พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 424


    ตอนที่ ๔๒๔

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ ถ้าสามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฏให้เห็น ก็จะทำให้เข้าใจสมมติบัญญัติว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาแม้มีอายุที่สั้นมาก ก็ไม่ได้มีปัญญาที่สามารถประจักษ์การเกิดดับของสิ่งนี้ จนกระทั่งเห็นจริงๆ ว่า สิ่งนี้ต้องมีปรากฏ และดับไปก่อน อย่างรวดเร็วมาก จึงทำให้เกิดรูปร่างสัณฐานที่ใช้คำว่า “นิมิต” ให้รู้ ให้เข้าใจได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะถ้าไม่ปรากฏสืบต่ออย่างรวดเร็ว ก็ไม่สามารถมีสัณฐานใดๆ ปรากฏได้เลย แต่สิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วมากก็ทำให้เกิดสัณฐาน นิมิต ที่ทำให้รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่ว่าใครทั้งสิ้นไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงวิถีของจิตซึ่งจะต้องเกิดดับสืบต่อ หลังเห็นแล้ว แม้สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว การเกิดดับอย่างเร็ว ก็ทำให้ปรากฏเป็นนิมิต ทำให้จำได้ นั่นคือ บัญญัติ

    บัญญัติหมายความว่า ทำให้รู้ในความหมายนั้น หรือหมายความถึงขณะใดก็ตามที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ขณะนั้นเป็นบัญญัติ อย่างเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังได้ยินเสียง และนึกถึงคำ หรือการคิดนึก แม้ไม่มีเสียง ขณะนั้นก็ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงเพราะอะไร เพราะถ้าจิตไม่คิด เรื่องนั้นไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เข้าใจว่ามี และยังเป็นสิ่งที่ถาวรมั่นคง เป็นเรื่องราวมากมายเพราะคิด พอไม่คิด ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้นความจริงก็คือ จิตคิด แล้วใครก็ห้ามความคิดไม่ได้ เราจะแลกความคิดกันได้ไหม เราไม่ได้เห็นเดียวกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย แล้วเราจะไปพูดถึงตอนเด็กๆ จำได้ไหมว่า เป็นอะไร กับคนที่เขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง สิ่งที่มีจริงปรากฏเพราะมีทางที่จะให้รู้ว่า สิ่งนั้นมีจริง เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่มีทางจะให้รู้ว่า สิ่งนั้นมีจริง คือ ไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจะปรากฏว่ามีจริงๆ กำลังปรากฏไม่ได้เลย หรือแม้แต่เสียง เสียงก็มีจริง ขณะนี้เสียงก็ปรากฏ แต่ต้องมีสิ่งที่สามารถทำให้เสียงปรากฏได้ คือนอกจากจะมีโสตปสาท รูปซึ่งมองไม่เห็น แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบเสียง แล้วจิตได้ยินยังต้องเกิด ถ้าจิตได้ยินยังไม่เกิด เสียงนั้นก็ไม่ปรากฏ จะรู้ได้อย่างไรว่าเสียงเมื่อกี้นี้มีจริงๆ ปรากฏแล้วหมดไป ถ้าไม่มีการได้ยินเสียงเลย

    เพราะฉะนั้นจึงต้องทราบ สิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม และการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากก็ลวงให้เห็นว่า เหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีรูปร่างสัณฐานที่ทำให้จำได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร

    นี่เป็นชีวิตประจำวัน ไม่ว่าใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวก หรือเด็ก สัตว์เดรัจฉาน มีจักขุปสาทเกิดแล้ว เห็นแล้ว จำได้แล้ว รู้ด้วยว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร มีการเป็นอยู่ตามกำลังของการเกิดเป็นบุคคลนั้นๆ

    นี่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ขณะใดก็ตามที่ฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้ ยากไหมแต่ว่าได้ยินได้ฟังดีกว่าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเลย และไม่รู้เลยว่า ความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ทำไมจึงเกิดแล้วต้องตาย ไม่มีใครยับยั้งได้ ทำไมเกิดแล้วต้องเห็น ก็ไม่มีใครยับยั้งได้ แต่ทั้งหมดก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพียงชั่วขณะที่สั้นมาก แล้วก็หมดไป แต่ข้อสำคัญต้องรู้ความต่างกันของปรมัตถ์กับบัญญัติ

    ปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อใดๆ เลยทั้งสิ้น ก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย เมื่อสิ่งนั้นเกิดปรากฏแล้วก็ดับไป แต่ว่าการสืบต่อก็ทำให้เกิดความทรงจำซึ่งเป็นอัตตสัญญาแล้วก็สิ่งที่ปรากฏ ยังจำ แล้วก็ยังจำ จำละเอียดๆ ขึ้นไปอีก เห็นเป็นคน ต่างกับเห็นเป็นโต๊ะ ใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏ แลัวสิ่งที่ปรากฏที่เห็นว่าเป็นคนก็ยังต่างกันเป็นคนนั้นคนนี้อีก เห็นไหม นี่เริ่มสะสมการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏสืบต่ออย่างรวดเร็วว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนเข้าใจว่า คนนี้ต่างกับคนนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว แต่เหลือไว้เพียงความไม่รู้ และความจำ เป็นอัตตสัญญา ซึ่งจะทำให้มีการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นอัตตวาทุปาทาน

    ผู้ฟัง ตอนนี้ที่สับสน ก็ไปคิดว่าจากการได้ยินได้ฟัง เข้าใจว่า นั่นไม่ใช่ตัวตน บุคคล แต่เป็นจิต เจตสิก รูป

    ท่านอาจารย์ แล้วไปบอกคนอื่น หรือไม่ว่า นี่ไม่ใช่ลูก ไปบอกคนอื่น หรือไม่ หรือว่าเป็นความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม เพียงชั่วขณะที่กำลังรู้ความจริง และต่อจากนั้นก็มีเรื่องราว มีบัญญัติเหมือนเดิม ไม่ใช่ไปเปลี่ยนความคิดให้คิดอีกอย่างหนึ่ง แต่ให้มีความเข้าใจถูก ความเห็นถูกว่า แท้ที่จริงแล้วมีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้คิด ลูกมีกี่คน คนนี้ชื่ออะไร ต่างกันอย่างไร เพียงจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่คิดถึงลูก สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นดอกไม้ชนิดต่างๆ ก็เป็นเรื่องของความคิด ความคิดเกิดขึ้น และก็ดับไป ไม่มีอะไรเลยที่ยั่งยืน ที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถาวรได้เลย แม้แต่ที่กำลังเป็นเรามีลูก เพราะมีเรา เป็นเรา จึงมีลูกของเรา แต่จริงๆ ก็คือจิตเกิดแล้วก็ดับไป แล้วแต่ความคิดจะคิดเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง ฟังอย่างนี้แล้ว ก็ไม่มีใครในโลกนี้

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม แต่เพราะมีจึงสมมติบัญญัติ มีบัญญัติ เพราะรูปร่างสัณฐาน เพราะความทรงจำ เพราะความติดข้อง เพราะความไม่รู้ เพราะความเห็นผิด มากมายหลายประการ ซึ่งจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง แต่ยังสับสนที่ว่า กรรมทำให้เกิดมาต่างๆ กัน เหมือนกับสภาพธรรม สมมติว่าผู้นี้ก็ศึกษาสภาพธรรม เราศึกษาสภาพธรรมก็ต่างกัน ที่ฟังจากท่านอาจารย์ก็ไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ มีเห็น มีคิด เห็นเหมือนกันหมดไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ เห็นอย่างอื่นได้ไหม ที่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันหมดไหม ไม่ว่าใคร เห็นคือเห็น ไม่เป็นของใคร

    ผู้ฟัง ก็คงต้องทำความเข้าใจ อย่างเวลานี้อ่านหนังสือบารมี ๑๐ อาจจะติดในพยัญชนะ ถ้าหนังสือเขียนว่า การที่เราต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องบารมี ๑๐ เพื่อจะให้รู้ว่า บารมีเรายิ่งหย่อนอันไหนบ้าง เพื่อจะเจริญบารมีขึ้น ในหนังสือกล่าวไว้ว่า ถ้าเราไปมุ่งแต่ให้สติระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างเดียว โดยไม่เข้าใจเรื่องบารมี ๑๐ อาจจะทำให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นมากกว่ากุศลธรรม แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาบารมี ๑๐ ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของกุศล แต่ให้เข้าใจโทษของอกุศล พออ่านอย่างนี้ก็เริ่มมีตัวตนขึ้นมาว่า พิจารณา

    ท่านอาจารย์ ก่อนอ่านมีตัวตนไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วจริงๆ บำเพ็ญบารมี สะสมบารมี มีบารมีเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อขัดเกลากิเลส

    ท่านอาจารย์ เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้นบารมีไม่มีความหมายเลย จะเอาบารมีไปทำอะไร จะเอาบารมีไปแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ นั่นไม่ใช่บารมี บารมีต้องเป็นไปเพื่อจะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อละความไม่รู้ เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมเพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมายของบารมีด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็บารมีผิดอีก อบรมบารมีเพื่ออะไร แต่เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏรู้ยาก แม้จะได้ยินได้ฟังมานานสักเท่าไร ก็ไม่ใช่จะรู้ง่าย อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เลย ปรากฏ แล้วก็ฟังแล้ว และเริ่มเข้าใจว่า จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่จะเกินไปกว่านี้เลย

    เสียงที่ปรากฏทางหู ก็เป็นเพียงสิ่งที่กระทบโสตปสาท จึงปรากฏกับจิตที่ได้ยิน เท่านั้นเอง และชีวิตตลอดมาตั้งแต่เกิดมาจนถึง ณ บัดนี้ จนถึงตาย ก็ไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นธรรมทั้งหมด เป็นตัวธรรมจริงๆ ศึกษาธรรมต้องรู้ว่า พูดถึงสิ่งที่มีกำลังปรากฏทางตา พูดทำไม เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ พูดทำไมถึงสิ่งที่ปรากฏ ที่กำลังปรากฏ เพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือไม่ ถ้าจริง ความรู้แค่นี้ยังไม่พอ ระลึกได้เมื่อไร เริ่มเข้าใจนิดหนึ่งว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะว่าวันหนึ่งๆ พอเห็นก็เป็นเรื่องอื่นไปหมดเลย แต่จากการฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกจนกระทั่งไม่ลืม ไม่ใช่เราจงใจจะให้คิดว่า ขณะนี้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏก็คือกำลังปรากฏให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เพียงสามารถปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท และเมื่อธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้จึงปรากฏได้ ฟังอย่างนี้ เมื่อไรเกิดค่อยๆ เข้าใจ นั่นคือผล หรือประโยชน์ของการฟัง

    ผู้ฟัง หนูก็มีความเข้าใจผิดมากที่ว่า ทุกครั้งเหมือนมีบัญญัติเข้ามา

    ท่านอาจารย์ บัญญัติเป็นของธรรมดา หลังจากเห็นแล้วก็ต้องรู้ต่อทางใจ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ จำรูปร่างสัณฐานเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่รู้ความจริงว่า บัญญัติคือการที่สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ จนกระทั่งไม่ปรากฏความจริงว่าเกิดแล้วดับไป ทำให้เกิดนิมิตสัณฐาน นี่คือความจริงเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง เกื้อกูลไหมเพราะทำให้เราสะสมไป ทำให้เห็นว่า ท่านผู้นั้นท่านผู้นี้ชาติก่อนเคยเป็นใคร เป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเข้าใจถูกว่า บารมีเพื่ออะไร กุศลทั้งหลายให้ผลเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ เกิดในสวรรค์ก็ได้ มีโภคสมบัติมากมาย มียศถาบรรดาศักดิ์ได้หมด นั่นคือผลของกุศล แต่ไม่ออกจากวัฏฏะ อย่างพระสูตรเมื่อวานนี้ “ภัย” สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นภัย หรือไม่

    ผู้ฟัง เข้าใจผิดมากๆ เลย เพราะไปคิดว่า เป็นจิต เจตสิก รูปที่แตกต่าง กัน

    ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้ เป็นจิตจริงๆ หรือไม่ ที่กำลังเห็น เป็นเจตสิก ความรู้สึกต่างๆ จริงๆ หรือไม่ในขณะนี้ คือ ธรรมเป็นธรรม แต่ก่อนไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม เกิดมาก็เป็นเรา เป็นชีวิตของเรา แต่เมื่อได้ทรงแสดงพระธรรมแล้วจากการทรงตรัสรู้ ก็แสดงว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ปรากฏอยู่ตลอด เมื่อมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การนึกคิด ทั้งหมดเลยเป็นธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม โดยรู้ว่า ขณะนี้กำลังศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เช่น กำลังเห็น ถ้ายังไม่มีความเข้าใจถูกต้องสักนิดเดียว จะเอาอะไรไปตรัสรู้อริยสัจธรรม เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด คำสอนไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมเป็นเรื่องของปัญญา คือการรู้ความจริง อย่างบอกว่า ละชั่ว ใครละ เราละ รู้ความจริง หรือไม่ ไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย เพราะเป็นเรา ชั่วเป็นอะไร รู้ หรือไม่ เป็นอกุศลเดี๋ยวนี้ที่เกิดต่อจากเห็น หรือไม่ก็ไม่รู้ ก็ละไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่จะละได้ต้องเป็นปัญญา และทรงแสดงเรื่องของปัญญา ตั้งแต่ขั้นการฟังเข้าใจ จนกระทั่งถึงกำลังเข้าใจลักษณะจริงๆ ซึ่งตรงกับที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ท่านผู้ฟังกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาวธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ คือ ในขณะที่กำลังฟังธรรม โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นที่ยังไม่ได้ฟัง แต่เมื่อฟังธรรมมาพอสมควรก็ยังไม่เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ได้แต่ดูเหมือนจะปลอบใจตัวเองว่า ให้ฟังธรรมไปเรื่อยๆ ขอเรียนถามเพิ่มเติมว่า ความเข้าใจธรรมจะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เองอย่างมั่นคงถูกต้องต้องตามลำดับ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้นี้เข้าใจธรรมจากการฟัง หรือไม่ ถ้าท่านเข้าใจ เข้าใจหมด หรือยัง เข้าใจพอที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป หรือยัง ปลอบใจเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง ปลอบใจให้ฟังไปเรื่อยๆ จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

    ท่านอาจารย์ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ต้องปลอบใจไหม ปลอบใจนี่หมายความ ว่าหวังอะไร หรือไม่แล้วไม่ได้

    ขอกล่าวถึงท่านผู้หนึ่ง ท่านสนใจธรรม ฟังมาก มากจริงๆ เช้า สาย บ่าย ค่ำ ฟังหมด ถามท่านว่า จะให้ถึงนิพพานโดยไม่รู้อะไร เอาไหม ท่านบอกว่าเอา นี่คือผลของการฟัง หรือไม่ เข้าใจอะไร หรือเปล่า หรือฟังเพราะต้องการ คิดว่าฟังมากๆ แล้วก็จะถึงนิพพานได้ แต่โดยไม่ต้องรู้อะไร ถ้าอย่างนั้นขอถาม การที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ทางตา สามารถคลายการที่เคยเห็นเป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นผู้ที่ตรง ว่าไม่มีเรา ขณะใดที่ฟังเข้าใจจะต่างกับขณะที่ไม่เข้าใจ แต่ทำไมฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอีก ก็เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้มานานมาก ไม่ต้องเทียบกับเขาสิเนรุ เอาแค่ภูเขาหิมาลัย เกิดมานานเท่าไรแล้วถึงเป็นเทือกเขาที่ยาวระดับนี้ แล้วอวิชชานานกว่านั้นอีก ความไม่รู้นานกว่านั้นอีก แล้วก็เพิ่งเริ่มฟัง แต่ไม่หายไปไหนเลยถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สะสมจนกระทั่งไม่เดือดร้อน และที่เรากล่าวถึงสภาพธรรมที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ที่ใช้คำว่า “โพธิปักขิยธรรม” ธรรมฝ่ายที่ทำให้รู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้ หมายความว่า ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นความจริง แต่ถ้าไม่ใช่ธรรมที่เป็นโพธิปักขิยธรรมแล้ว ไม่สามารถจะรู้ความจริงนั้นได้เลย

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ต้องทราบว่า ต้องเป็นธรรมฝ่ายกุศล เท่านั้นยังไม่พอ ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริงจากการฟังเข้าใจ ขาดการฟังเข้าใจไม่ได้เลย เพราะว่าสภาพธรรมขณะนี้เป็นอย่างที่ได้ทรงแสดงไว้ คือถ้าไม่เกิดจะปรากฏไม่ได้ และเกิดแล้วก็อายุสั้นมาก เกิดแล้วก็ดับไป แต่ไม่ประจักษ์ทั้งการเกิดขึ้น และดับไป ทั้งๆ ที่ฟังมานาน เพราะเหตุว่ามีความไม่รู้ และความต้องการปิดกั้นทันที ไม่ได้จางออกไปเลย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการฟังด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ไปขวนขวายด้วยความไม่รู้แล้วจะทำขึ้นมา เพื่อที่จะให้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่คำว่า “เห็น” ไม่ใช่เห็นอย่างสิ่งที่กำลังปรากฏด้วยตา เห็นที่นี่ หมายความถึงความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เห็นแน่ๆ มีใครบ้างที่ไม่เห็น แต่มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หรือไม่

    เพราะฉะนั้นเห็นที่นี่ หมายถึงความเห็นถูก ความเข้าใจถูกซึ่งเกิดจากการฟัง ถ้าการฟังไม่เข้าใจจริงๆ ไม่สามารถเข้าถึงลักษณะที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นธรรมในขณะนี้ได้เลย เพราะว่าขณะนี้เป็นธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่อื่นเลย ใครจะทำธรรมให้เกิดขึ้นได้ไหม ไปสร้าง ไปทำไม่ได้เลย อาจจะคิดว่าจงใจ พยายาม ขวนขวาย แต่นั่นเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดแล้ว ทำกิจนั้นแล้ว ไม่ใช่มีใครไปสร้างไปทำขึ้นมา

    ด้วยเหตุนี้ความรู้อีกระดับหนึ่งจะไปเอามาแต่ไหน เอาตัวเรา โดยที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือขณะที่กำลังฟังมีความเห็นถูกต้องว่า สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น แต่ยังไม่ปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนั้น เพราะว่าจะปรากฏกับปัญญาอีกระดับหนึ่ง จึงสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกแม้ในขั้นการฟัง เพราะเหตุว่าฟังแล้ว เดี๋ยวก็ลืม เพราะว่าสะสมความไม่รู้มานานมาก และสะสมการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็นานมาก

    เพราะฉะนั้นแม้ฟังเริ่มเข้าใจ ก็สะสมความเข้าใจ โดยไม่เดือดร้อนเลย เพราะเป็นอนัตตา เมื่อเหตุมี สะสมไป วันหนึ่งก็ต้องเข้าใจขึ้น ถ้ารู้ว่า ความเข้าใจนั้นจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่ด้วยการคิดเอง แต่การฟังธรรมเพิ่มขึ้นแต่ละครั้ง โดยไม่เลือก ไม่ใช่เจาะจงจะไปฟังเรื่องสติปัฏฐาน แต่ว่าไม่ได้เข้าใจถูกว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมปรากฏแล้ว และสติก็เป็นอนัตตาด้วย สติไม่ได้เกิดจึงไม่ได้ระลึก แล้วใครจะไปทำหน้าที่ระลึกรู้ว่า ขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็ไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมเพื่อรู้ตามความเป็นจริงที่สะสมมา สภาพธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ แต่ละขณะ ไม่มีใครทำได้เลย แต่มีปัจจัยที่สะสมมาตลอดในแสนโกฏกัปป์ พร้อมที่จะทำให้สภาพธรรมประเภทไหนเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นจึงเกิดได้ ห้ามก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้

    นี่คือเริ่มรู้ความจริงที่ได้สะสมมาว่า ไม่เหมือนกันเลย แม้แต่ขณะต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จะไม่มีเครื่องกั้น โดยไปทำเพื่อที่จะให้เห็น ซึ่งไม่มีทางที่จะเห็น เพราะเหตุว่าไม่ใช่ความจริง ถ้าเป็นความจริงคือเดี๋ยวนี้จริง แต่ว่าสติสัมปชัญญะจะเข้าใจลักษณะนี้แค่ไหน

    นี่เป็นสิ่งที่จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีสะสมความเข้าใจโดยละเอียด โดยความเคารพในพระธรรมที่ทรงบำเพ็ญบารมีที่จะตรัสรู้ให้คนอื่นมีโอกาสได้เข้าใจถูกต้องอย่างนี้ด้วย เราไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมเลย

    เพราะฉะนั้นบุญที่ได้สะสมมาแล้ว ก็เป็นโอกาสให้ได้ยินได้ฟัง แต่ด้วยการเห็นประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในชาตินี้ และในชาติต่อๆ ไปด้วย ที่จะติดตามไป ให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งไม่เคยมองเห็นเลย อย่างพระสูตรเมื่อวานนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กับกิเลสกามเป็นภัย เพราะว่าไม่ว่าอะไรจะปรากฏ เพราะไม่รู้จึงติดข้อง แล้วก็เพิ่มความติดข้องมากมาย กิเลสทั้งหลายก็สะสมพอกพูนยิ่งขึ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง คือ ไม่ต้องทำอะไร แต่เข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าขณะใดที่เข้าใจ ละความไม่รู้ หรือความสงสัยทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าขณะนี้บอกว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถเพียงกระทบตาแล้วปรากฏ แค่นี้นานไหมกว่าจะระลึกแล้วก็ค่อยๆ จริง ค่อยๆ คลาย ถ้ายังไม่คลาย โดยการรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่การคิดนึก จะประจักษ์การเกิด และดับของสิ่งที่ปรากฏทางตาได้อย่างไร ในเมื่อความคิดนึกยังติดตามสืบต่ออย่างแน่นหนา รวดเร็ว โดยไม่มีปัญญาเกิดคั่นเลยสักนิดหนึ่งว่า ในขณะที่กำลังเห็น เริ่มที่จะเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไมใช่โดยหนทางนี้จะไม่มีพระอรหันต์ที่ดับกิเลส แม้เห็นแล้ว อกุศลก็ไม่เกิดเลย เพราะมีความรู้ชัดตั้งแต่พระโสดาบัน หรือก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน เพราะว่าเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ เพราะมีให้ศึกษา ให้เริ่มเข้าใจขึ้น ก็เป็นเรื่องอดทนโดยไม่ต้องปลอบใจใช่ไหม ความจริงไม่ต้องปลอบใจ ความจริงก็เป็นความจริง แค่คำว่า “ธรรม” พระไตรปิฎก ใครเพียงอ่านแล้วเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยเคารพ โดยเห็นคุณ แล้วจะรู้เลยว่า เบิกบานที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ในแต่ละภพแต่ละชาติจะได้ฟังอีกนานเท่าไร และฟังด้วยความเคารพจะได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะเห็นประโยชน์ และเป็นผู้ไม่เผินด้วย เพราะเหตุว่าทุกคำที่ได้ยินได้ฟังกำลังปรากฏจริงๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    9 ก.ย. 2567