตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจแล้ว ก็สามารถตอบทุกปัญหาได้ เพราะว่าเป็นธรรมที่มีลักษณะที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    เพราะฉะนั้นอย่าเพียงพอใจว่า ใครตอบให้เข้าใจ เหตุผลนิดหน่อยก็พอแล้ว นั่นคือไม่ได้ฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นความคิดความเข้าใจของคนที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผิดก็มี ถูกก็มี ผิดมาก ถูกนิดเดียว หรือส่วนน้อย และไม่ตลอดด้วย เพียงผิวเผินเท่านั้น เพราะฉะนั้นเพียงแค่คำถามที่ต้องไตร่ตรองเพื่อเข้าใจทุกคำถาม จะมีประโยชน์ เพราะว่าเป็นปัญญาที่ไตร่ตรองแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ฟังคนอื่น

    ผู้ฟัง อยากทราบเรื่องจักขุปสาท

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะธรรมเป็นเรื่องที่ศึกษาให้รู้แจ้งตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ ที่ได้ยิน ที่สัมผัสต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะเดี๋ยวนี้มีจักขุปสาทที่ยังไม่เคยรู้เลย ขอถามว่า จักขุปสาทของคน จะใครก็ตามแต่ ของเทวดาก็ได้ พรหมก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ ที่ในนรกก็ได้ เปรต อสุรกายได้หมด จักขุปสาทนั้นเหมือนกันไหม จักขุปสาทอยู่ที่ตา รูปร่างของตาก็ไม่เหมือนกันอีก บางตาก็กลม ตานกฮูก แต่นั่นเป็นเพียงส่วนประกอบของตา แต่ตัวตาจริงๆ จักขุปสาท เป็นรูปที่มองไม่เห็นเลย ไม่มีใครสามารถเห็นจักขุปสาทได้ เพราะว่าจักขุปสาทไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เป็นรูปที่เกิดขึ้นสามารถกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระทบได้ ถ้าเป็นจักขุ คือ กระทบกับวัณณรูป ธาตุที่กำลังปรากฏในขณะนี้เท่านั้น ไม่สามารถกระทบรูปอื่นได้เลย

    เพราะฉะนั้นตัวจักขุปสาทรูปเหมือนกันหมดไหม

    ผู้ฟัง เหมือน

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ต้องมีคำตอบ ถ้าเหมือนเพราะอะไร เพราะเป็นรูปเดียวที่สามารถกระทบกับวัณณธาตุได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จักขุปสาทเป็นรูปเดียวที่สามารถกระทบกับวัณณธาตุ สีสันวัณณะที่ปรากฏ ทำให้นึกถึงรูปร่างสัณฐานในขณะนี้ และสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้มีจริงๆ หรือไม่ มีแน่นอน เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะกำลังปรากฏ ถ้าปรากฏแล้ว จะบอกว่าไม่มี พูดจริง หรือไม่ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสัจจะ จริง เห็นจริง มีสิ่งที่ปรากฏจริง เป็นวัณณธาตุเท่านั้นเอง เป็นคนนั้น คนนี้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะเพียงปรากฏแล้วหมดไป ถ้ารู้ความจริงก็จะเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรม” ธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เมื่อมีธรรมต่างๆ ก็บัญญัติเรียกเป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นเทพ เป็นอะไรต่างๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    1 ก.พ. 2567