พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 462



    ตอนที่ ๔๖๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ยังไม่กระจ่างชัดที่ว่า มีจิตไป จิตไป แล้วเข้าใจว่า กรรมที่มีกำลังจะให้ผล แล้วไปถามถึงภพภูมิอื่นใน ๓๑ ภพภูมิ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ขณะนี้เอง กำลังของกรรม ก็ให้ผลอยู่แล้ว นั่นหมายถึงเห็น ได้ยิน เป็นผลของกรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดจะไปไหน ซึ่งเมื่อตายโดยสมมติ เปลี่ยนภพภูมิใหม่ ก็ไปเห็น ได้ยิน ตามกำลังของกรรมเช่นนี้ ฟังแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ยิน แล้วก็ได้ยิน อะไรทำให้ ได้ยิน แค่เพียงโสตปสาทกับรูปที่กระทบกันเท่านั้น หรือ หรือเพียงแค่เสียงกระทบกับโสตปสาท ก็ยังไม่สามารถจะมีเสียงที่ปรากฏได้ จนกว่า จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง แล้วเลือกได้ไหมว่า จะได้ยินเสียงอะไร ไม่ได้ เสียงที่น่าฟังก็มี และเสียงที่ไม่น่าฟังก็มี และขณะนั้นเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ถึงกาลที่กรรม จะทำให้ยินเสียงนั้น ไม่ใช่เสียงอื่น กรรมเป็นปัจจัยทำให้จิต ได้ยินเกิดขึ้น ตรงโสตปสาท ซึ่งก่อนนั้น จิตไม่ได้เกิดตรงโสตปสาทรูป เพราะเหตุว่า ไม่ใช่จิตได้ยิน จิตก่อนนั้น ก็เกิดที่อื่น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่กรรมทำให้ได้ยินเสียงนั้น ไม่ใช่ว่าต้องเดินทางจากที่เก่า มาสู่โสตปสาทที่จะได้ยิน แต่ให้ทราบว่า สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ตามปัจจัย กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เมื่อเกิดแล้ว ต้องเป็นไปตามการสะสมของกรรม คือ เกิดมาแล้วต้องเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร เหล่านี้ ถึงกาลที่กุศลกรรมให้ผล สิ่งที่กระทบเป็นสิ่งที่ดี กรรมที่ทำให้ได้ยิน หรือเห็น รู้สิ่งที่ดีที่ปรากฏ ก็ต้องเป็นผลของกุศล ที่ได้ทำแล้ว โดยที่ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือบังคับให้เกิดก็ไม่ได้ ขณะนอนหลับสนิท คนไม่หลับได้ยินอะไรมากมาย แล้วก็เห็นด้วย แต่คนหลับสนิท ไม่ถึงกาลที่กรรมนั้นจะทำให้เห็น หรือได้ยิน ก็ไม่ได้ยิน ไม่เห็น

    เพราะฉะนั้นให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรม มีปัจจัยจึงเกิด แล้วก็เกิดเป็นไปตามปัจจัยนั้นด้วย ถ้าไม่มีปัจจัยนั้นๆ สภาพธรรมนั้นๆ จะเกิดไม่ได้เลย ไม่ต้องไปคำนึงถึง หรือไปใช้คำเหมือนกับว่า ตายแล้วไปไหน หรือตายแล้วไปเกิดที่โน่นที่นี่ แต่ความจริง จิตเกิดแล้วดับ แล้วจิตขณะต่อไปก็เกิด เพราะจิตก่อนเป็นอนันตรปัจจัย ทำให้จิตขณะต่อ ไปมีกำลังที่สามารถ ทำให้จิตขณะต่อไป เกิดขึ้น

    ลองคิดถึงนามธรรม ธาตุรู้ สภาพรู้ ไม่มีรูปร่างเลย ใครไปทำให้สิ่งนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ เราอาจจะคิดว่า เราทำรูปต่างๆ ได้ แต่มีใครจะทำนามธรรมสักอย่างหนึ่ง ให้เกิดขึ้นได้ไหม และนามธรรมก็เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็เกิดไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจถึงสภาพธรรมซึ่งเป็นใหญ่ ไม่มีใครสามารถบังคับ หรือเปลี่ยนแปลงได้ เป็นปรมัตถธรรม นามธรรมไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่มี เพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป และเจตสิกซึ่งเกิดแล้ว ก็เป็นอนันตรปัจจัย ไม่ต้องไปอาศัยปัจจัยอื่นเลย แต่ปัจจัยที่จิต และเจตสิกที่เกิดแล้วนั่นเอง ดับไป ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น แค่จิตเกิดแล้วดับ ยังสามารถเป็นปัจจัยที่มีกำลังทำให้ นามธรรมเกิดต่อได้

    นี่คือธรรม แต่ใครก็ทำไม่ได้

    ผู้ฟัง ที่บอกว่า จิตนี้วิจิตร ขอให้ท่านอาจารย์ขยายความคำว่า “วิจิตร” ด้วย

    ท่านอาจารย์ วิจิตร แปลว่า ต่างๆ ใช่หรือไม่ คุณนิภัทร

    ผู้ฟัง ในขณะจิตเดียวก็มีอารมณ์หนึ่ง อีกขณะจิตหนึ่ง อาจจะเปลี่ยนอารมณ์หนึ่งก็ได้ ตรงนี้เรียกว่า จิตนี้วิจิตร หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์วิชัยพูดเมื่อครู่ว่า จิตนี้หลากหลาย หลากหลายอย่างไร แสดงถึงความวิจิตรของจิต หรือไม่

    วิชัย วิจิตร แปลว่า ต่างๆ ก็มีจิตหลายประเภท ตามสัมปยุตตธรรม คือ ธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จิตที่เป็นกุศลก็มี จิตที่เป็นอกุศลก็มี จิตที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นกิริยาก็มี จิตเกิดขึ้นทีละขณะก็ต่างๆ ตามธรรมที่เกิดพร้อมกันในขณะนั้น

    ผู้ฟัง มีความคิดว่า วิจิตร คือ ตัวเราเองบางครั้งก็ไม่รู้ว่า คิดเรื่องอะไร ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการไปรู้จิตคนอื่น ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ตรงนี้คือจิตนี้วิจิตร แม้แต่ตัวเองในขณะจิตหนึ่งๆ เราก็ยังไม่รู้ ด้วยความที่ปัญญายังไม่เกิด ที่จะระลึกรู้สภาพของจิต

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีจิตคุณสุรีย์ และไม่มีจิตใคร แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามการสะสม แต่ละขณะ เพราะฉะนั้นถ้า ขณะนี้ สภาพธรรมใดเกิดขึ้น จึงรู้ว่า เพราะสะสมมา แต่ถ้ายังไม่เกิด ความริษยา ความตระหนี่ ความสำคัญตน ถ้าไม่เกิดขึ้น จะรู้ไหมว่า ยังมีอยู่ หรือ หมดไปแล้ว

    อ.วิชัย ความวิจิตร กล่าวคือ เป็นธรรมที่วิจิตรอย่างหนึ่ง คือ จิต และเป็นธรรมที่กระทำให้วิจิตรอย่างหนึ่ง เป็นธรรมที่วิจิตร เพราะเหตุว่า มีสัมปยุตตธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต ทำให้จิตนั้นต่างๆ กันออกไป และเป็นธรรมที่กระทำให้วิจิตร ที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ คือมีการกระทำต่างๆ หลากหลาย เพราะมีจิตที่วิจิตรนั่นเอง ที่ทำให้มี การกระทำ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ วิจิตร ตามจิตที่เกิดขึ้น จิตก็เป็นสภาพที่วิจิตรอย่างหนึ่ง เป็นธรรมที่กระทำให้วิจิตร อีกอย่างหนึ่ง

    อ.ธีรพันธ์ เมื่อวานก็สนทนาเรื่อง จิต ที่ได้ฟังมา ท่านก็ใช้คำที่แสดงว่า ธรรมชาติที่ชื่อว่า “จิต” เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตร เพราะว่า เป็นธรรมนั่นเอง จิตเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ หรือคิดนึก ก็ไม่ใช่เรา หรือแม้แต่การเห็นในขณะนี้ มีคิดนึกสลับด้วย เห็นเป็นรูปทรงสัณฐาน ยังไม่ต้องเรียกชื่อ ก็เป็นจิตคิดแล้ว แต่จะคิดเป็นคำ หรือรู้เป็นสัณฐาน นี่คือจิตคิดแล้ว แต่ว่า ไม่ใช่ขณะที่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นธรรมที่ละเอียด ลึกซึ้งโดยสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย ก็ลึกซึ้งโดยกิจ พระสูตรก็ลึกซึ้งโดยอรรถ ลึกซึ้งทั้งหมดเลย

    ผู้ฟัง สภาพธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรม มีจริงอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่รู้ ว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นลักษณะ ของปรมัตถธรรม อย่างเช่นลักษณะเห็น พอเราเห็นแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นสภาพคิดถึงสิ่งที่เห็นนั้นต่อเลย ที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ คือ สภาพเห็น แล้วคิด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กับสภาพคิดนึก เรื่องราวต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้เอง แน่นอนที่สุดที่คุณสุกัญญากล่าวถึงเมื่อครู่นี้ มีเห็น ถูกต้องใช่ไหม แล้วเวลารู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร ก็เพราะคิด ถ้าไม่คิด ก็เป็นเพียงสิ่งที่กระทบปรากฏเท่านั้นเอง แล้วก็ยังมีคิดเป็นเรื่องราวด้วย ก็ต่างกันไป

    ผู้ฟัง แต่ว่าสภาพคิดนึก ถ้าสมมติว่าคิดเป็นเรื่องราว เหมือนกับนึก คิด จากการศึกษา ก็เหมือนกับ มีลักษณะการตรึกถึงเรื่องราวต่างๆ แต่สภาพคิด เมื่อเห็นแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่คิด หรือนึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

    ท่านอาจารย์ จำเป็นที่ต้องฟัง แล้วพิจารณาว่า เป็นจริงหรือไม่ เพราะเวลาคิด คุณสุกัญญามักจะคิดเป็นคำๆ คิดเป็นเรื่อง แต่ยังไม่เป็นคำ ก็เห็น และหลังเห็นแล้ว ก็รู้ว่าเป็นอะไร ทำไมถึงรู้ว่าเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นปกติ ถ้ามีตาก็เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ หมดแล้ว เห็นแล้ว

    ผู้ฟัง แต่ยังไม่ใช่ลักษณะของ จักขุวิญญาณ เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทย มีคำว่า “จักขุวิญญาณ” ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่เห็นมีจริงๆ หรือๆ ไม่

    ผู้ฟัง เห็นมีจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะใช้ภาษาไทย สำหรับคนไทย ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเห็น ในขณะนี้ แล้วเป็นภาษาอื่น ก็แล้วแต่ว่า จะใช้ภาษาอะไร ให้เข้าใจว่า หมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นเพียงเห็น ก็ต้องเข้าใจว่า กำลังกล่าวถึงเห็น เท่านั้น เห็นจริงๆ ๑ ขณะ ไม่ใช่ขณะอื่น แต่เห็นแล้วรู้ว่าที่เห็นเป็นอะไร ก็ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้นเห็นแล้ว รู้แล้วก็ยังคิดเรื่องราวของสิ่งที่เห็น เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็ต่างกันอีก

    เพราะฉะนั้นนี่คือ การเกิดดับสืบต่อในขณะนี้เอง อย่างรวดเร็วมาก ในขณะนี้เอง และเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่เข้าใจ แล้วคิดว่า พอเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นอะไร แต่เมื่อศึกษาแล้ว ก็จะรู้การเกิดดับสืบต่อ ของจิตอย่างเร็วมาก เพราะเห็น จะทำหน้าที่อื่นไม่ได้เลย เห็นคือเห็น กำลังเห็น ไม่ใช่คิด ไม่ใช่กำลังรู้ว่าเป็นอะไรด้วย

    ผู้ฟัง อย่างนั้นลักษณะของเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นลักษณะของคิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยที่ไม่รู้ว่าคิด ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาฝัน กำลังฝัน เห็นอะไร หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ

    ผู้ฟัง ฝัน นี่คือไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วฝันเห็นอะไร

    ผู้ฟัง ฝันเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ เป็นคิด หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นคิด

    ท่านอาจารย์ คิดถึงรูปร่าง จึงปรากฏเหมือนเห็น เพราะจำสิ่งที่เคยเห็นรูปร่างอย่างนั้น จำได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่ฝัน ก็คือขณะที่กำลังจำ แล้วก็รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น

    ถ้าไม่เทียบกับฝัน ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ฝันไม่ใช่กำลังเห็น อย่างขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เห็นอย่างฝัน แต่เมื่อเห็นแล้ว ทำไมรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แล้วจำได้ แล้วพอคิดถึงรูปร่าง ก็เป็นเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในฝัน เหมือนกับขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็คิดเพราะจำ รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ในฝันก็รู้ว่า เห็นอะไร ทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่มีเห็นเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง แล้วปรมัตถธรรมจริงๆ แล้วอยู่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม ความหมายของปรมัตถธรรมคือ ธรรมชึ่งไม่มีใครจะสามารถเปลี่ยนได้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครคิดขึ้นให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ แต่ลักษณะของธรรมขณะนั้น เป็นอย่างนั้น คือ เห็นเป็นเห็น

    ผู้ฟัง อย่างขณะฝัน

    ท่านอาจารย์ ฝันคือคิด เพราะจำได้ในสิ่งที่เคยเห็น

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นส่วนที่ เป็นปรมัตถธรรมจริงๆ แล้วมีจริงๆ ก็คือคิด

    ท่านอาจารย์ คิดกับจำ ขณะนี้ก็มีจำด้วย

    ผู้ฟัง ตรงนี้สภาพของวิตกเจตสิกที่ตรึกนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในเมื่อ วิตกเจตสิกเป็นสภาพธรรม ที่มีจริงๆ แล้วก็มีลักษณะเฉพาะ จริงๆ แล้วเราเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ลักษณะที่แท้จริงของวิตกเจตสิกเป็นอย่างไร แต่เมื่อตรึกนึกถึงเรื่องราว โดยมีสัญญาที่จำรูปร่างสัณฐาน ซึ่งเราคิดว่า เราคิด ก็อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า จะเข้าใจประเด็นนี้ ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เจตสิกทั้งหมดมีเท่าไร

    ผู้ฟัง ๕๒ ประเภท

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ ๕๒ ประเภท หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็รู้ไม่ได้หมด

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้อะไรได้

    ผู้ฟัง รู้สิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เพราะจิตรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง จิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ หมายถึงว่าถ้าคิดนึกเรื่องราว จิตก็รู้แจ้งในสิ่งที่คิดนั้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน จิตเป็นธาตุที่รู้แจ้ง ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ที่จิตกำลังรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง แม้ว่าจิตที่คิดนั้นจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลายประเภท รวมทั้งวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ท่านอาจารย์ เจตสิกแต่ละชนิดก็เกิดขึ้นทำกิจของเจตสิกนั้นๆ โดย จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่กำลังปรากฏ ซึ่งเจตสิกก็ทำกิจของเจตสิกตามที่กำลังรู้อารมณ์นั้น

    ผู้ฟัง ถ้าขณะที่รู้อารมณ์ของเวทนาซึ่งเป็นความรู้สึก เช่น โทมนัสเวทนาเกิดขึ้น และจิตก็รู้แจ้งในอารมณ์นั้น ทุกคนก็ยอมรับว่า โทมนัสเวทนาเกิดขึ้นจริงๆ แล้วทุกคนรู้จัก จิตที่เกิดขณะนั้น ก็คือรู้แจ้งในลักษณะของอารมณ์นั้น ก็หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นลักษณะหนึ่งของเจตสิกชนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ความปวด ความเจ็บ มีจริง เป็นจิต หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ จิตเห็น แล้วก็รู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ในขณะที่กำลังเห็น นี่คือจิต รู้สึกอย่างไร เวลาเห็น

    ผู้ฟัง รู้สึกเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ เฉยๆ มีจริงๆ ถามว่ารู้สึกอย่างไรก็ตอบว่า เฉยๆ เฉยๆ เป็นจิต หรือไม่

    ผู้ฟัง เฉยๆ ไม่ใช่จิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเฉยๆ ต่างกับจิต ซึ่งกำลังรู้แจ้งลักษณะ ของสิ่งที่ปรากฏ แต่ขณะที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีความรู้สึกเฉยๆ เกิดกับจิตในขณะนั้น เพราะฉะนั้นความรู้สึกนั้น ก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิต ที่กำลังรู้แจ้งลักษณะ ของสิ่งที่ปรากฏ จิตเห็น คิด หรือไม่

    ผู้ฟัง จิตเห็น เห็นอย่างเดียว ไม่คิด

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นไม่คิด เพราะฉะนั้นจิตคิด ไม่ใช่จิตเห็น จิตคิด เรามีความสามารถเพียงรู้ว่า จิตคิด เรามีความสามารถรู้ว่า ขณะนี้ จิตเห็นกำลังเห็น แล้วจิตคิด กำลังคิด รู้แค่นี้ เราจะไปรู้ถึงวิตกเจตสิก วิจารเจตสิก หรือเจตสิกอื่น อธิโมกขเจตสิก ฉันทเจตสิกที่เกิดกับจิตที่คิด หรือไม่ แล้วทำไม เราจะมานั่งคิดแต่เรื่องวิตกเจตสิกๆ เพียงชื่อ แต่ในขณะนี้เท่าที่จะรู้ได้ ก็คือจิตเห็น ไม่ใช่จิตคิด

    เพราะฉะนั้นจิตคิด ต้องมีเจตสิกอื่นที่จิตเห็นไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปนั่งนึกว่า แล้วมีเจตสิกอะไรบ้างที่เกิดกับจิตขณะที่คิด มากมาย เพียงเท่าที่สามารถรู้ได้ว่า คิดไม่ใช่เห็น

    อย่างความรู้สึก ถามว่า รู้สึกอย่างไรในขณะที่เห็น ตอบว่าเฉยๆ ต้องไปใส่ชื่อไหม อุเปกขาเวทนา แล้วก็มีสหคตัง หรืออะไรเกิดร่วมด้วย ก็ไม่จำเป็น เพราะเหตุว่าการศึกษาธรรม เพื่อให้เข้าใจถูกว่า ขณะนี้ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ที่ฟังธรรมบ่อยๆ ทุกวัน ก็เพื่อทำให้เห็น ความจริงว่า ธรรมเป็นธรรม หลงยึดถือธรรม ด้วยความไม่รู้ว่า เป็นธรรม มานานมาก

    เพราะฉะนั้นการฟัง ก็เพื่อให้ เห็นถูกต้อง แม้เพียงทีละเล็ก ทีละน้อย ในขั้นฟัง แต่ความละเอียด ก็จะทำให้รู้ความต่างกัน เช่น จิตเห็น กับจิตคิด ยังไม่ทันรู้ว่ามีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยมากน้อยเท่าไร แต่ก็เริ่มเข้าใจถูกว่า เห็นไม่ใช่คิด

    ผู้ฟัง อย่างเรารู้ เราคิด ก็ยังไม่ใช่ลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ก็มีแต่เรา ฟัง ก็เป็นเรา เราจะรู้วิตก เราจะรู้วิจาร แต่ฟัง เพื่อให้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม เกิดดับเร็วมาก แล้วธรรมที่เกิดดับ ก็หลากหลายมากตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่จิตก็ยังต่างกันเป็นหลายประเภท เช่น ขณะที่พอเข้าใจได้ คือ ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่คิด และมีสภาพธรรม ที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วยต่างกันด้วย

    นี่คือขั้น ความเข้าใจ เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา ความเป็นธรรมว่า แม้คิดก็ไม่ใช่เรา

    ก็ให้ทุกคนได้เข้าใจ ค่อยๆ พิจารณา เวลาฝัน ไม่ได้มีสิ่งที่ปรากฏอย่างในขณะนี้ แต่มีความจำ จึงทำให้คิดถึง สิ่งที่จำได้ เพราะฉะนั้นแม้ในขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แยกไปส่วนหนึ่งเลย ดับไปแล้ว หมดไปแล้ว แต่เพราะจำสิ่งที่ปรากฏนี่เอง รูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้สามารถ นึกคิดเมื่อไรก็ได้ แต่ขณะที่ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ได้คิดอย่างในฝันเลย เพียงแต่ว่า แล้วแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนี้เป็นอะไร ก็คิดตามสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่างเห็นคนวิ่ง มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ให้จำได้ว่า เป็นคน และกิริยาท่าทาง เป็นอย่างนั้น แต่ในฝัน จะฝันถึงอะไรก็ได้ โดยที่ ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏตามที่จะให้คิด เหมือนขณะนี้ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ จึงคิดอย่างนี้ แต่ในฝัน ไม่มีอะไรปรากฏให้ต้องฝันอย่างนั้น แต่เพราะเหตุว่า จำไว้ ก็เลยฝันเป็นเรื่องราวต่างๆ

    ที่กล่าวถึง การดูภาพยนตร์เป็นเรื่อง แต่จริงๆ แล้ว เราคิดถึงกิริยาท่าทาง อาการ คำพูด ที่เรามองเห็น เป็นบุคคลต่างๆ แต่ความจริง ถ้าไม่มีรูปภาพแต่ละรูป ซึ่งฉาย แล้วก็เปลี่ยนไป อย่างเร็วมาก ก็จะไม่ปรากฏว่า เป็นคนที่สามารถพูด หรือเดิน หรือทำอะไรได้เลย ฉันใด ขณะนี้จิต และเจตสิกดับแล้ว เกิดแล้ว ดับแล้วอย่างเร็วมาก มากกว่าที่ใครจะประมาณได้ ทำให้ปรากฏเหมือน มีคนที่นั่งอยู่ แล้วก็พูด แล้วก็ทำต่างๆ เหมือนอย่างนั้นเลย

    นี่เพียงเปรียบเทียบให้เห็นว่า แท้ที่จริงเวลาที่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เราสนใจ เป็นเรื่องเป็นราว เป็นภาพต่างๆ แต่ความจริงต้องมีธรรม หรือธาตุซึ่งทำให้สิ่งนั้นปรากฏ แต่เพราะการเกิดดับ อย่างเร็วมาก ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงว่า เป็นคนแต่ละคน มีกิริยาอาการต่างๆ กันไป

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ ก็เหมือนอย่างนั้นเลย กำลังดูภาพยนตร์ แต่จริงๆ เพราะจิต เจตสิกเกิดดับเร็วมาก จนทำให้จำไว้ว่า ที่เห็นก็คือเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่เบื้องหลังลึกๆ ลงไปก็คือ จิต เจตสิกเกิดดับ จึงทำให้ปรากฏเป็นนิมิต สัณฐานต่างๆ ได้

    อ.กุลวิไล แล้วถ้ากระทบสัมผัส ก็จะเห็นลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งรู้ได้ทางกายเท่านั้น ดูเหมือนมีคนมากมาย แต่ถ้ากระทบสัมผัสแล้ว ก็ไม่พ้นธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ดูที่จอหนัง ก็เหมือนดู สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ผู้ฟัง ผมขอเรียนถามเกี่ยวกับสติสัมปชัญญะ และสัมมาสติ ซึ่งเป็นมรรคหนึ่งในมรรค ๘ ว่า ความเกี่ยวข้องของทั้ง ๓ หมวดธรรมนี้ จะแตกต่างกันอย่างไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    3 ก.ย. 2567